“ไม่ใช่” ลีน่าส่ายหัว “ หากเป็นจุ๊บแจง ฉันก็บอกเธอไปนานแล้วซิ ไม่มาทำตัวลับๆล่อๆแบบนี้หรอก ”
วารุณีเม้มริมฝีปากแน่น “ไม่ใช่จุ๊บแจง แล้วเป็นใคร?”
เป็นศัตรูคนไหนของเธอ?
เธอจำได้ว่า ศัตรูของเธอในตอนนี้ มีแค่นิรุตติ์ กับจุ๊บแจงแค่นั้น
เดี๋ยวก่อนนะ เธอลืมไปอีกคนหนึ่ง สุชาดา!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ วารุณีก็มองไปที่ลีน่า “เธอคงไม่ได้หมายถึงสุชาดาหรอกใช่ไหม?”
นิรุตติ์นั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเขาไม่น่าจะปรากฏตัวขึ้นในที่ตรงนี้เด็ดขาด
เพราะที่นี่ยังมีบอดี้การ์ดของเขาอยู่
หากนิรุตติ์ปรากฏตัว ยังไงก็ต้องถูกสังเกตเห็นแน่นอน
ดังนั้นจึงไม่น่าจะใช่นิรุตติ์ เหลือแค่สุชาดาแล้ว
เป็นไปตามคาด เมื่อวารุณีพูดออกมา ลีน่าก็พยักหน้าให้ทันที “ใช่เลย คนนั้นแหละ!”
แม้เธอจะไม่รู้จักกับสุชาดา แต่เธอก็รู้ว่าสุชาดากับวารุณีนั้นมีเรื่องบาดหมางกัน
เพราะในระหว่างการแข่งขันระดับนานาชาติ เชอรีนได้บอกเธออยู่ตลอดว่า ก่อนหน้านั้นของพวกเขา สุชาดากับคนที่ชื่อโสรยาอะไรนั้น ร่วมมือกันประทุษร้ายวารุณี
จากนั้นเชอรีนยังได้ให้เธอดูรูปของสองคนนั้นด้วย ดังนั้นเธอจึงจำได้ ว่าหน้าตาของสุชาดากับโสรยาเป็นยังไง
และทันทีที่เธอเห็นสุชาดา เธอก็จำได้
“สมกับเป็นเธอจริงๆ” วารุณีขมวดคิ้วแน่น
ลีน่ายกน้ำขึ้นจิบแล้วพูดว่า“วารุณี เธอต้องระวังตัวนะ สุชาดาที่ควรจะอยู่ในประเทศ แต่ตอนนี้กลับมาโผล่อยู่ที่นี่ แล้วยังมาเป็นที่เดียวกับที่เราจะแข่งขันอีกดังนั้นฉันขอเดาว่า คนคนนี้น่าจะตั้งใจมาที่นี่เพราะเธอเลยล่ะ ”
เมื่อวารุณีได้ฟังคำพูดของหญิงสาว ก็พยักหน้าให้ “ฉันรู้แล้ว ขอบใจนะลีน่า แล้วเธอเห็นไหมว่าสุชาดาเขาไปทางไหน?”
“ฉันเห็นเขาตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่เขาไม่รู้จักฉันหรอก ดังนั้นฉันก็เลยไม่ปิดบังตัวตน จากนั้นก็เดินตามเขาไป เห็นว่าเขาเข้าไปในห้องรับรองห้องหนึ่ง ห้องที่สองของชั้นบน ”
ลีน่ายื่นนิ้วออก แล้วชี้ให้ดู
วารุณีเงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นก็ยกยิ้ม “ อืมฉันรู้แล้ว ช่างเขาไปก่อน รอเรากลับไป ฉันจะให้บิ๊กคอยเฝ้าสังเกตการณ์ดู ”
บิ๊ก เป็นหัวหน้าของเหล่าบรรดาบอดี้การ์ดของเธอ
ลีน่าวางแก้วน้ำในมือลง “ ก็ได้ เธอเองก็ระวังตัวด้วย ดูแลตัวเองดีๆ ”
“ได้ วางใจเถอะ ”วารุณีรับคำแล้วยกยิ้มให้
หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีก และเริ่มทานอาหารกัน
หลังจากที่ทานอาหารแล้วเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดค่ำแล้ว
เดิมทีลีน่าว่าจะชวนไปเดินเล่นต่อ แต่วารุณีปฏิเสธ
ดึกมากแล้ว เธออยากกลับไปวิดีโอคอลคุยกับลูกๆทั้งสองคน
เมื่อคืนเด็กน้อยทั้งสองคนรอเธอ จนผล็อยหลับไป วันนี้เธอไม่อยากให้เด็กทั้งสองต้องรออีก
เมื่อลีน่าเห็นว่าเธอไม่ไป ไม่มีทางเลือก เธอก็จึงไปคนเดียว
ส่วนวารุณี ก็เดินทางกลับคฤหาสน์กับบอดี้การ์ดทั้งสองคน
กลับมาถึงที่คฤหาสน์ วารุณีก็วิดีโอคอลไปหานัทธี
โชคดีที่ในตอนนี้ นัทธีก็กลับมาถึงที่คฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์พอดี เห็นเธอวิดีโอคอลมา ก็จึงเรียกเด็กน้อยทั้งสองคนลงมาจากชั้นบน
“คุณพ่อ สายจากหม่ามี๊ใช่ไหม?” อารัณจูงมือไอริณเดินลงมาจากชั้นบนแล้วพลางเอ่ยถาม
นัทธีพยักหน้าให้เล็กน้อย “ใช่ รีบมาเร็ว ”
“มาแล้วค่ะ”ไอริณสะบัดมือของอารัณออก วิ่งไปตรงหน้าของนัทธี จากนั้นก็กอดไปที่แขนของนัทธี อยากจะแย่งโทรศัพท์มา
“ช้าๆก่อน”นัทธีกลัวว่าลูกสาวจะเร่งรีบ จากนั้นก็สะดุดล้ม เหยียดแขนออก แล้วอุ้มลูกสาวขึ้นมา วางลงบนตัก “อ่ะนี่ ถือดีๆล่ะ ”
นัทธีวางโทรศัพท์ไว้ในมือของลูกสาว
ไอริณพยักหน้าให้ซ้ำๆ “ค่ะ ไม่ต้องห่วงค่ะคุณพ่อ หนูไม่หกล้มหรอก พี่อารัณมาเร็ว เรามาคุยกับแม่ด้วยกัน ”
“มาแล้วๆ”อารัณยิ้มให้ จากนั้นก็เดินไปอย่างรวดเร็ว
สองพี่น้องแก้มแนบแก้ม มองไปที่กล้อง จากนั้นก็จึงกดรับสาย
ทันทีที่กล้องเปิดขึ้นมา วารุณีก็เห็นใบหน้าที่น่ารักของลูกๆ หัวใจเหลวเป็นน้ำ “ลูกรัก”
“หม่ามี๊”เด็กทั้งสองคนเรียกวารุณีขึ้นพร้อมกัน
รอยยิ้มของวารุณีก็ยิ่งอ่อนโยนมากขึ้น “ ลูกรัก หม่ามี๊คิดถึงลูกจังเลย ”
“หม่ามี๊พวกเราก็คิดถึงเหมือนกัน คุณพ่อด้วยอีกคน คุณพ่อก็คิดถึงหม่ามี๊มากด้วย ” ไอริณพูดอย่างอ่อนหวาน จากนั้นก็ยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าของนัทธี
วารุณีเห็นนัทธี ริมฝีปากแดงๆก็ขยับ“ที่รัก ฉันก็คิดถึงคุณเหมือนกัน ”
มุมปากอันบางของนัทธียกหยักขึ้น เห็นชัดว่าอารมณ์ดีมาก
จากนั้น ไอริณก็ดึงโทรศัพท์กลับมาตรงหน้าของตัวเองกับอารัณ “หม่ามี๊ เมื่อวานทำไมหม่ามี๊ไม่โทรมาหาคุณพ่อล่ะ หนูกับพี่อารัณรอหม่ามี๊อยู่ รออยู่ตั้งนานหม่ามี๊ก็ไม่โทรมา สุดท้ายก็หลับไปเลย ”
ในขณะที่พูด ไอริณก็ยู่ปากอย่างน้อยใจ
อารัณก็พยักหน้าด้วย “ใช่ครับหม่ามี๊”
ใบหน้าของวารุณีรู้สึกผิด“ขอโทษด้วยลูกรัก เมื่อวานหม่ามี๊ยุ่งมาก จนดึกมากแล้วก็ถึงได้โทรไปหาคุณพ่อ หม่ามี๊ไม่รู้ว่าลูกรอหม่ามี๊อยู่ ไม่อย่างนั้น หม่ามี๊ก็คงจะโทรไปเร็วกว่านี้ แต่วางใจนะ ต่อไปหม่ามี๊จะไม่โทรดึกแบบนั้นอีกแล้ว จะพยายามหาเวลาแล้วโทรกลับไปหาให้เร็วกว่านี้ดีไหม?”
“ดีค่ะ” ไอริณพยักหน้าให้อย่างดีอกดีใจ
อารัณเองก็ยกยิ้มออกมาเช่นกัน
วารุณีคุยกับลูกน้อยทั้งสองอยู่สักพัก จากนั้นก็ให้เด็กๆเอาโทรศัพท์คืนให้นัทธี
เด็กทั้งสองคนรู้ว่าคนเป็นพ่อกับแม่นั้นยังมีเรื่องต้องคุยกันอีก แม้จะยังอาลัย แต่ก็คืนโทรศัพท์ให้นัทธี
นัทธีรับมันมา แล้วลูบไปที่หน้าผากเล็กๆของเด็กทั้งสองคนเบาๆอย่างรักใคร่ แล้วจึงหันโทรศัพท์มาที่ตัวเอง “วันนี้เหนื่อยไหม?”
วารุณีส่ายหัวแล้วยกยิ้ม “ไม่เหนื่อยค่ะ เราเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่ผู้เข้าแข่งขัน ดังนั้นก็จึงไม่ต้องตั้งสมาธิ และแบกความกดดันเอาไว้เหมือนผู้เข้าแข่ง เราแค่ต้องนั่งอยู่ตรงนั้น รอผู้เข้าแข่งขันส่งแบบมาก็พอ ”
“งั้นก็ดี อย่าปล่อยให้ตัวเองเหนื่อยเกินไปนะ”นัทธีพูดอย่างอ่อนโยน
วารุณีตอบอืมกลับไปคำหนึ่ง“ที่รักวางใจได้ ฉันรู้ลิมิตตัวเอง แล้วคุณล่ะ ? ฉันเห็นใต้ตาคุณดำคล้ำมาก สองสามวันนี้งานยุ่ง จนไม่ได้นอนเลยเหรอ ? ”
“ก็ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น แต่แค่นอนไม่หลับ เพราะไม่มีคุณอยู่ข้างๆ ” นัทธีมองดูเธอ
วารุณีหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “อยู่ห่างจากฉันไม่ได้ขนาดนี้เลยเหรอ?”
“อืม”นัทธีพยักหน้ายอมรับ “หากเป็นไปได้ ผมอยากจะขังคุณไว้ให้อยู่ใกล้ๆ แต่ผมรู้ว่าทำแบบนั้นไม่ได้ คุณเป็นคนมีความทะเยอทะยาน และรักอิสระ หากผมทำแบบนั้น ก็เท่ากับทำร้ายคุณ อีกอย่าง ผมชอบดูคุณเวลาที่มุ่งมั่นทำอะไรสักอย่าง มันเปล่งประกายมากกว่า ”
ฟังคำชื่นชมของชายหนุ่ม แก้มของวารุณีก็เห่อร้อนขึ้นมาเล็กน้อย “ที่รัก ขอบคุณนะ ขอบคุณที่คุณคอยสนับสนุนฉันอยู่ตลอดแบบนี้ ”
อันที่จริงแล้วผู้ชายในสังคมชนชั้นสูง ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายที่บ้าอำนาจ อีกทั้งยังเผด็จการด้วย
พวกเขามักจะ ชอบบงการและควบคุมภรรยาของตัวเอง อยากควบคุมความคิดความอ่าน ความสามารถ และอิสรภาพของภรรยา
พวกเขาหวังให้ภรรยาของตัวเองนั้นใช้เงินเป็นอย่างเดียว ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อยู่บ้านนั่งเป็นคุณนาย เป็นกาฝากที่ต้องพึ่งพาอาศัยพวกเขา ไม่ชอบผู้หญิงที่เข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้
เพราะแบบนั้น พวกเขาจะรู้สึกเสียหน้า เพราะคนเป็นภรรยาข้ามหน้าข้ามตา อีกทั้งยังอิจฉาภรรยาด้วย
โชคยังดีที่สามีของเธอไม่ใช่คนแบบนั้น
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ วารุณีก็เผยรอยยิ้มที่พึงพอใจ “เออนี่ที่รัก คุณเดาดูว่าวันนี้จุ๊บแจงทำอะไรไปบ้าง?”
นัทธีพูดเสียงเรียบ“ ผมไม่อยากสนใจ”
“ฉันรู้ว่าคุณไม่สนใจ แต่ฉันอยากจะเล่าให้คุณฟัง” วารุณีกล่าว
นัทธีมองดูเธอ “อืม งั้นก็เล่ามาสิ”
รอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของวารุณี “เธอเหรอ เพื่อรับมือกับการแข่งขันในครั้งนี้ เธอเอาผลงานของนักออกแบบหลายๆคนมารวมเข้าด้วยกัน ทำให้งานแบบนั้นไม่มีอะไรดีเลย”
“คนแบบนี้ คุณคัดชื่อเธอออกได้เลย ”นัทธีพูดด้วยน้ำเสียงที่รังเกียจอย่างไม่ปิดบัง