“เกินไป?”วารุณีหัวเราะเสียงดัง แต่สายตานั้นเย็นชามากขึ้น“ที่แท้ที่ฉันต้องการชดใช้ให้ตัวเอง สำหรับคุณจุ๊บแจงแล้ว เป็นเรื่องมากเกินไปเหรอ ฉันยังเพิ่งชมคุณจุ๊บแจงว่าเข้าใจอะไรคือการทำผิด คิดไม่ถึงว่านี่นานแค่ไหนเอง คุณจุ๊บแจงก็ไม่รู้อะไรอีก ดูเหมือนว่าฉันจะมองคุณจุ๊บแจงสูงไปนะคะ คุณจุ๊บแจงไม่ใช่แค่ไม่มีมุมมองทั้งสามที่ถูกต้อง แต่สมองก็ยังไม่มีด้วย”
“คุณ……คุณกล้าว่าฉันไม่มีสมองเหรอ?”จุ๊บแจงเบิกตาโต โกรธจนยืนขึ้นมา
วารุณีมองบนใส่ในใจ จากนั้นโบกมือ“เจ้าสี่”
“คุณหญิง”บอดี้การ์ดที่ถูกวารุณีเรียกว่าเจ้าสี่ก็เข้ามา“คุณหญิงมีอะไรจะสั่งไหมครับ?”
“ฉันจำได้ว่า คุณมีใบอนุญาตทนายใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”เจ้าสี่พยักหน้า จากนั้นก็หัวเราะอย่างเขินอาย“แต่ผมมีแต่ใบอนุญาตทนายระดับต้น”
“ไม่เป็นไร เพียงพอแล้ว คุณบอกคุณจุ๊บแจงที่ไม่รู้กฎหมายคนนี้หน่อยสิ ฉันขอให้เธอชดใช้ผิดเหรอ?”วารุณีชี้จุ๊บแจงที่อยู่ตรงข้าม
เจ้าสี่พยักหน้า“ครับคุณหญิง”
เขาก้าวเท้าเดินไปที่ตรงหน้าจุ๊บแจง หยุดลงตรงหน้าจุ๊บแจงที่ห่างไปแค่สองเมตร จากนั้นมองจุ๊บแจงด้วยใบหน้าเรียบเฉย พูดด้วยลักษณะแบบทนายสีหน้าเรียบเฉย:“คุณจุ๊บแจง คุณคิดว่าคุณหญิงของพวกเราขอให้ชดใช้ไม่ได้ใช่ไหม?”
“ไม่สมควรอยู่แล้ว ฉันไม่ได้ทุบตีเธอสักหน่อย แค่พูดถึงเธอไม่กี่คำ เธอมีสิทธิ์อะไรมาขอให้ฉันชดใช้ล่ะ”จุ๊บแจงพูดอย่างไหล่สั่นเล็กน้อย
เจ้าสี่หรี่ตาลง“ดีมาก ตอนนี้ผมมั่นใจท่าทีของคุณจุ๊บแจงแล้ว คุณตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ชดใช้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นผมก็จะบอกคุณจุ๊บแจง ว่าเรื่องนี้ คุณต้องชดใช้หรือไม่ อย่างแรก สร้างข่าวลือจริง และก่อนสร้างข่าวลือ คุณหญิงของผมก็ไม่ได้ไปทำอะไรคุณจุ๊บแจงด้วย ดังนั้นเรื่องนี้ ตั้งแต่ต้น เป็นความผิดของคุณจุ๊บแจงคนเดียว สำหรับตรงนี้ คุณจุ๊บแจงน่าจะไม่คัดค้านใช่ไหม?”
จุ๊บแจงอ้าปาก“ฉัน……”
“คุณจุ๊บแจงไม่อยากยอมรับใช่ไหม?”เจ้าสี่จ้องตาของเธอ
เจ้าสี่ในฐานะที่เป็น บอดี้การ์ด เลยมีความน่าเกรงขามในตัวเอง และตอนนี้มาสวมมาดเป็นทนายที่จริงจัง ความน่าเกรงขามนั้นก็มากขึ้นไปเอง
ดังนั้นเผชิญหน้ากับสายตาเย็นชาของเจ้าสี่ หัวใจของจุ๊บแจงจึงสั่น ที่อยากเถียงข้างๆคูๆ ก็พูดไม่ออกเลย
เจ้าสี่ไม่สนว่าเธอตกใจตัวเองหรือไม่ เห็นเธอไม่พูด ก็พูดต่อไปเองว่า“คุณจุ๊บแจงไม่พูด งั้นผมก็ถือว่าคุณจุ๊บแจงยอมรับ ดังนั้นเรื่องสร้างข่าวลือ คุณหญิงของผมเป็นผู้ถูกกระทำอยู่แล้ว คุณจุ๊บแจงเป็นผู้กระทำความผิด ก็ต้องรับผิดชอบเต็มที่ ตามกฎหมายประเทศเรา คุณจุ๊บแจงกระทำผิดสร้างข่าวลืออีก ความผิดสร้างข่าวลือถึงแม้ไม่ถือเป็นคดีอาญา แต่ในแง่ของการลงโทษ ก็มีโทษปรับและคุมขัง”
“อะไรนะ?”สีหน้าจุ๊บแจงเปลี่ยนไป“คุมขัง?จะเป็นไปได้ไง คุณกำลังหลอกฉัน!ฉันแค่พูดไม่กี่คำ ทำไมต้องถูกคุมขังเลยล่ะ?”
ด้านหลัง วารุณีรับน้ำที่บอดี้การ์ดอีกคนยื่นมา หลังจากดื่มไป ก็พูดเบาๆ“เจ้าสี่ คุยกับเธอดีๆ ให้ความรู้ทางกฎหมายเธอหน่อย”
“ครับคุณหญิง”เจ้าสี่พยักหน้า จากนั้นพูดอีกว่า:“สร้างข่าวลือก็ต้องถูกคุมขัง แต่นั่นต้องเป็นการสร้างข่าวลือที่แรงๆถึงจะโดน ถ้าเบา ก็จะโดนแค่ตำหนิและถูกปรับ และก็เป็นค่าเสียหายทางจิตใจที่ถูกผู้สร้างข่าวลือกระทำ”
ได้ยินคำนี้ จุ๊บแจงโล่งอกทันที
เพราะเธอคิดว่าตัวเองแค่สร้างข่าวลือเบาๆ
ก็แค่โทษเบาแต่ยังต้องถูกปรับ ก็ทำให้เธอไม่สบายใจอย่างมาก
ตอนที่จุ๊บแจงคิดว่าตัวเองไม่ถูกคุมขังและผ่อนคลายลง คำพูดต่อไปของเจ้าสี่ กลับทำให้เธอดิ่งลงเหว
“แต่ว่าสถานการณ์อย่างคุณจุ๊บแจง ต้องถูกคุมขังแน่”เจ้าสี่พูด
รูม่านตาจุ๊บแจงหดลง“คุณพูดอะไร?ฉันต้องถูกคุมขังเหรอ?”
“ถูกต้อง”เจ้าสี่ตอบอย่างแน่ใจสุดๆ
“ไม่มีทาง!”จุ๊บแจงตะโกนด้วยอารมณ์ร้อนรน
เธอจะถูกคุมขัง?
เธอจะถูกคุมขังได้อย่างไร?
เขาแค่พูดเล่นไปอย่างนั้น จะไปถึงขั้นคุมขังเลยได้ไงกัน?
ถ้าโดนปรับ ถึงไม่ยอมแค่ไหนเธอก็ยอม แต่คุมขังนี่ เธอไม่ยอมเด็ดขาด!
“เจ้าสี่ บอกเธอ ทำไมเธอถึงถูกคุมขัง”วารุณีวางแก้วน้ำลง พูดเบาๆ
เจ้าสี่ตอบกลับ จากนั้นสายตาที่มองจุ๊บแจง ก็เหมือนกับมองของตาย“เดิมทีคุณจุ๊บแจงแค่สร้างข่าวลือ ซึ่งไม่ถือว่ารุนแรงเท่าไหร่ อย่างมากก็ถูกปรับ แต่ตอนนั้นที่คุณจุ๊บแจงสร้างข่าวลือ เครื่องบินยังไม่บินขึ้น ดังนั้นตอนนั้นคนในชั้นประหยัดจึงเยอะมาก และอัดคำพูดของคุณจุ๊บแจงที่เป็นข่าวลือไว้ โพสต์ลงเน็ต ตามกฎหมายแล้ว จงใจทำลายชื่อเสียงผู้อื่นทางออนไลน์ แค่กดไลค์และแชร์มากกว่า ห้าร้อย ก็ไปถึงขั้นโดนคุมขังได้แล้ว และพอดีว่า ชั้นประหยัดมีเน็ตไอดอลคนหนึ่ง ดังนั้นเกี่ยวกับข่าวลือพวกนั้นของคุณจุ๊บแจง จึงมากเกินกว่าห้าร้อยแล้ว”
พูดไป ก็กลัวจุ๊บแจงไม่เชื่อ เจ้าสี่หยิบโทรศัพท์ออกมา เปิด Twitter ที่เน็ตไอดอลอัปโหลด จากนั้นยื่นไปตรงหน้าจุ๊บแจง“เห็นยัง?คุณจุ๊บแจง เน็ตไอดอลคนนั้นไม่ใช่แค่เอาคำพูดของคุณ โพสต์ลงไปหมด แต่ยังโพสต์รูปหน้าด้านข้างของคุณหญิงพวกเราด้วย ดังนั้นไม่ใช่แค่คุณ เน็ตไอดอลคนนั้น ก็ต้องชดใช้ให้กับพฤติกรรมนี้ ถ้าคุณจุ๊บแจงคิดว่าผมกำลังขู่คุณ คุณสามารถไปค้นดูในเน็ตได้ ดูว่าแชร์ข่าวลือและกดไลค์เกินห้าร้อย จะถูกคุมขังหรือไม่”
จุ๊บแจงดูหน้าจอโทรศัพท์ ใบหน้าทั้งใบก็แดงระเรื่อ“ฉัน……ฉันไม่รู้ว่าคำพูดพวกนั้นจะถูกโพสต์ลงเน็ต”
เธอไม่รู้จริงๆ
ขณะเดียวกัน เธอก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมา ค้นดูว่าหากข่าวลือเกินห้าร้อย จะถูกคุมขังจริงไหม
อย่างไรก็ตามพอค้นออกมา มองดูผลด้านบนแล้ว จุ๊บแจงก็ตะลึงงันไปหมด หัวใจดวงหนึ่งเหมือนตกลงไปในโรงน้ำแข็ง
จริง……จริงเสียด้วยสิ!
หากข่าวลือแชร์และถูกใจเกินห้าร้อย จะถูกคุมขังจริงๆ…..
ไม่ เธอจะไม่ถูกคุมขัง
เธอถูกคุมขังไม่ได้เด็ดขาด
ถ้าถูกคุมขัง งั้นนัทธีก็จะยิ่งดูถูกเธอใช่ไหม?
คิดไป ร่างของจุ๊บแจงก็สั่น มองวารุณีด้วยตาแดงก่ำ“คุณภรรยานัทธีขอร้องล่ะ ได้โปรดยกโทษให้ฉันได้ไหม ฉัน…..ฉันไม่อยากถูกคุมขัง ฉันไม่อยากถูกคุมขังจริงๆ“
เวลานี้ ในที่สุดจุ๊บแจงก็ไม่โอหังอวดดีอีก แต่ร้องไห้ด้วยความกลัว
ยังไงก็ไม่มีใครอยากถูกคุมขัง เพราะจะเป็นคดีติดตัวไป
วารุณีมองจุ๊บแจงอย่างเย็นชา ไม่รู้สึกสะเทือนใดๆกับน้ำตาและท่าทางที่น่าสงสารของเธอ พูดอย่างเยือกเย็น:“ที่จริงตอนต้น ฉันให้โอกาสคุณแล้ว ฉันบอกแล้ว แค่คุณชดใช้ฉันก็พอ แบบนั้นที่จริงฉันก็จะปล่อยคุณไป ยังไงฉันก็ไม่อยากเสียเวลาอย่างมากที่นี่ แต่ใครจะไปรู้ว่าคุณไม่รับโอกาสที่ฉันให้คุณเลย ปฏิเสธที่จะชดใช้ให้ฉัน ดังนั้นขอโทษที คุณก็ไปถูกคุมขังซะเถอะ”
พูดจบ วารุณีก็ยืนขึ้นมา จะออกไป
“คุณภรรยานัทธี!”จุ๊บแจงเห็นเธอจะไป ก็รีบขึ้นไป อยากดึงเธอไว้
แต่ยังไม่รอให้เธอแตะต้องวารุณี พวกบอดี้การ์ดอย่างเจ้าสี่ก็มาหยุดเธอไว้ ไม่ให้เธอแตะต้องวารุณีสักนิด
วารุณีมองเธออย่างเย็นชา“คุณจุ๊บแจง ที่จริงฉันคิดว่าคุณไปเข้าห้องคุมขังสักช่วงหนึ่ง เรียนรู้และเพิ่มความรู้ทางกฎหมาย เพื่อไม่ให้ต่อไปได้ทำผิดอีก คุณทำมันได้แหละ”
พูดจบ เธอก็เดินไปที่ประตูห้องพัก
บอดี้การ์ดสองคนตามอยู่ด้านหลัง
บอดี้การ์ดสองคนที่เหลือไม่ได้ตามไป แต่จับจุ๊บแจงซ้ายขวา เดี๋ยวจะไปส่งที่สถานีตำรวจ