บทที่ 690 ให้หน้า...ข้าสักหน่อย! (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 690 ให้หน้า…ข้าสักหน่อย! (1)

ทันทีที่หรานเติ้งเพิ่งปรากฏตัวขึ้นที่นี่ อุปกรณ์ต่างๆ ของพวกเขาก็เข้าที่แล้ว ไม่เพียงแต่พวกเขาจะให้อุปกรณ์ช่วยชีวิตแก่เขา แต่พวกเขายังมอบไม้เฉียนคุนให้กับเขาเพื่อใช้โจมตีอีกด้วย…

ปรมาจารย์จอมปราชญ์ต้องการให้ข้าทำอันใด?

ข้าควรทำลายแผนการของศัตรูและเตือนนักพรตเต๋าเฒ่าผู้นี้ให้ประพฤติตัวดีๆ หรือไม่?

ข้าน่าจะต้องทำร้ายหรานเติ้งอย่างหนักในวันนี้ ไม่เช่นนั้น ปรมาจารย์จอมปราชญ์ของข้าคงไม่มอบไม้เฉียนคุนให้ข้า

ทว่าเขาก็ไม่อาจฉวยโอกาสนี้เพื่อกำจัดหรานเติ้งได้ ไม่เช่นนั้น ปรมาจารย์จอมปราชญ์ก็น่าจะส่งแผนภาพไท่จี๋มาให้ เพราะหากไม่มีแผนภาพไท่จี๋ หลี่ฉางโซ่วก็เชื่อว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหรานเติ้ง

หลี่ฉางโซ่วขี่เมฆมาอยู่เหนือบรรดาเซียนแห่งสำนักตู้เซียนอย่างสงบและสำรวม เขาลืมตาครึ่งหนึ่งในขณะที่เส้นผมสีขาวของเขาปลิวไสวเล็กน้อย

บัดนั้นลมปราณเสวียนหวงสีเหลืองเข้มก็ค่อยๆ ตกลงมารอบตัวเขาช้าๆ แล้วเขาก็เก็บไม้เฉียนคุนเอาไว้ในแขนเสื้อของเขา

เจตจำนงวิญญาณในใจของเขาพุ่งสูงขึ้น และทำให้เขาร้องตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า “ศิษย์น้อย คราวนี้ เราควรทำอย่างไร? เราควรสังหารหรานเติ้งเท่านั้นหรือไม่?

ข้าไม่ชอบโคมโลงศพที่ต่ำช้าน่ารังเกียจนั้นมานานแล้ว วันนี้ เมื่อท่านปรมาจารย์ยินยอม เราก็ต้องทำลายเขา!”

“ท่านปู่เจดีย์ ไม่ต้องห่วง หลังจากนี้จะมีปรมาจารย์อีกคนมาช่วยขอรับ” หลี่ฉางโซ่วตอบกลับพลางแย้มยิ้มอยู่ในใจ

“เพราะอย่างไรเสีย หรานเติ้งก็เป็นรองเจ้าสำนักแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน ดังนั้นการลงมือโจมตีโดยตรงย่อมไม่ปลอดภัยสำหรับเรา

มาดูกันว่าเราจะบีบบังคับให้เขาโจมตีเรา แล้วเราต่อสู้กลับได้หรือไม่?”

ปู่เจดีย์พิศวงงงงวยแล้วกล่าวว่า “จะมีผู้ใดมาอีกเล่า? เจ้าศิษย์คนโตของข้าก็กำลังนอนเฝ้าชมการแสดงอยู่ใต้ต้นไม้ และเขาก็ไม่คิดจะลงมาจัดการด้วย

ทว่าศิษย์น้อย เจ้าจงอย่าได้ดูเบาหรานเติ้ง

ในสมัยโบราณ คนผู้นี้ได้ทำความชั่วร้ายอย่างมหันต์นัก เขามีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวและมีเจตนาแอบแฝงเร้นลึกอยู่ภายใน ท่านปรมาจารย์ก็ยังคอยเฝ้าดูอยู่เช่นกัน ดังนั้นจงอย่าให้เรือเขาพลิกคว่ำ[1]”

หลี่ฉางโซ่วถึงกับพูดไม่ออก

ท่านปรมาจารย์ไท่ชิงก็กำลังเฝ้าชมการแสดง หลักฐานยืนยันเด่นชัด!

ในขณะนั้นเจตจำนงวิญญาณอีกสายหนึ่งก็ถูกส่งมา ไม้เฉียนคุณก็กล่าวขึ้นเช่นกัน เขาพูดอยู่ในใจของหลี่ฉางโซ่วว่า “ข้ารู้ว่า หรานเติ้งทำผิดมากและยังต้องการหนังหน้า[2]!”

หลี่ฉางโซ่วขอบคุณเขาและระแวดระวังมากขึ้น…

แม้ว่าก่อนหน้านี้ เขาได้มีความระมัดระวังต่อหรานเติ้งมากยิ่งกว่าเต็มที่แล้วก็ตาม

เขาต่อสู้กับหรานเติ้งมากี่ครั้งแล้วนี่?

ไม่เพียงการต่อสู้กลางอากาศจากระยะไกลได้เท่านั้น แต่ในระหว่างการปะทะกันครั้งแรก หรานเติ้งยังสามารถรุกและถอยได้อย่างอิสระ

นั่นย่อมเน้นให้เห็นว่าเขาเป็นคนหนังหนา[3]ที่ไม่ธรรมดาเพียงใด

วันนี้ไม่ต้องเดาเลยว่า ในเมื่อหรานเติ้งเลือกจะเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ หรานเติ้งก็ย่อมต้องเล่นเล่ห์เหลี่ยมและซุ่มโจมตี สี่ ห้า หรือหกครั้ง…

แต่หลี่ฉางโซ่วก็ไม่รีบร้อน และแม้ในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาก็ไม่สนใจจะปะทะคารมกับหรานเติ้งเพื่อชิง “อำนาจในการครองความเป็นเจ้าแห่งน้ำลายในน่านฟ้าสูงสุด”

เป็นไปตามที่คาดไว้ เพียงขณะที่หรานเติ้งมาถึงเหนือเหล่าผู้เป็นเซียนแห่งสำนักเซียนเต๋า ใบหน้าเคร่งขรึมนั้น ก็ดูเผยความไม่พอใจเล็กน้อยออกมา ทว่าความจริงแล้ว มันเป็นใบหน้าที่ซูบตอบและซีดเซียวเหี่ยวแห้ง

เขาทำตัวตรงและสง่างามและเอ่ยปากกล่าวว่า “อย่างไรเสีย บรรดาสำนักเซียนของทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าก็จะไม่ทำลายความปรองดองของทั้งสามสำนักในการต่อสู้ของมนุษย์นี้

แล้วไฉนเทพวารีถึงมาปรากฏกายด้วยตัวเองเช่นนี้?”

ทันใดนั้นทั่วทั้งท้องฟ้ายามราตรีก็เงียบงันฉับพลัน

บรรดาผู้เป็นเซียนจากทั้งสองฝ่ายล้วนไม่กล้าเคลื่อนไหวหรือส่งเสียงใดๆ

สัมผัสเซียนรับรู้และสายตาจ้องมองของพวกเขาทั้งหมด ล้วนมุ่งความสนใจไปที่ปรมาจารย์จากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินที่ครองเจดีย์ขนาดเล็กอยู่ด้านบน หรือผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามว่า เทพวารีแห่งศาลสวรรค์

เหตุใด…

ไร้เสียง?

หลี่ฉางโซ่วยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น เขาหลับตาลงครึ่งหนึ่งราวกับว่าจิตใจของเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น

ในขณะนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าที่อยู่บนพื้นดินซึ่งกำลังหลับตาเข้าฌานอยู่ ได้ลืมตาขึ้นมาอย่างสงสัยใคร่รู้

ทว่านางก็เหลือบมองไปที่หลี่ฉางโซ่วซึ่งกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ข้างๆ นาง แล้วนางก็นึกถึงคำสั่งของศิษย์พี่ก่อนหน้านี้ได้ นางจึงยังคงหลับตาและควบคุมลมปราณของนางต่อไป

ท้องฟ้ายามราตรีนี้เต็มไปด้วยความอึดอัดลำบากใจ

ในขณะนั้น นักพรตเต๋าหรานเติ้งไม่มีอะไรผิดปกติไปเลยแม้แต่น้อย และเขาก็กล่าวอีกครั้งว่า “ในเมื่อเทพวารีไม่เอ่ยวาจาใด

เช่นนั้น ย่อมหมายความว่าได้รับรู้เรื่องนี้แล้ว สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินของท่านรังแกสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานของข้า แล้วเรื่องนี้ เราควรหารือกันอย่างไร?”

ทั้งหมดล้วนก็เงียบงัน

เหล่าผู้เป็นเซียนจากทั้งสองฝ่ายต่างรออยู่สักพัก ทว่าเทพวารีก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ

หากไม่เป็นเพราะเจดีย์เสวียนหวงในมือของเทพวารีที่กำลังหมุนไปอย่างช้าๆ บรรดาผู้เป็นเซียนคงคิดว่านี่เป็นภาพนิ่ง…

เกิดอันใดขึ้น?

ในทางกลับกันนั้น หรานเติ้งที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ก็กำลังขมวดคิ้วมุ่นลึกในขณะนี้ ดวงตาของเขากะพริบไหววิบวับราวกับว่าเขาคิดอะไรขึ้นมาได้หลายอย่าง และทำการคำนวณวางแผนได้มากมายในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น

“เทพวารี”

น้ำเสียงของหรานเติ้งมีความโกรธเกรี้ยวเมื่อเขากล่าวว่า “หรือว่า เจ้าคิดว่าข้าซึ่งเป็นรองเจ้าสำนักแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน ไม่คู่ควรที่จะพูดคุยกับเจ้า และต้องการเชิญเจ้าสำนักแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานให้มาที่นี่ด้วยตัวเอง?”

หลี่ฉางโซ่วไม่ตอบคำถามใดๆ ไม่ว่าหรานเติ้งจะอดทนมากเพียงใด ในขณะนี้เขาก็ย่อมต้องบังเกิดโทสะขึ้นมา

ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็ยังคงยืนอยู่ที่นั่นเงียบๆ ราวกับว่าเขาหลับไปแล้ว

นี่…

บรรดาผู้เป็นเซียนจากสำนักเซียนเต๋าเวย และสำนักตู้เซียนเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม พวกเขาล้วนรู้สึกสับสน และไม่รู้ว่าในน้ำเต้าของเทพวารี มียาชนิดใดขายอยู่บ้าง[4]

แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ จู่ๆ เหล่าผู้เป็นเซียนก็รู้สึกอึดอัดกระอักกระอ่วนยิ่งเมื่อหรานเติ้งยังไม่ได้รับคำตอบหลังจากที่ถามคำถามติดต่อกัน…

เมื่อสบโอกาส เต๋าเวยจื่อ ผู้ซึ่งกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ในวังอวี่ซวี ก็ได้ลุกขึ้นยืนทันที

จากนั้นเขาก็สะบัดแส้หางม้าและโค้งคำนับให้ “เทพวารี”

“ศิษย์พี่เทพวารี ท่านอาจารย์หรานเติ้งถามท่าน แล้วไฉนท่านถึงไม่ตอบคำขอรับ?”