“อือ”ไอริณพยักหน้าแรงๆ“แน่นอนค่ะพ่อ ไอริณแข็งแรง จะปกป้องน้องเอง ไม่ให้น้องได้รับบาดเจ็บสักนิด เหมือนที่พี่ปกป้องไอริณ”
เธอบีบกำปั้นเล็กน้อย
อารัณก็ตบหน้าอกรับประกัน“วางใจเถอะครับพ่อ ผมเป็นพี่ ไม่ใช่แค่จะปกป้องน้องชาย แต่ผมจะปกป้องน้องสาวให้ดีด้วย”
เขาฉลาดมาก ตอนนี้กำลังเรียนความรู้ระดับมหาวิทยาลัยแล้ว
ดังนั้นเขารู้ดีว่า ชีวิตของน้องชายนี้ ไม่สามารถเล่นเหมือนคนปกติได้ เกรงว่าแม้แต่กีฬาที่ตัวเองชอบก็ไม่สามารถแตะต้องได้ ได้แค่ดูแลอย่างระมัดระวัง ไม่งั้นก็กลัวว่าน้องชายจะป่วย และตายไป
หมายความว่า แบบนี้น้องชาย แม้แต่งานก็ทำไม่ได้ หมายความว่า ตั้งแต่ต้น น้องชายก็เสียสถานะผู้เข้าชิงสืบทอดบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปไปแล้ว ลิขิตมาว่าชีวิตนี้ ได้แต่ใช้ยาเพื่ออยู่รอด เป็นคุณชายที่อยู่เฉยๆ
ดังนั้นเขาที่เป็นพี่ใหญ่ ต้องดีกับน้องชายให้มากหลายเท่า ชดเชยที่น้องชายเสียพวกนี้ไป
“พวกลูกเป็นเด็กดีมาก”นัทธีลูบหน้าเล็กๆของเด็กทั้งสองคน ในใจรู้สึกพอใจอย่างมาก
จากนั้น นัทธีก็ยืนขึ้นมา มองไปที่วารุณีที่แนบไปตรงกระจก มองสุขใจด้วยสายตาอ่อนโยน ก้าวเท้าเดินไป“อยากเข้าไปดูไหม?”
“ได้ไหม?”ดวงตาวารุณีเป็นประกาย
นัทธีมองไปที่คุณหมอกฤต
คุณหมอกฤตพยักหน้า“ได้ครับ ตอนนี้คุณชายน้อยไม่อ่อนแอเหมือนตอนเพิ่งเกิด ที่ห้ามใครเข้าใกล้ ถ้าประธานนัทธีกับคุณหญิงอยากเจอ ก็เข้าไปดูได้ แต่ได้แค่ห้านาทีนะครับ ยังไงตอนนี้ภูมิคุ้มกันร่างกายคุณชายน้อย ก็ยังอ่อนแออยู่”
“ไม่เป็นไร ห้านาทีก็พอค่ะ”วารุณีสูดหายใจ พูดอย่างดีใจ
มีเวลาได้เจอห้านาที ก็ดีกว่าไม่มีสักนาทีหนึ่ง
เธอควรพอใจ
รอต่อไปสุขใจออกจากโรงพยาบาล เธออยากดูนานแค่ไหน ก็ได้ดูนานเท่านั้น
“งั้นเปลี่ยนชุดปลอดเชื้อทางนี้ครับ”หลังจากคุณหมอกฤตทำท่าเชื้อเชิญ ก็นำทางอยู่ข้างหน้า
วารุณีกับนัทธีจูงมือลูกทั้งสองตามเข้าไป ฆ่าเชื้อ หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดปลอดเชื้อ จึงเข้าไปในห้องทารกแรกเกิด
มองเห็นสุขใจอย่างใกล้ชิด วารุณีก็ปล่อยมือนัทธี เร่งฝีเท้าเดินมาอย่างไวที่ตรงหน้าตู้อบ ก้มหน้ามองสุขใจในตู้อบ เสียงสั่นเล็กน้อย“สุขใจ นี่หม่ามี๊เองนะ……”
สุขใจหลับตา มือเล็กๆสองข้างกำไว้ครึ่งหนึ่งตรงข้างศีรษะสองข้าง ขาเล็กทั้งสองข้าง ยังขดเป็นรูปตัว O มองไปแล้วน่ารักอย่างมาก ทำให้ใจละลายได้
นัทธีก็ยืนอยู่ข้างๆวารุณี ก้มหน้ามองลูกชายคนเล็กของตัวเอง ริมฝีปากบางๆยกขึ้นมาอย่างอบอุ่น
ที่แท้ทารกก็เล็กขนาดนี้จริงๆ
อารัณกับไอริณ ตอนนั้นก็โตมาแบบนี้หรือเปล่า?
คิดไป เขาก็ก้มหน้ามองลูกทั้งสองคนที่เขย่งเท้าอยู่ด้านล่าง กำลังจ้องมองไปที่ตู้อบเช่นกัน
ตอนนี้เอง จู่ๆคุณหมอกฤตที่ตามเข้ามาด้วยกันก็พูดว่า“ที่จริงประธานนัทธีกับคุณหญิงมาไม่ค่อยบังเอิญเท่าไหร่นัก มาตอนที่คุณชายน้อยหลับ ถ้าพวกคุณมาตอนที่คุณชายน้อยตื่นมาแล้ว ไม่แน่ว่า คุณชายน้อยก็จะได้เจอพวกคุณ”
“สุขใจมีตื่นมาด้วยเหรอคะ?”วารุณีหันไปมองคุณหมอกฤต
คุณหมอกฤตพยักหน้า“ครับ แต่ส่วนมากคุณชายน้อยจะหลับ วันหนึ่งตื่นมา อย่างมากที่สุดก็ห้าครั้ง แต่แป๊บเดียวก็หลับไปอีก แต่ส่วนมากเป็นเพราะยาถึงหลับไป ดังนั้นถึงได้หลับลึกแบบนี้”
ได้ยินคำว่ายาคำนี้ ในใจของนัทธีกับวารุณี ก็ยิ่งรู้สึกผิดไปด้วย
ในฐานะพ่อแม่ พวกเขาไม่ผ่าน ตอนลูกหกเดือน ก็คลอดลูกออกมา ทำร้ายลูกให้นอนแต่ในตู้อบที่เย็นนี้ ร่างกายที่ใหญ่แค่สองฝ่ามือใหญ่ ก็ถูกบังคับให้รับยาและการรักษาต่างๆเพื่อให้อยู่รอด
นี่คือความประมาทเลินเล่อของพ่อแม่อย่างพวกเขา เป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกแย่ต่อลูก ในฐานะพ่อแม่
“เอาล่ะ อย่าคิดมาก”นัทธีใจเย็นมากกว่าวารุณี
เขาตบไหล่ของวารุณีเบาๆ“ต่อไป พวกเราค่อยตอบแทนให้ลูกอย่างดี”
แค่ไม่เลี้ยงสุขใจจนเสียคน สุขใจอยากได้อะไร พวกเขาก็จะให้เขาทุกอย่าง
วารุณีตอบอือด้วยตาแดงก่ำ“โอเค ต่อไปค่อยชดเชยให้สุขใจ”
มีแค่แบบนี้ พวกเขาถึงลดความรู้สึกผิดลงไปได้บ้าง
เวลาผ่านไปไวมาก แป๊บเดียวก็ถึงห้านาที
คุณหมอกฤตมองดูนาฬิกา“ประธานนัทธี คุณหญิง พวกเราควรออกไปได้แล้ว”
วารุณีมองสุขใจ แต่ชัดเจนว่าไม่ค่อยอยากไป
แต่สุดท้าย นัทธีก็จูงเธอออกไป
ยังไงอยู่ข้างในนานมากไป ก็ไม่ดีต่อสุขใจ
วารุณีก็รู้ส่วนนี้ดี ดังนั้นจึงปล่อยให้ตัวเองถูกจูงออกไป ไม่งั้น เธอก็ไม่ไปแน่
ออกมาจากห้องทารกแรกเกิด วารุณีหันหน้ามองสุขใจที่มีกระจกหนาๆสองชั้นกั้นแยกกับตัวเองไว้ ที่ห่างไปหลายสิบเมตร ในใจก็เจ็บปวดเหมือนถูกเข็มแทง
นัทธีโอบเอวเธอเบาๆ“อยากร้องก็ร้องเถอะ”
คำนี้พูดออกมา วารุณีก็ทนไม่ไหวจริงๆ ถลาเข้าไปในอ้อมแขนของเขา แล้วร้องไห้ออกมา
นัทธีลูบผมเธอเบาๆ ปลอบอย่างไร้เสียง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เสียงร้องไห้ของวารุณีก็ค่อยๆหายไป แล้วก็ไม่มีการเคลื่อนไหว
นัทธีก้มหน้าลงมอง จึงพบว่า เธอผล็อยหลับไปในอ้อมแขนเขาแล้ว
มองคิ้วเธอที่ขมวดแน่น และขนตาที่เปียกเป็นเส้นๆ นัทธีก็ถอนหายใจ
เด็กสองคนเขย่งเท้าถาม:“พ่อ หม่ามี๊หลับแล้วเหรอ?”
“อือ ร้องไห้จนเหนื่อย ดังนั้นจึงหลับไป”นัทธีตอบกลับเสียงเบา
อารัณกะพริบตา“งั้นพวกเราอุ้มหม่ามี๊กลับไปที่รถเถอะ”
“อือ”นัทธีพยักหน้า“’พวกลูกเดินนำหน้า”
“โอเค”เด็กทั้งสองคนได้ยินก็ตอบไป จูงมือกันเดินอยู่ข้างหน้า
นัทธีอุ้มวารุณีขึ้นมา ตามอยู่ด้านหลัง
เขารู้ว่าทำไมวารุณีถึงร้องไห้ เพราะว่าเป็นความรู้สึกผิดที่มีต่อสุขใจ
สุขใจเป็นลูกที่พวกเขาสองคนสามีภรรยาไม่คาดคิด และยังคลอดก่อนกำหนด
พวกเขาสองคนพ่อแม่ให้ร่างกายที่ไม่แข็งแรงต่อสุขใจ ทำให้สุขใจถูกลิขิตมาว่าชีวิตนี้ ไม่สามารถวิ่งกระโดดได้เหมือนเด็กทั่วไป
ดังนั้นพวกเขาที่เป็นพ่อแม่ จะไม่รู้สึกผิดได้อย่างไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวารุณีที่เป็นหม่ามี๊ ก็จะยิ่งรู้สึกว่า เธอไม่ได้ปกป้องสุขใจให้ดี ไม่ได้ทำหน้าที่แม่อย่างดี จึงทำให้สุขใจคลอดก่อนกำหนด
เธอจะเอาความผิดทั้งหมดไปไว้ที่เธอคนเดียว ดังนั้นความรู้สึกผิดของเธอที่มีต่อสุขใจ มากซะยิ่งกว่า เขาที่มีต่อสุขใจแน่นอน
และแบบนี้ เธอจึงร้องไห้เป็นแบบนี้
หนึ่งชั่วโมงกว่าต่อมา รถจอดอยู่ที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์
ป้าส้มได้ยินเสียงรถ ก็ออกมาต้อนรับ
เห็นนัทธีอุ้มวารุณีลงมา ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ“คุณผู้ชาย คุณผู้หญิงเขา……”
เธอคิดว่าวารุณีบาดเจ็บ หรือว่าป่วย จึงร้อนใจมาก
นัทธีก้มหน้ามองวารุณีแล้วตอบ:“เธอไม่เป็นไร แค่ร้องไห้จนเหนื่อย แล้วหลับไป”
“ร้องไห้จนเหนื่อย?”ป้าส้มขมวดคิ้ว“เกิดอะไรขึ้นคะผู้ชาย ทำไมคุณหญิงถึงร้องไห้?”
นัทธีเม้มริมฝีปาก“เพราะสุขใจ”
“สุขใจ?”ป้าส้มตะลึง จากนั้นตระหนักอะไรได้ จึงปิดปากแล้วอุทานด้วยความตกใจ:“คุณผู้ชาย สุขใจกลับมาแล้วเหรอคะ?”
“อือ”นัทธีพยักหน้า“ในใจเธอมีแต่ความรู้สึกผิดมหาศาลต่อสุขใจ ยังไม่เห็นสุขใจก็ยังดีอยู่ ความรู้สึกผิดเก็บไว้ในใจทำให้มองไม่ออก ตอนนี้พอเห็นสุขใจ ความรู้สึกผิดของเธอก็ปกปิดไม่อยู่ พรั่งพรูออกมาทีเดียว ดังนั้นแป๊บเดียว ก็ทำตัวเองร้องไห้จนเหนื่อย”
“ที่แท้ก็แบบนี้”ป้าส้มถอนหายใจ“คุณหญิงเป็นแบบนี้จริงๆ”
นัทธีตอบอือ“ดังนั้นผมเลยไม่ได้ห้ามเธอ กลับให้เธอร้องไห้ ให้เธอร้องไห้บ้างก็ดี จะได้ไม่มีอะไรก็เอาแต่เก็บไว้ในใจ เก็บไว้จนสุดท้ายป่วย