“ผมรู้ว่าคุณไม่ไปแน่ ผมก็ไม่อยากไป ดังนั้นผมจึงพูดกับเขาว่า ไม่จำเป็น”นัทธีตอบ
วารุณีพยักหน้า“งั้นก็ดี”
และก็ไม่รู้ว่าพิชิตคิดอย่างไร ทั้งที่รู้ว่าพวกเขาต่างเกลียดนวิยาเข้ากระดูก จะไปร่วมงานศพของนวิยาได้อย่างไร
อย่างไรก็ตามพิชิตก็ยังถามพวกเขาว่าจะไปหรือไม่
“เอาล่ะ ดูทีวีเถอะ”นัทธีหยิบรีโมต กดการ์ตูนที่หยุดชั่วคราว ให้เล่นอีกครั้ง
สี่คนพ่อแม่ลูกเข้าสู่ช่วงเวลาของครอบครัวอันอบอุ่นอีกครั้ง จนสี่ทุ่ม ถึงกลับขึ้นไปพักผ่อนที่ห้อง
วันที่สอง ตอนที่วารุณีตื่นมา ก็เก้าโมงแล้ว
นัทธีไม่อยู่ห้องแล้ว เธอลูบตรงที่เขาเพิ่งนอนไป ยังมีความอุ่นเล็กน้อย
คิดแล้วเขาน่าจะเพิ่งลุกขึ้นไม่นานนัก
วารุณีบิดขี้เกียจ เปิดผ้าห่มออก แล้วลงจากเตียงไปอาบน้ำที่ห้องน้ำ
อาบน้ำเสร็จ เธอเปิดประตูห้อง เตรียมลงไป
ห้องเปิดออก เด็กทั้งสองคนยืนยิ้มให้เธอตรงหน้าประตู“หม่ามี๊ อรุณสวัสดิ์”
วารุณีตกใจลูกทั้งสองคนก่อน จากนั้นยิ้มอย่างประหลาดใจ“ทำไมพวกลูกมาอยู่นี่ล่ะ?ตั้งใจมาเรียกหม่ามี๊เลยเหรอ?”
อารัณพยักหน้า“ครับ พ่อให้พวกเราขึ้นมาเรียกหม่ามี๊ทานอาหารเช้า”
“พ่อ?”วารุณีเลิกคิ้วขึ้น“พ่อยังอยู่บ้านเหรอ?”
“ค่ะ พ่ออยู่ชั้นล่าง”ไอริณตอบ
วารุณีเข้าใจทันที“ที่แท้ก็แบบนี้เอง ในเมื่อพ่อเรียกพวกเรากินอาหารเช้า งั้นพวกเราลงไปกันเถอะ”
เธอยังคิดว่านัทธีออกไปทำงานแล้ว คิดไม่ถึงว่าจู่ๆจะอยู่บ้าน กินอาหารเช้ากับพวกเขา
ยังไงตอนนี้ก็เก้าโมงแล้ว ถึงเวลาเข้างานของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปแล้ว
วารุณีจูงมือลูกสองคนคนละข้างลงไปชั้นล่าง นัทธีนั่งบนโซฟาห้องรับแขก ในมือยังถือนิตยสารเศรษฐกิจไว้ กำลังอ่านอยู่
ได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็วางนิตยสารแล้วหันหน้าไปมอง เห็นสามคนแม่ลูกลงมา ใบหน้าที่เยือกเย็นก็มีรอยยิ้มอันอบอุ่น“ตื่นแล้วเหรอ?”
“อือ”วารุณีพยักหน้า“ฉันคิดว่าคุณไปทำงานแล้วเสียอีก”
“วันนี้ผมไม่ต้องไปบริษัท ต้องไปตระเวนตรวจสำนักงานสาขาของจังหวัดจันทร์ ดังนั้นออกไปสายหน่อยได้”นัทธียืนขึ้นมาแล้วพูด
วารุณีเงยคางขึ้น“ที่แท้ก็แบบนี้”
“ไปเถอะ ไปกินอาหารเช้าก่อน”นัทธีเดินไป
เด็กสองคนสบตากัน จากนั้นปล่อยมือของวารุณี ผลักวารุณีไปในอ้อมแขนของนัทธี
วารุณีก็คิดไม่ถึงว่าลูกสองคนนี้จะทำแบบนี้ จึงไม่ทันระวัง โผเข้าหานัทธีอย่างตกใจ
นัทธีเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นหัวเราะรับเธอไว้
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”นัทธีโอบเอวของเธอไว้แล้วถาม
วารุณีส่ายหน้า ตบหน้าอก“ไม่เป็นไร แค่ตกใจเด็กบ้าสองคนนี้”
พูดไป เธอก็หันหน้าไป แกล้งทำเป็นโกรธลูกสองคน“ลูกสองคนนี่……”
เธอยังพูดไม่จบ เด็กทั้งสองคนก็ทำท่าล้อเลียนใส่เธอ จากนั้นจูงมือกัน วิ่งไปที่ห้องอาหารด้วยรอยยิ้ม
วารุณีมองแผ่นหลังของเด็กทั้งสองคน ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย“เด็กสองคนนี้นี่ จริงๆเลย”
“พวกเขาเพิ่มความรู้สึกให้พวกเรา”นัทธีก้มหน้ามองเธอแล้วพูด
วารุณีส่ายหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้“ฉันรู้ ดังนั้นฉันจึงไม่ได้โกรธจริงๆ ถ้าจู่ๆทำแบบนี้โดยไม่มีเหตุผล งั้นก็ต้องสั่งสอน”
“ผมเชื่อว่าลูกของพวกเรา จะไม่ใช่เด็กซนไร้เดียงสาแบบนั้น”นัทธีหัวเราะเบาๆ จากนั้นเอามือที่ไว้ตรงเอวเธอออก เปลี่ยนเป็นจูงมือของเธอ“เอาล่ะ ไม่พูดละ ไปเถอะ ไปห้องทานข้าวก่อน”
“อือ”วารุณีพยักหน้ายิ้มๆ
ช่วงอาหารเช้า จู่ๆป้าส้มก็พามารุตเดินเข้ามา
มารุตยืนตรงหน้านัทธี“ประธานคุณหญิง อรุณสวัสดิ์ครับ อรุณสวัสดิ์ด้วยนะเด็กน้อยทั้งสอง”
“อรุณสวัสดิ์คุณอามารุต”เด็กทั้งสองคนเงยหน้าทักทายมารุต
วารุณีก็หัวเราะ“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ผู้ช่วยมารุต”
“คุณมาเวลานี้ มีอะไรเหรอ?”นัทธีถือกาแฟขึ้นมาจิบ จากนั้นมองมารุตแล้วถาม
“ข่าวดีครับ”มารุตพูดไป ก็หยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมา จากในกระเป๋าเอกสารที่ติดตัวมาด้วย
“นี่คือสำเนากระบวนการกลับประเทศของคุณชายน้อยสุขใจ กระบวนการทั้งหมดจัดการสำเร็จหมดแล้ว”
พูดไป มารุตก็จะเอาเอกสารยื่นให้นัทธี
แต่ระหว่างที่ให้ ก็ถูกวารุณีที่ตื่นเต้นหยิบไป“นี่เป็นกระบวนการกลับประเทศของสุขใจเหรอ?”
“เป็นสำเนาครับ”มารุตแก้ให้“ตัวจริงส่งไปทางสถานทูตแล้วครับ ดังนั้นผมจึงหยิบสำเนามาให้พวกคุณหญิงตรวจสอบ”
เป็นตัวจริงหรือสำเนานั้นไม่สำคัญ
ที่สำคัญคือ นี่เป็นกระบวนการกลับประเทศของสุขใจ
“คุณจะบอกว่า กระบวนการจัดการสำเร็จแล้ว?”นัทธีวางแก้วกาแฟลงแล้วถาม
มารุตพยักหน้า“ใช่ครับ”
“งั้นความหมายคือ สุขใจกลับประเทศได้แล้ว?”วารุณีคว้าสำเนาไว้ในมืออย่างตื่นเต้น
เด็กทั้งสองคนได้ยินเกี่ยวกับน้องชายคนเล็กของตัวเอง ก็หยุดช้อนในมือลง และดวงตาก็เป็นประกาย
“หม่ามี๊ น้องสุขใจจะกลับมาแล้วเหรอ?”ไอริณถาม
อารัณพูด:“ต้องใช่อยู่แล้ว คุณอามารุตก็บอกแล้วนี่?กระบวนการสำเร็จ งั้นก็ต้องกลับประเทศได้แน่นอน”
“คุณชายน้อยพูดถูก คุณชายน้อยสุขใจกลับประเทศได้แล้วครับ”มารุตตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
วารุณีเบ้าตาแดงก่ำอย่างดีใจ“ดีจัง ดีมากๆ นัทธีคุณได้ยินไหม?สุขใจกลับประเทศได้แล้ว”
นัทธีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม“ผมได้ยินแล้ว”
จากนั้น เขาก็ถามมารุตอีก“สุขใจน่าจะกลับมาเมื่อไหร่?”
“ภายในสองวันก็กลับมาได้แล้วครับ เพราะว่าทางต่างประเทศจัดการเรียบร้อยแล้ว แค่รอทางสถานทูตต่างประเทศอนุมัติ ก็จะกลับมาได้แล้วครับ”มารุตตอบ
วารุณีก็ยิ้มขึ้นมาจากที่ร้องไห้“สองวัน ดีจัง อีกสองวันจากนี้ ฉันก็จะได้เจอสุขใจแล้ว”
“พวกเราจะได้เห็นน้องชายแล้ว”ไอริณกระโดดขึ้นอย่างดีใจ
ถึงแม้จะเคยเห็นน้องชายแค่ครั้งสองครั้ง แต่น้องชายนั้นที่นอนในกล่องแก้วเล็กๆ แดงไปทั้งตัว ทั้งผอมและเล็ก กลับทำให้เธอจำได้ฝังใจ
และจากตอนนั้น เธอก็เข้าใจทันที ทำไมพี่ชายต้องดูแลเธอขนาดนี้ เพราะว่าเธอเล็กมาก ดังนั้นต้องการการดูแลใส่ใจ ต้องการการปกป้อง
และน้องชายตัวเล็กขนาดนั้น ดังนั้นเธอก็ต้องดูแลน้องชายให้ดี
“ทางโรงพยาบาลทางนี้จัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”นัทธีถามอีกว่า
สุขใจกลับมาที่นี่ ยังต้องอยู่ในตู้อบต่อไป
“จัดการเรียบร้อยแล้วครับ ตามที่ท่านกำชับมา ไม่ได้ไปหาโรงพยาบาลของตระกูลจรูญอุดมสุข แต่เป็นโรงพยาบาลที่พวกเราลงทุนเอง”มารุตพูด
นัทธีพยักหน้า“งั้นก็ดี”
จากนั้น มารุตก็ไป ไปในรถที่อยู่ด้านนอกคฤหาสน์ พอนัทธีมา จากนั้นก็ไปตระเวนตรวจสำนักงานสาขา
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ สี่คนพ่อแม่ลูก ก็ออกไปจากบ้าน จากนั้นแยกกันที่หน้าประตูคฤหาสน์ นัทธีขึ้นไปรถที่มารุตเปิด แล้วเดินไปก่อน
วารุณีเอาเด็กทั้งสองคน ส่งต่อให้คนขับรถที่รับผิดชอบส่งเด็กๆโดยเฉพาะ หลังจากรอจนคนขับรถขับรถพาเด็กทั้งสองคนออกไป ตัวเองจึงขับรถไป แล้วออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์
มาถึงบริษัท วารุณีเพิ่งนั่งลงเปิดคอม ยังไม่ทันจัดการเอกสาร โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
วารุณีไม่ได้มองว่าใครโทรมา ก็เอาโทรศัพท์แนบไว้ที่หู“ฉันวารุณีเองค่ะ”
“วารุณี”โทรศัพท์มีเสียงร้องไห้ที่กลัวอย่างวิตกกังวลของคุณแม่ปารวี
สีหน้าวารุณีตกใจ ยืดหลังตรงขึ้นมา“คุณน้า ทำไมคะ?”
“วารุณี ปาจรีย์……ปาจรีย์……”เหมือนว่าคุณแม่ปารวีจะเจอเรื่องอะไรที่น่ากลัว เสียงสั่นสุดๆ คำพูดทั้งประโยคนั้น พูดไม่ออก
วารุณีลูบคิ้ว“คุณน้า อย่าเพิ่งรีบร้อน มีอะไรค่อยๆพูด ปาจรีย์เป็นอะไรกันแน่คะ?”