พระหัตถ์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้สะดุ้งจึงกำจอกสุราหยกขาวเอาไว้แน่นทำให้จอกสุราโอนเอน สุราสีเหลืองอำพันทะลักออกมาด้านนอก
กลิ่นหอมของสุราปะทะจมูก แต่เขากลับรู้สึกมึนงง
เจ้าแปดจะทำสิ่งใด!
หากเขาไม่ได้ตาบอด ดูเหมือนเจ้าแปดกำลังเปลือยกายวิ่ง?
จิ่งหมิงฮ่องเต้คิดว่าตนกำลังฝันไป จึงยกมือขึ้นขยี้ดวงตา
“ฝ่าบาท…” น้ำเสียงของฮองเฮาดังขึ้นแล้วหยุดลง
สุราที่หกรดมือถูกเขานำขึ้นไปขยี้ดวงตา จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกถึงความปวดแสบขึ้นทันที เขาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความแสบ
ฮองเฮาตกใจมาก “ฝ่าบาทเป็นอะไรหรือไม่เพคะ!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือขึ้นกุมดวงตาแดงเรื่อของตน มือของเขาชี้ไปด้านล่างแล้วตะโกนว่า “นำตัวเซียงอ๋องออกไปข้างนอก!”
บัดนี้เขาแสบตาเสียจนไม่อาจลืมตาขึ้นได้ จึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าเป็นเช่นไร แต่ไม่จำเป็นต้องดูให้เห็นชัดเจน เขาเพียงต้องการโยนเจ้าสิ่งที่น่าละอายนั้นออกไปไกลๆ
เซียงอ๋องถูกองครักษ์เข้ามารั้งตัวเอาไว้แล้วลากออกไปข้างนอก ตอนนั้นเขายังไม่ได้สติกลับคืนมาจึงได้แต่ตะโกนร้องไห้ดังลั่นว่า “ปล่อยข้า ข้าจะไปหาเสด็จพ่อ ข้าจะไปหาเสด็จแม่ ฮือๆ ข้าจะไปหาเสด็จแม่…”
ฮองเฮาที่กำลังเป็นห่วงกังวลจิ่งหมิงฮ่องเต้ ขณะนั้นก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก
เซียงอ๋องเมาและคลั่งไปแล้วหรือ
ต่อให้เป็นฤทธิ์ของสุราทำให้เมามาย เหตุใดเซียงอ๋องจึงต้องร้องไห้เรียกหานางด้วย คนที่ไม่รู้อาจคิดว่าเขาคือบุตรของนางที่นำไปทิ้งไว้ตั้งแต่เป็นทารก
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินเสียงร้องไห้ของเซียงอ๋อง ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงอันดังว่า “พวกเจ้าตายกันหมดแล้วหรือ! ทำการใดให้ว่องไวหน่อย!”
ในที่สุดก็ไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเซียงอ๋องอีกต่อไป ดวงตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้แม้จะยังรู้สึกไม่ดีนัก แต่ก็นับว่ากลับมามองเห็นได้ดังเดิม
ภายใต้แท่นสูง เต็มไปด้วยใบหน้าอันเฉยชาและงุนงง ในห้องโถงเงียบกริบ มีเพียงเสียงชาม ตะเกียบและจอกสุราที่วางลงบนโต๊ะกันเป็นระยะๆ
บัดนี้ความคิดของจิ่งหมิงฮ่องเต้มีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ ขายหน้า!
ผู้ที่ทำเรื่องอับอายขายหน้านั่นก็คือโอรสของเขาเอง…
น้ำเสียงของไทเฮาดังขึ้นอีกครั้ง “ฝ่าบาท ข้ารู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย ขอตัวกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักฉือหนิงก่อน”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสขึ้นตามธรรมชาติว่า “เสด็จแม่ ลูกจะไปส่งเอง…”
“ไม่จำเป็นหรอก มีเรื่องมากมายรอให้ฝ่าบาทจัดการ ให้ฝูชิงและเจ้าสิบสี่ติดตามข้าไปก็พอ”
องค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่หน้าแดงเรื่อ พวกนางโค้งคำนับฮ่องเต้และฮองเฮาก่อนจะเข้าไปพยุงไทเฮาเดินทางออกจากที่นั่น
เมื่อครู่แม้เซียงอ๋องจะไม่ได้เปลื้องอาภรณ์ทั้งหมด แต่ก็นับว่าน่าอายยิ่งนัก
เมื่อไทเฮาเสด็จจากไป จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง ดวงตาอันมืดมนกวาดมองลงไปยังด้านล่าง แล้วถามอย่างโกรธเคืองว่า “เมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้น!”
ไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบ
จู่ๆ เซียงอ๋องก็เปลือยกายวิ่งออกไปเช่นนั้น ใครจะรู้เล่าว่าเกิดเรื่องใดขึ้น
หลู่อ๋องช่างเป็นคนโง่เง่าที่กล้าหาญ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดตอบจิ่งหมิงฮ่องเต้ จึงคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะแสดงตนออกมา เขาจึงก้าวขาขึ้นมาก้าวหนึ่งกล่าวว่า “ทูลเสด็จพ่อ ลูกจำได้ว่าเมื่อครู่น้องแปดกำลังนั่งอยู่กับพี่สี่”
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกไป ไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่บนแท่นสูงหรือผู้อยู่ด้านล่าง สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่ฉีอ๋อง
ใบหน้าของฉีอ๋องซีดเผือด เขาลุกขึ้นยืนแล้วคารวะไปทางแท่นสูงแห่งนั้น ตะเกียบสีเงินตกลงไปใต้ฝ่าเท้าตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เกิดเป็นสะท้อนแสงเย็นยะเยือกออกมา
จิ่งหมิงฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าสี่ เมื่อครู่เจ้าว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
สายตามากมายจับจ้องไป ฝ่ามือของฉีอ๋องเต็มไปด้วยเหงื่อที่เปียกชุ่ม
เขาพยายามควบคุมไม่ให้ตนเองมองไปทางอวี้จิ่นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันดังว่า “ทูลฝ่าบาท น้องแปดอาจจะดื่มสุรามากจนเกินไป…”
“เจ้าหมายความว่าเจ้าแปดเกิดบ้าคลั่งเพราะฤทธิ์สุรางั้นหรือ!” จริงฮ่องเต้ทำสีหน้าเคร่งขรึม
ฉีอ๋องพยักหน้าเล็กน้อย “วันนี้น้องแปดมีความสุขยิ่ง จึงดื่มสุราเข้าไปไม่น้อยทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ…”
ยานั้นเขาเป็นคนมอบให้เจ้าแปดเอง และเจ้าแปดก็ได้วางยาเจ้าเจ็ดจริงๆ แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดจอกสุราที่ถูกวางยานั้นจึงถูกเจ้าแปดดื่มลงไปได้ ส่วนเจ้าเจ็ดกลับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น ทว่าเรื่องนี้นอกจากเขาจะผลักดันปัญหาทั้งหมดไปที่เจ้าแปดดื่มสุราจนเมามาย เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น
หากกล่าวว่าเจ้าแปดถูกวางยาล่ะก็ เรื่องนี้คงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ท้ายที่สุดแล้วหาถึงเหตุผลที่ไปที่มาของยาก็คงจะเข้าตนเอง
นิ้วมือเรียวยาวของอวี้จิ่นถือจอกสุราหยกขาวไว้ในมือ ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย สายตาดูถูกเหยียดหยามมองไปทางฉีอ๋อง
เจ้าคนขี้ขลาดนี่ ไม่กล้าทำให้เรื่องราววุ่นวายขึ้นจริงด้วย
แต่ก็ไม่เป็นไร การที่เจ้าแปดทำตัวน่าเกลียดเช่นนั้นออกมา ไม่ว่าเบื้องหลังจะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม เสด็จพ่อคงจะไม่ปล่อยและยกโทษเขาง่ายๆ
หลังจากได้ยินคำตอบของฉีอ๋อง จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็หลับตาลง นึกถึงภาพที่เซียงอ๋องเปลือยกายวิ่งล่อนจ้อนเมื่อครู่ นอกจากเขาบ้าคลั่งเมามายเพราะฤทธิ์สุราแล้ว ก็ไม่อาจหาเหตุผลอื่นใดมาอธิบายได้
ต่อให้มีก็คงไม่สะดวกที่จะสืบสวนต่อหน้าผู้คนเช่นนี้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเย็นชา “แยกย้ายกันเถิด”
แต่ละคนมัวเอาก้นติดเก้าอี้อยู่เช่นนั้นทำไม อยากจะให้ทางราชวังเลี้ยงอาหารค่ำอีกมื้อหรือ!
เมื่อพบว่าฮ่องเต้เดินกลับเข้าไปด้านใน ฮองเฮาก็รีบตามไปทันที
ผู้คนที่อยู่ในห้องส่งสายตามองไปทางฮ่องเต้และฮองเฮาที่เดินออกจากที่แห่งนั้น พวกเขาไม่อยากจะจากไปเท่าไรนัก
ฮ่องเต้ยังไม่ได้บอกว่าจะจัดการกับเซียงอ๋องเช่นไร จะให้แยกย้ายแล้วหรือ
เสี่ยวเล่อจื่อซึ่งอยู่ที่นั่นมองไปรอบๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ทุกท่านได้โปรดออกไปจากที่นี่เถิด”
อวี้จิ่นเป็นคนแรกที่เคลื่อนไหว
“พวกเรากลับจวนกันเถิด”
เจียงซื่อเดินไปข้างกายอวี้จิ่น ทั้งสองคนเคียงข้างกันจากไป
ภายในห้องโถงเริ่มมีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง
พระชายาหลู่อ๋องเดินทางไปข้างกายหลู่อ๋องแล้วหยิกเขาขณะที่ทุกคนกำลังยุ่ง ก่อนกระซิบว่า “เป็นเพราะท่านอ๋องที่พูดมาก”
เมื่อขึ้นรถม้าไปแล้ว พระชายาหลู่อ๋องก็ยังไม่กลับสู่สีหน้าปกติ
หลู่อ๋องส่งเสียงพึมพำออกมาด้วยความไม่พอใจว่า “ข้าไม่ได้กล่าวสิ่งใดผิดไป”
พระชายาหลู่อ๋องเหลือบมองเขา “คนอื่นล้วนไม่มีใครกล่าว ท่านอ๋องเหตุใดต้องดึงฉีอ๋องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จะไม่ทำให้เขาเกลียดเอาหรือ”
หลู่อ๋องเบ้ริมฝีปาก “เดิมทีข้าและเจ้าสี่ก็เป็นเช่นนั้น คิดว่าเขาอยากจะพบข้าหรือ เอาเถิด วันนี้มีเรื่องดี พระชายากลับไปร่วมดื่มกับข้าสักจอกเถิด”
พระชายาหลู่อ๋องหน้าแดงเรื่อด้วยความโมโห “ท่านยังคิดจะเฉลิมฉลองอีกหรือ ไม่เห็นหรือไรว่าเซียงอ๋องเป็นเช่นนั้นไปเสียแล้ว”
หลู่อ๋องยิ้มขึ้น “นั่นคือเหตุผลที่เราต้องดื่มฉลอง”
เจ้าแปดทำท่าทางเช่นนั้นออกมา ส่งผลให้เสด็จพ่อโมโหยิ่งนัก ดีไม่ดีอาจจะหันมาร่วมมือกับเขาในเร็วๆ นี้
ในรถม้าที่มีม่านคลุมสีเขียว เจียงซื่อดึงแขนเสื้อของอวี้จิ่น “อาจิ่น เซียงอ๋องคงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะฤทธิ์สุราใช่หรือไม่”
อวี้จิ่นยิ้มเยาะขึ้น “แน่นอนว่าไม่ใช่ เขาแอบอ้างใช้ช่วงโอกาสที่ดื่มสุรากับข้าและใส่ยาพิษลงไป ข้าเพียงแค่นำสุราจอกนั้นกลับคืนไปให้เขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะเปลือยกายวิ่งเช่นนั้น”
หากรู้ว่าจะทำให้ดวงตาของอาซื่อต้องแปดเปื้อน เขาคงใช้วิธีอื่นจัดการพวกโง่เง่าเช่นนั้น
“เจ้าเอากลับคืนไปได้อย่างไร” เจียงซื่อเอ่ยถามด้วยความสงสัย
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นแล้วชี้ไปที่แขนเสื้อกว้าง “ตอนที่ข้าดื่มสุราอยู่นั้นข้าได้ฉวยโอกาสใช้แขนเสื้อบดบังแล้วเทสุราเข้าไปในแขนเสื้อซึ่งมีจอกสุราซ่อนเอาไว้ จากนั้นจึงถือโอกาสรินสุราจอกนั้นใส่ลงไป”
เวลาดื่มสุรา พวกเขาจะถือจอกด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายใช้บังไว้ข้างหน้า แขนเสื้อข้างซ้ายจึงตกลงมาบดบังโดยธรรมชาติ
อวี้จิ่นใช้ถ้วยน้ำชาบนโต๊ะเป็นการแสดงให้นางดู
พบว่าสี่นิ้วของเขายื่นออกมาจากแขนเสื้อ นิ้วโป้งกดไว้ที่ขอบจอกน้ำชา เนื่องจากมีแขนเสื้อปิดบังเอาไว้จึงยากที่จะพบว่าแขนเสื้ออีกข้างหนึ่งมีถ้วยน้ำชาซ่อนอยู่ จะเห็นเพียงอีกฝ่ายหนึ่งดื่มสุราลงไปเท่านั้น
แน่นอนว่าสำหรับอวี้จิ่นมันเป็นเรื่องง่าย หากต้องการใช้โอกาสนี้ ต้องรินสุรากลับไปในจอกอย่างเงียบๆ ความเร็วของเขาหากช้าไปจะไม่ได้ผล
โชคดีที่เขาฝึกฝนวิทยายุทธ์มาเนิ่นนานหลายปี ทักษะของเขายอดเยี่ยมไม่ธรรมดาหากเทียบกับคนอื่นๆ
“อาจิ่น เจ้าว่าในวันนี้ที่เซียงอ๋องทำตัวโง่เง่าเช่นนั้น เสด็จพ่อจะจัดการกับเขาอย่างไร”
เมื่อกลับไปยังตำหนักหย่างซิน จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ตบลงไปยังโต๊ะอย่างดุเดือด “เจ้าลูกคนนี้ช่างทำเรื่องขายหน้ายิ่งนัก น่าโมโหเสียจริง!”