เจียงหยุนเอ๋ออ้าปาก น้ำตาก็รินไหลลงมา อยากจะถามรายละเอียดกับโม่เสี่ยวฮุ่ย แต่ก็พูดไม่ออก
ลี่จุนถิงและลี่จุนซินมองเจียงหยุนเอ๋อที่ในที่สุดก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ รู้สึกปวดใจมาก
กุ่นกุ่นเจ้าน้อยอยู่ในอ้อมกอดของลี่จุนซิน เห็นเจียงหยุนเอ๋อร้องไห้ ก็ร้องไห้ไปด้วย ลี่จุนถิงบอกให้เธอพากุ่นกุ่นเจ้าน้อยกลับไปที่ห้องรับรองก่อน
หลังจากรอให้ลี่จุนซินอุ้มกุ่นกุ่นเจ้าน้อยเข้าไปในห้องรับรอง ลี่จุนถิงนั่งลงข้างๆเจียงหยุนเอ๋อ แล้วดึงตัวเธอมาโอบกอด
“ร้องไห้เถอะครับ ร้องไห้แล้วถึงจะรู้สึกดีขึ้น”
เห็นเจียงหยุนเอ๋อร้องไห้ โม่เสี่ยวฮุ่ยเองก็ร้องไห้ไปด้วย
เจียงหยุนเอ๋ออยู่ในอ้อมกอดของลี่จุนถิงร้องไห้แทบขาดใจ น้ำตารินไหลลงมาไม่หยุด ร้องไห้จนหัวใจของลี่จุนถิงแหลกสลาย
แต่ว่า ตอนนี้เธอร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าขืนเธอร้องไห้ไม่หยุด ร่างกายต้องรับไม่ไหวแน่ๆ
“หยุนเอ๋อ พอได้แล้วๆ เราไม่ร้องไห้แล้วนะครับ เดี๋ยวร่างกายของคุณจะรับไม่ไหว ผมให้ซู่จี้งยี้ไปตามหาแม่ของคุณแล้ว เดี๋ยวน่าจะมีอะไรคืบหน้า”
เจียงหยุนเอ๋อผลักออกมาจากอ้อมกอดของลี่จุนถิง อยากจะเอื้อมมือไปหยิบทิชชูบนโต๊ะ แต่เพราะร้องไห้นานเกินไป ทำให้เธอไม่มีแรง ทิชชูตกลงบนพื้นทันที
จากนั้นน้ำตาของเจียงหยุนเอ๋อที่เพิ่งหยุดไหลก็รินไหลลงมาอีกครั้ง “ฮือ……ฉันมันไม่มีประโยชน์จริงๆ แม่หายไปและยังหาไม่เจอ กระดาษทิชชูฉันเองก็หยิบไม่ได้”
ความเป็นกังวลของลี่จุนถิงในตอนแรก หลุดหัวเราะเพราะคำพูดของเจียงหยุนเอ๋อ “ไม่เป็นไรนะครับๆ เดี๋ยวผมหยิบให้คุณเอง”
ลี่จุนถิงเพิ่งยื่นทิชชูให้เจียงหยุนเอ๋อ ซู่จี้งยี้ก็เข้ามา
“ประธานลี่ครับ คนของเราตามหาทั่วห้างแล้ว รวมถึงบริเวณโดยรอบห้าง พวกเราก็ตามหาหมดแล้วครับ แต่ก็ไม่เจอร่องรอยแม่ของคุณผู้หญิง”
เจียงหยุนเอ๋อได้ฟัง เธอแทบจะเป็นลมหมดสติไปทันที โม่เสี่ยวฮุ่ยที่อยู่ข้างๆรีบรับเธอเอาไว้
“หยุนเอ๋อ หยุนเอ๋อ เป็นอะไรไปลูก?”
เจียงหยุนเอ๋อส่ายหน้า “แม่คะ หนูไม่เป็นไรค่ะ แค่เวียนหัวนิดหน่อย”
โม่เสี่ยวฮุ่ยพยุงเจียงหยุนเอ๋อ จากนั้นให้เธอนอนลงบนโซฟาช้าๆ “หนูนอนก่อนนะ”
ลี่จุนถิงรีบโทรบอกให้หลันเยว่เฉินมา ถึงแม้ก่อนหน้านี้ตอนกลับมา สุขภาพร่างกายของเจียงหยุนเอ๋อดีขึ้นแล้ว แต่ลี่จุนถิงยังคงไม่สบายใจ
หลังจากหลันเยว่เฉินรับสาย เขาก็เอาผู้ป่วยของตนเองให้กับหมอที่ทำงานด้วยกัน โชคดีที่ผู้ป่วยคนนี้ไม่ได้ป่วยหนัก ประจวบเหมาะวันนี้ก็ไม่มีผ่าตัด เขาจึงมาได้
หลังจากโทรศัพท์เสร็จ ลี่จุนถิงสั่งให้ซู่จี้งยี้ไปสืบเรื่องของอาเธอร์ ดูว่าครั้งนี้เป็นฝีมือของเขารึเปล่า
ซู่จี้งยี้พยักหน้า รับคำสั่งแล้วเดินออกไป
ลี่จุนถิงเห็นเจียงหยุนเอ๋อนอนนิ่งบนโซฟาไม่ยอมพูดอะไร จึงเป็นห่วงอย่างมาก “ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะครับ อยู่ที่นี่หยุนเอ๋อก็พักผ่อนได้ไม่ดี อีกทั้งกุ่นกุ่นเจ้าน้อยก็อยู่ที่นี่ด้วย”
“อืม”
โม่เสี่ยวฮุ่ยเข้าไปตามลี่จุนซินออกมา ลี่จุนถิงบอกกับหลันเยว่เฉิน ให้เขาไปที่บ้านตระกูลลี่
หลังจากหลันเยว่เฉินรับสาย ก็เปลี่ยนเส้นทางทันที มุ่งหน้าไปที่บ้านตระกูลลี่
หลังจากทุกคนกลับไปถึงบ้าน หลันเยว่เฉินอยู่ที่บ้านตระกูลลี่แล้ว
หลังจากลี่จุนถิงอุ้มเจียงหยุนเอ๋อลงมาจากรถ อยากจะอุ้มเธอไปที่ห้องนอน แต่เจียงหยุนเอ๋อยืนกรานว่าตนไม่เป็นอะไร ลี่จุนถิงทำอะไรไม่ได้ จึงวางเธอไว้บนโซฟา ให้ป้าเฉินหยิบผ้าห่มออกมาหนึ่งผืน ห่มบนตัวเธอ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้เจียงหยุนเอ๋อคงเขินจนหน้าแดงก่ำแล้ว แต่เจียงหยุนเอ๋อในตอนนี้กลับมีสีหน้าซีดขาว
หลังจากที่เธอล้มตัวลงนอน หลันเยว่เฉินตรวจร่างกายให้เธอก่อน สุขภาพร่างกายของเธอไม่ได้เป็นอะไรมา แต่เพราะเธอตกใจเกินไป จึงทำให้ความดันต่ำ
พวกเขากลับถึงบ้าน ไม่รู้จะทำอะไร สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือรอฟังข่าวจากซู่จี้งยี้
รอจนถึงมื้อค่ำ ซู่จี้งยี้เพิ่งส่งข่าวมา
“ประธานลี่ครับ คนของเราไปสืบมาแล้วครับ พวกเขาบอกว่าถึงแม้คนของอาเธอร์จะคอยสืบข่าวอยู่รอบๆพวกเราตลอดเวลา แต่พวกเขาไม่เคยเข้ามาใกล้เราจริงๆเลยสักครั้ง”
“ดังนั้น เรื่องนี้ไม่น่าใช่ฝีมือของอาเธอร์ครับ อีกทั้งถ้าหากเป็นฝีมือของเขา เวลานี้ต้องเริ่มส่งข่าวบอกพวกเราแล้วแน่ๆ เพื่อข่มขู่พวกเรา”
“ดังนั้น คนร้ายตัวจริงที่ลักพาตัวคุณแม่ซูไปเป็นใครกันแน่พวกเราไม่รู้เลย อีกทั้งพวกเราก็เช็กกล้องวงจรปิดหลายรอบแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ เหมือนว่าอยู่ดีๆคุณแม่ซูก็หายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น”
ลี่จุนถิงรู้สึกว่าเรื่องนี้เหนือการควบคุมของเขา คนกลุ่มนี้เหมือนจู่ๆก็โผล่ออกมา เขาไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย
ตอนที่เจียงหยุนเอ๋อได้ยินเรื่องนี้ เธอเป็นลมหมดสติไปทันที หลันเยว่เฉินรีบกดบริเวณเหนือริมฝีปากของเจียงหยุนเอ๋อทันที ผ่านไปไม่กี่วินาที เจียงหยุนเอ๋อก็ฟื้นขึ้นมา
พวกโม่เสี่ยวฮุ่ยเป็นกังวลจนเหงื่อแตกแล้ว
ถวนจื่อที่อยู่ข้างๆก็เป็นกังวลอย่างมาก ตอนที่เขารู้ว่ายายหายตัวไป ก็ตกใจมากแล้ว อยากจะถามพวกแด๊ดดี้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาเห็นหม่ามี๊ถึงกับป่วยแล้ว อีกทั้งพวกแด๊ดดี้และคุณย่าเองก็เป็นกังวลอย่างมาก
ดังนั้น เขาจึงไม่ได้ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแค่ยืนมองเงียบๆ เขาเป็นลูกผู้ชายแล้ว เขาจะสร้างความวุ่นวายในเวลานี้ไม่ได้ ถึงแม้เขาจะอยากร้องไห้ แต่ก็ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้
ป้าเฉินทำงานรับใช้ตระกูลลี่มาหลายปี เห็นทุกคนเป็นกังวลแบบนี้ เธอเองก็เป็นกังวลไปด้วย
“คุณผู้หญิง คุณผู้ชาย พวกคุณกินก่อนเถอะค่ะ”
“จริงด้วย ทุกคนกินข้าวกันก่อนเถอะ หยุนเอ๋อ พวกเรากินข้าวกันสักหน่อยเถอะ” โม่เสี่ยวฮุ่ยพูดโน้มน้าว
เจียงหยุนเอ๋อส่ายหน้า สีหน้าซีดขาว “หนูไม่อยากกินค่ะ หนูไม่หิว”
“กินสักหน่อยนะ ตอนนี้ยังหาแม่ไม่เจอ ถ้าขืนคุณเป็นอะไรขึ้นมา หลังจากนี้คุณจะไปตามหาเบาะแสกับผมได้ยังไง แล้วจะไปช่วยแม่ได้ยังไงครับ?” ลี่จุนถิงพยุงเจียงหยุนเอ๋อขึ้นมาจากโซฟาช้าๆ แล้วพูดเกลี้ยกล่อม
ถวนจื่อเองก็เดินมา จับมือเจียงหยุนเอ๋อ “หม่ามี๊ครับ หม่ามี๊กินสักหน่อยเถอะครับ แบบนี้คุณยายถึงจะไม่ต้องเป็นห่วง พวกผมก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
เจียงหยุนเอ๋อพยักหน้า ลูบหัวถวนจื่อ “ครับ แม่จะเชื่อฟังเรานะ แม่จะกินข้าวและนอนหลับ ไม่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง”
ลี่จุนถิงและถวนจื่อช่วยกันพยุงเจียงหยุนเอ๋อให้ลุกขึ้นยืน แล้วพาไปนั่งบนโต๊ะอาหาร
“หลัวเยว่เฉิน คุณเองก็มากินข้าวด้วยกันสิ”
ทุกคนกินข้าวด้วยความเงียบเฉียบ ทุกคนต่างไม่อยากอาหารเท่าไหร่ เพราะถึงอย่างไรก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อีกทั้งตอนนี้ยังไม่มีเบาะแสอะไรเลย
ถึงแม้เจียงหยุนเอ๋อจะไม่อยากอาหาร แต่ก็ฝืนตัวเองแล้วกินข้าวเล็กน้อย เพราะตอนนี้เธอจะล้มไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเธอล้ม พวกลี่จุนถิงก็จะเป็นห่วงเธอ ถ้าเป็นแบบนั้น ก็จะเป็นตัวถ่วงพวกเขา
เพราะลี่จุนถิงเป็นห่วงสุขภาพของเจียงหยุนเอ๋อ ดังนั้นจึงให้หลันเยว่เฉินพักที่บ้านตระกูลลี่ หลันเยว่เฉินเองก็กลัวว่าคนอื่นๆในตระกูลลี่จะเป็นอะไรขึ้นมา ดังนั้นจึงลางานกับทางโรงพยาบาล
ตอนนี้เขาเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลแล้ว ดังนั้นไม่ต้องไปออกตรวจคนไข้ก็ได้ ลี่จุนถิงรู้สึกขอบคุณหลันเยว่เฉินมาก ที่ในเวลานี้ สามารถอยู่เคียงข้างเขาได้เสมอ