ตอนที่ 1473 ชายชราตัวเล็ก (3) / ตอนที่ 1474 บาปในอดีต (1)
ตอนที่ 1473 ชายชราตัวเล็ก (3)
จวินอู๋เสียชำเลืองมองชายชราด้วยหางตา แล้วยกขวดบรรจุโอสถวิเศษของตัวเองขึ้นมาโบกตรงหน้าชายชรา
“ข้าปรุงมันเอง”
ดววงตาของชายชราแทบจะถลนออกมานอกเบ้า
ไอ้หนูนี่ทำโอสถวิเศษนั่นขึ้นมาเอง เป็นไปได้อย่างไร!
“เจ้าไม่มีอะไรที่ข้าใช้ได้เลย ไปล่ะ” จวินอู๋เสียไม่มีอารมณ์คุยกับชายชราตัวเล็กที่แปลกประหลาดคนนี้อีกต่อไป นางโยนขวดบรรจุโอสถวิเศษของนางไปให้ชายชราร่างเล็ก จากนั้นก็ก้าวเท้าออกเดินไปตามทางของนาง
ชายชราตัวเล็กรับขวดบรรจุโอสถวิเศษเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ และถูกทิ้งให้ยืนตะลึงมองด้านหลังของจวินอู๋เสียที่เดินหายไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบก็ดังมาจากในป่า ชายชราร่างเล็กที่ยืนตะลึงอยู่ก็เก็บสีหน้าประหลาดใจอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาดูล้ำลึกขึ้นขณะมองไปทางบุรุษที่เพิ่งก้าวออกมาจากแนวต้นไม้
“ทำไมนายท่านลงมาจากภูเขาอีกแล้ว” บุรุษคนนั้นถามอย่างจนปัญญาเมื่อเห็นชายชรา
ชายชราร่างเล็กเก็บขวดบรรจุโอสถวิเศษของจวินอู๋เสียเข้าไปในเสื้อคลุมของเขาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หันไปพูดกับบุรุษคนนั้นว่า “อะไร ข้าแค่ออกมาเดินเล่นก็ไม่ได้หรือ อีกอย่าง ข้าก็ลงมาแค่ครึ่งทางเท่านั้น ไม่ได้ออกจากภูเขาเสียหน่อย จะตื่นตระหนกไปทำไม”
บุรุษคนนั้นตอบใช่ซ้ำๆ สายตาของเขามองไปที่ขวดบรรจุโอสถวิเศษซึ่งกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
“นายท่าน…ออกมาทดสอบโอสถวิเศษอีกแล้วหรือ” บุรุษคนนั้นถามอย่างระมัดระวัง
ใบหน้าของชายชราตัวเล็กแข็งกระด้างขึ้นทันที
“ข้าต้องให้เจ้ามาพูดมากเรื่องของข้าด้วยหรือ”
“ไม่ขอรับ!”
“เก็บของพวกนี้ให้ข้า เร็วเข้า!” เมื่อนึกถึงที่จวินอู๋เสียวิจารณ์ ‘ผลงานที่เขาภูมิใจ’ พวกนี้ว่าอย่างไร ชายชราร่างเล็กก็หน้าร้อนขึ้นมาทันที
“เออใช่ งานชุมนุมเทพยุทธ์จะเริ่มขึ้นแล้ว จะมีคนจำนวนมากขึ้นลงเขาฝูเหยา นั่นหมายความว่าจะมีพวกคนเลวมาเพิ่มด้วย ไปดูให้แน่ใจว่าทุกคนจะทำตัวดี สิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ทั่วทั้งภูเขาฝูเหยาเป็นของข้า บอกคนจากเก้าวังกับสิบสองตำหนักให้ดูคนของตัวเองให้ดี ถ้าอยากก่อเรื่องก็ไปทำที่ถิ่นของตัวเองโน่น อย่ามาก่อกวนความสงบของข้า! แล้วก็! ไปตามหาว่าใครเป็นคนทำร้ายเสี่ยวฮวา แล้วโยนมันออกจากภูเขาฝูเหยา” ชายชราตัวเล็กพูดพลางขมวดคิ้ว
“เสี่ยวฮวาบาดเจ็บหรือ” บุรุษคนนั้นมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เขากำลังจะเข้าไปดูอาการของกวางเหมยฮัว ก็พบว่ากวางตัวนั้นสามารถยืนเองได้แล้ว แถมยังเดินมายืนตรงหน้าเขาด้วย
“นายท่าน…เสี่ยวฮวาดูไม่เหมือนบาดเจ็บเลย…”
“เป็นไปได้อย่างไร ก็ข้าเห็นกับตา…” ชายชราร่างเล็กอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเขาหันไปเห็นกวางเหมยฮัวร่าเริงกระฉับกระเฉงอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาก็ฉายแววประหลาดใจทันที สายตาของเขาตวัดไปมองที่บาดแผลบนขากวางเหมยฮัวซึ่งปิดสนิทแล้ว
เขาเห็นชัดๆ เลยว่าเมื่อสักครู่โลหิตยังไหลออกจากบาดแผลอยู่เลย!
“เป็นเพราะโอสถวิเศษนี่” ชายชราร่างเล็กดูเหมือนจะนึกอะไรออก “บ้าเอ๊ย! เป็นความผิดของเจ้าคนเดียวเลย! ข้าต้อง ‘เชิญ’ น้องชายคนนั้นไปดื่มชาสักหน่อยแล้ว!”
บุรุษคนนั้นงงมากว่าทำไมอยู่ๆ เขาถึงถูกด่า และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
ชายชราตัวเล็กยืนนิ่งอยู่กับที่ ดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วจู่ๆ เขาก็ถามขึ้นว่า “ไอ้พวกสิบสองตำหนักนั่นบอกว่าจะจัดงานชุมนุมเทพยุทธ์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“อย่างนั้นคนที่ขึ้นมาบนภูเขาช่วงนี้ก็มาเข้าร่วมงานชุมนุมใช่หรือไม่”
“ใช่ขอรับ”
“เอาล่ะ เจ้าไปบอกพวกนั้นให้เลื่อนเวลาจัดงานชุมนุมเทพยุทธ์ไปอีกครึ่งเดือน” จู่ๆ ชายชราร่างเล็กก็พูดคำที่น่าตกใจพวกนั้นออกมา
“หา”
“หาบิดาเจ้าสิ! ยังไม่รีบเอาคำพูดข้าไปบอกพวกนั้นอีก!” ชายชราร่างเล็กถลึงตาใส่บุรุษคนนั้น น้องชายคนนั้นมีความสามารถด้านโอสถวิเศษที่น่าชื่นชมทีเดียว เขาจะต้องถูกคนของสิบสองตำหนักแย่งตัวในงานชุมนุมเทพยุทธ์นี้แน่ จะปล่อยให้เนื้อชิ้นใหญ่ที่เกือบเข้าปากเขาหลุดไปไม่ได้
ตอนที่ 1474 บาปในอดีต (1)
ยอดเขาฝูเหยามีพื้นที่กว้างขวาง และเนื่องจากยอดเขาเป็นที่ราบเสมอกัน พื้นที่กว้าง ทั้งยอดเขาจึงดูเหมือนเมืองที่กว้างใหญ่ บนยอดเขาไม่ได้มีแค่ร้านค้ามากมายที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ยังมีร้านอาหารประเภทต่างที่ให้บริการที่พักด้วย
แต่ความพลุกพล่านบนภูเขาฝูเหยาจะอยู่แค่ไม่กี่วันเท่านั้น เมื่องานชุมนุมเทพยุทธ์สิ้นสุดลง ทั้งภูเขาฝูเหยาก็จะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็เข้ามาไม่ได้ แม้แต่ศิษย์ของสำนักธาราเมฆที่อยู่บนยอดเขาฝูเหยา ก็ได้รับอนุญาตให้ลงจากภูเขาแค่ช่วงเวลาหนึ่งของทุกเดือนเท่านั้น ช่วงเวลาอื่นๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ใครก็ตามที่กล้ารุกล้ำเข้าไปในภูเขาฝูเหยา จะกลายเป็นปุ๋ยให้กับดินแดนเขียวชอุ่มที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ศิษย์ที่บังอาจออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจะถูกสำนักธาราเมฆขึ้นบัญชีดำเอาไว้
มีข่าวลือว่าสำนักธาราเมฆก่อตั้งขึ้นโดยเก้าวังและสิบสองตำหนัก สองอำนาจใหญ่นี้ แต่สิ่งเกิดขึ้นหลังจากนั้นค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว ไม่ว่าเก้าวังและสิบสองตำหนักจะต่อสู้กันหนักขนาดไหน ก็ไม่มีใครในสองกลุ่มอำนาจนี้กล้าแตะต้องสำนักธาราเมฆเลย แม้ว่าสำนักธาราเมฆจะตั้งอยู่บนยอดเขาฝูเหยาซึ่งเป็นสถานที่ที่มีพลังวิญญาณเข้มข้นมากที่สุด แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรสถานที่นั้นแม้แต่น้อย
จวินอู๋เสียกำลังหาห้องพักบนยอดเขาฝูเหยาเพื่อเข้าพัก ตามการคำนวณเวลาของนาง งานชุมนุมเทพยุทธ์จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่วัน เมื่อเวลานั้นมาถึง จะไม่ได้มีแค่ผู้เยาว์ที่มีความสามารถทั่วสามโลกชั้นกลางเท่านั้นที่มารวมตัวกันที่นี่ แต่ยังมีคนจากสิบสองตำหนักมารวมตัวกันอีกด้วย
โดยรวมแล้ว เหตุผลที่เลื่อนการจัดงานชุมนุมเทพยุทธ์นี้เข้ามาก็เป็นความคิดของสิบสองตำหนัก
แต่…
แม้ว่ายอดเขาฝูเหยาจะกว้างใหญ่ สถานที่ที่ผู้คนจะพักอาศัยได้ก็มีอยู่จำกัด ทำให้จำนวนห้องพักไม่เพียงพอที่จะรองรับทุกคน ตอนที่เสี่ยวเอ้อร์พาจวินอู๋เสียไปที่ห้องพัก ห้องนั้นก็มีผู้เยาว์อีกสามคนนั่งอยู่แล้ว ห้องพักที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กนั้นมีเตียงตั้งอยู่สี่เตียง ทำให้ดูแออัดเล็กน้อย
จวินอู๋เสียกวาดสายตามองใบหน้าของคนทั้งสาม แล้วนางก็นั่งลงบนเตียงของตัวเองทันที
เนื่องจากพวกเขาต่างเป็นผู้เยาว์ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องถามถึงเหตุผลที่พวกเขามาที่นี่
ในฐานะที่เป็นคู่แข่งกัน จึงไม่ต้องพูดถึงความรักหรือความเอื้อเฟื้อใดๆ ทั้งนั้น
หลังจากนั่งอยู่สักพัก ในห้องก็ยังคงเงียบกริบ ผู้เยาว์สองคนออกไปจากห้องทีละคน และเมื่อประตูห้องปิดลง ก็เหลือเพียงจวินอู๋เสียและเด็กหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาอยู่ในห้องแค่สองคนเท่านั้น
จวินอู๋เสียนั่งลูบขนเจ้าแมวดำอย่างเงียบๆ อยู่ที่เตียงของตัวเอง
ผู้เยาว์ที่เตียงอยู่ข้างหน้าต่างก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปทางจวินอู๋เสีย
ในห้องที่ปิดประตูนั้น เขาเอื้อมมือทั้งสองข้างออกมา และ…
อุ้มจวินอู๋เสียขึ้น
“ฮ่าๆๆ! น้องเสีย! นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ!” ผู้เยาว์ร่างสูงยิ้มกว้างพร้อมกับหมุนตัวไปรอบๆ
จวินอู๋เสียกลอกตาขณะที่ตัวกำลังหมุนไปรอบๆ เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นนางก็ตบเบาๆ ที่หัวของเด็กหนุ่มที่กำลังตื่นเต้นมากเกินไป
“เจ้าโง่เฉียว วางข้าลง”
เฉียวฉู่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลังแยกกับสหายแล้ว เขาจะมาเจอกับจวินอู๋เสียโดยบังเอิญตอนที่เข้าพักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้! ตอนที่เขาเห็นจวินอู๋เสียเมื่อครู่ เขาเกือบจะกระโดดด้วยความดีใจแล้ว
โชคดีที่จวินอู๋เสียมองเขาด้วยสายตาเย็นชาเสียก่อน ทำให้เขานึกได้ว่าพวกเขาอยู่ในสถานการณ์ไหน
เพื่อให้พวกเขาแทรกซึมเข้าไปในสิบสองตำหนัก เรื่องที่ ‘ตะปูปลิดวิญญาณ’ ทั้งหลายรู้จักกันจะต้องไม่ถูกเปิดเผยออกไป ดังนั้น ต่อหน้าคนนอก พวกเขาจะต้องทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้ากัน ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ต้องแยกกันขึ้นภูเขาฝูเหยากันคนละเส้นทางแบบนี้