บทที่ 755 เดี๋ยวจะโดนคนอื่นแย่งไปเสียก่อน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 755 เดี๋ยวจะโดนคนอื่นแย่งไปเสียก่อน

บทที่ 755 เดี๋ยวจะโดนคนอื่นแย่งไปเสียก่อน

ตอนอู่ร่างเห็นท่าทางใจดีของปู่ จมูกพลันแสบขึ้นมาเล็กน้อย เขาคิดถึงครอบครัวมากจริง ๆ ตอนพี่ใหญ่แต่งงานช่วงวันหยุดฤดูร้อน เขาก็อยากกลับมาเหมือนกัน แต่ต้องล้มเลิกไปเพราะมีฝึกอบรบ

โชคดีที่ได้มาเป็นครูฝึกอยู่ที่มหาวิทยาลัยจิ่งเฉิง จึงมีโอกาสกลับมาเยี่ยมทุกคน

“เด็กดี! เด็กดี!” ชายชราตื่นเต้นไม่ต่างกัน

“คุณปู่! ผมกลับมาแล้วครับ!” เขายิ้มทั้งน้ำตา

ต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไกลบ้าน มันทำเขาคิดถึงคนที่บ้านเหลือเกิน แต่เพราะนี่คือเส้นทางที่เขาเลือก จึงรู้ว่าเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันมันน้อยลงแน่นอน

“เสี่ยวอู่เอ้ย ได้กลับมาก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว ๆ แข็งแรงดีนะ!” ชายชรายิ้มพลางตบไหล่หลานชาย

หลานชายตัวโตขึ้นมาก ร่างกายแข็งแรง ถือเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ! การได้อยู่ในกองทัพมันสร้างความแตกต่างได้ขนาดนี้เลย สามารถฝึกฝนคนได้!

เสี่ยวเถียนเห็นคนทั้งสองกอดกันก็รู้สึกยินดียิ่ง

ในขณะเดียวกัน คนอื่น ๆ ในบ้านรับรู้ถึงการมาถึงของพวกเรา เลยทยอยกันออกมาทีละคนแล้วเข้าไปคุยกับซูอู่ร่าง เป็นเพราะการมาถึงของหลานชายคนที่ห้า นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเถียนไม่ได้รับความสนใจของคนที่บ้าน แต่เธอไม่คิดว่ามันผิดปกติตรงไหน

ครอบครัวควรเป็นแบบนี้แหละ!

ที่จริงเสี่ยวเถียนรู้อยู่แล้วว่าปู่ย่าเหมือนจะรักเธอมากที่สุด แต่พวกท่านก็รักพี่ ๆ เหมือนกัน แต่เพราะพวกเขาเป็นเด็กผู้ชาย การปฏิบัติจึงไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเธอ ไม่งั้นครอบครัวเราไม่มีทางสามัคคีแบบนี้หรอก

ว่ากันตามตรง ความสามัคคีปรองดองของพวกเรามันเป็นผลมาจากความพยายามร่วมกันของทุกคนในบ้าน ไม่ใช่ผลงานของคนใดคนหนึ่งเท่านั้น สำหรับเหตุผลที่ความสัมพันธ์ของตระกูลสามารถกลมเกลียวแบบนี้ได้กลายปีนี่คือสองผู้อาวุโสอย่างคุณปู่คุณย่าซูที่มีเหตุผล

ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหา พวกเขาไม่เคยลำเอียงเข้าข้างลูกหลานคนไหนเป็นพิเศษ

“เสี่ยวเถียน อิจฉาหรือเปล่า?” ฮั่วซือเหนียนสงสัย

หลังจากได้คลุกคลีกับครอบครัวนี้ ทำให้เขารู้ว่าทุกคนรักเด็กคนนี้ ว่ากันตามปกติคือ เด็กที่เป็นที่รักมักจะขี้อิจฉามากกว่าใคร ๆ

“อาจารย์ฮั่วคิดมากเกินไปแล้ว พี่ห้าเป็นพี่ชายหนูนะ จะไปอิจฉาได้ยังไงเล่า?”

เสี่ยวเถียนกลอกตาใส่โดยไม่รู้ตัว ลืมไปเสียสนิทว่าคนตรงหน้ามีตำแหน่งเป็นอาจารย์ของเธอด้วย

ฮั่วซือเหนียนชะงัก

ไม่อิจฉาพี่ชายด้วยเหรอ?

สองพี่น้องไม่ค่อยทะเลาะกันใช่ไหม? แต่เขาพูดไปได้ที่ไหนล่ะ? แน่นอนว่าไม่ได้อยู่แล้ว!

“คุณปู่คุณย่าดูเหมือนรักเสี่ยวเถียนมากที่สุด แต่จริง ๆ พวกท่านก็ให้ความสำคัญกับหลานชายคนอื่นเช่นกันครับ!”

เป็นฉืออี้หย่วนที่เห็นปัญหานี้ออกแต่แรก

ฮั่วซือเหนียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง และก็รู้สึกว่าเหมือนจะจริงอย่างที่ว่า ว่ากันว่าตอนนี้พวกหลาน ๆ มีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว แถมค่าบ้านยังได้ปู่กับย่าใช้เงินออมอุดหนุนช่วยเหลือด้วย

จากนั้นกิจการหออีหมิงจะส่งต่อให้ซูอู่ร่างดูแล เพราะเขาเป็นทหาร ไม่สามารถหาได้เท่าหารายได้เท่าคนอื่น ๆ ถ้าคิดแบบนี้แล้วล่ะก็ เสี่ยวเถียนที่ทุกคนมักเห็นว่าเป็นที่ที่รักของทุกคน จริง ๆ แล้วไม่ได้ได้ผลประโยชน์ไปมากกว่าใคร ๆ เลย

ฮั่วซือเหนียนเข้าใจหลังจากคิดได้

นี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเติบโตและรวมตัวกันได้สินะ

“แบบนี้เองสินะ!”

เสี่ยวเถียนเดินเข้าร้านแล้วเทน้ำผิวแอปริคอตแช่เย็นดื่มดับกระหาย โดยไม่ลืมเทให้อาจารย์ฮั่วและพี่อี้หย่วนด้วย

ทั้งสามคนหาที่นั่งลงแล้วดื่มน้ำพลางสนทนาไปด้วย

หลังผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ช่วงเวลาแห่งวันเก่า ๆ ก็จบลง

คุณย่าซูเรียกให้พนักงานเสิร์ฟอาหาร เพื่อนั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน

ที่จริงงานเลี้ยงในวันนี้ยังขาดสมาชิกไปสองคน นั่นคือซูเหล่าเอ้อและภรรยา ตอนนี้พวกเขายุ่งกับธุรกิจ ทำงานหาเงินอยู่ที่ตัวเมืองมณฑลอยู่นู่น แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับเรานี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสหายากแล้ว

เถาฮวามองหลานชาย แล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงลูกคนโตตนเอง เสี่ยวเหลียงของเรากำลังจะรับราชการทหารเหมือนกัน เป็นเรื่องยากมากที่จะได้พบเขาบ่อย ๆ พอเห็นอู่ร่างกลับบ้านจึงคิดถึงลูกขึ้นมา

เสิ่นจื่อเจินเห็นท่าทางเศร้าสร้อยของภรรยาจึงบีบมือเบา ๆ

“คิดถึงเสี่ยวเหลียงเหรอ?”

“ใช่ค่ะ ไม่รู้ว่าช่วงนี้เขาสบายดีหรือเปล่า!” เถาฮวายิ้ม

“สบายดีอยู่แล้วล่ะ!”

เสิ่นจื่อเจินเอ่ยทั้ง ๆ ที่ไม่มั่นใจ แต่เพราะเสี่ยวเหลียงเป็นเด็กที่รู้เหตุรู้ผลมากกว่าใคร ๆ เวลามีเรื่องอะไรก็มักจะเขียนจดหมายบอกแต่เรื่องดี ๆ และสาธยายให้ฟังว่ามันดีแค่ไหน แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะ ผ่านอะไรมาเยอะ มีหรือจะไม่รู้ว่าชีวิตคนเรามันมีเรื่องไม่น่ายินดีมากมายเพียงไหน

“เสี่ยวเหลียงบอกไม่ใช่เหรอว่าเขาจะเตรียมสอบเข้าโรงเรียนทหาร ไว้ถึงเวลาเราค่อยชักชวนให้เขามาสอบโรงเรียนในเมืองหลวงก็ได้ จะได้เจอกันบ่อย ๆ ไง” เสิ่นจื่อเจินปลอบโยน

“ให้ลูกตัดสินใจเองเถอะ ฉันก็ไม่ใช่แม่ที่คิดถึงแต่ตัวเองนะ!” เถาฮวายิ้ม

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเถาฮวาคงมีความคิดเช่นนั้น แต่หลังจากได้ใช้ชีวิตที่นี่และมีประสบการณ์มากขึ้น จึงเปลี่ยนความคิดเธอโดยสิ้นเชิง

“ดีแล้วที่คุณคิดแบบนี้เถาฮวา โชคดีนะที่มีเสี่ยวเหมยอยู่ด้วย” ฝ่ายสามีมองลูกสาวที่กำลังหัวเราะคิกคักกับฮั่วซือเหนียนไกล ๆ ทั้งภาคภูมิใจและเคอะเขิน

ลูกสาวเขาเก่งมาก ประสบความสำเร็จได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แค่ไอ้หนุ่มข้าง ๆ มันน่ารังเกียจเหลือเกิน!

ฮั่วซือเหนียนชอบเสี่ยวเหมยที่แสนสดใสของครอบครัวเราได้ยังไง?

“อย่าเอาแต่จ้องเสี่ยวฮั่วแบบนั้นสิ เขาเป็นคนดีจริงใจต่อเสี่ยวเหมยนะ พ่อแม่ของเขาก็ดีเช่นกัน”

เถาฮวาดึงแขนเสื้อสามี เพราะรับรู้ถึงสายตาไม่เป็นมิตรของจากเขาได้ ยิ่งตาคนนี้มองลูกเขยเท่าไรก็ยิ่งโมโหมากเท่านั้นไม่ใช่หรือไง? เห็น ๆ กันอยู่ว่าฮั่วซือเหนียนเป็นชายหนุ่มที่ค่อนข้างดีทีเดียว แล้วทำไมในสายตาสามีถึงเห็นเขามีปัญหาอยู่ตลอด?

“ช่างเถอะ ถึงไอ้หนุ่มนั่นจะไม่นับว่าดีที่สุด แต่มันก็พยายามทำตัวให้เหมาะกับลูกสาวเราจนสนิทด้วยได้!” เสิ่นจื่อเจินไม่เต็มใจสักนิด

ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเหมยเองก็ชอบอีกฝ่ายเหมือนกัน คนเป็นพ่อแบบเขาไม่มีทางชอบหรอกนะ

“ได้ยินว่าเสี่ยวฮั่วเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเสี่ยวเถียนด้วยนะ” เถาฮวานึกเรื่องที่ลูกสาวบอกขึ้นได้จึงเอ่ยออกมา

“จริงเหรอ? เขาไปจิ่งเฉิงตั้งแต่เมื่อไรน่ะ?”

“เพิ่งมาเทอมนี้เลยน่ะ”

มหาวิทยาลัยจิ่งเฉิงดีกว่ามหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์อยู่แล้ว

“ก็ยังถือว่าดีอยู่!” เสิ่นจื่อเจินมองชายหนุ่มแล้วเบ้ปาก

ถ้าอนาคตได้มีโอกาสพูดเรื่องนี้ เขาสามารถยืดอกบอกได้แล้วว่าลูกเขยเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยจิ่งเฉิง!

หัวอกพ่อตาไงล่ะ!

ผู้อาวุโสข้าง ๆ หัวเราะตอนเห็นเสิ่นจื่อเจินมองซ้ายมองขวา

อวี่รุ่ยหยวนออกตัวพูดแทน

“อาจารย์เสิ่นคะ ฉันว่างานแต่งเสี่ยวฮั่วกับเสี่ยวเหมยควรได้รับการสรุปโดยเร็วนะคะ!”

เพื่อที่จะได้ไม่โดนคนอื่นแย่งไปเสียก่อน!