บทที่ 798 เสี่ยวเถียนของพวกเราไม่ได้รับความยุติธรรม

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 798 เสี่ยวเถียนของพวกเราไม่ได้รับความยุติธรรม

บทที่ 798 เสี่ยวเถียนของพวกเราไม่ได้รับความยุติธรรม

จ้าวหงเหมยมองเสี่ยวเถียนด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก รูมเมทเธอเก่งกาจขนาดนี้เลยหรือ และในตอนที่จะถามว่าทำไมถึงเก่งขนาดนั้น ฮั่วซือเหนียนได้เอ่ยต่อ

“ท่านอธิการ ซูเสี่ยวเถียนเชี่ยวชาญสี่ภาษา ผู้นำจากกระทรวงการต่างประเทศหวังมาว่าเธอจะสามารถทำงานกับพวกเขาหลังเรียนจบได้ครับ!”

“ท่านน่าจะเคยได้ยินชื่อผู้อาวุโสฉือฉือเก๋อใช่ไหมครับ? เสี่ยวเถียนเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขาครับ! ทุกอย่างที่เขาเรียนรู้มาในชีวิตได้ถูกถ่ายทอดมาให้ซูเสี่ยวเถียนแล้ว!”

ฮั่วซื่อเหนียนทำให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความวุ่นวาย!

ท่านอธิการรู้สึกขอบคุณตัวเองเหลือเกินที่สุขภาพยังดีอยู่ ไม่งั้นได้หัวใจวายตายแน่ ๆ

ตอนนี้กำลังมึนงงอยู่ว่า

นักศึกษาเก่งสี่ภาษามาเรียนคณะภาษาจีนเนี่ยนะ!

นี่มันเรื่องเหนือธรรมชาติอะไรเนี่ย?

ฮั่วซือเหนียนมองอธิการที่โซเซไปมา ขนาดยืนยังแทบไม่มั่นคง เขารู้สึกว่าตัวเองทำได้น่าพอใจมาก

จากนั้นก็เห็นเซียวหย่วนหยางข้าง ๆ ที่สภาพเหมือนเห็นผี ถึงจะไม่พอใจเท่าไหร่แต่ก็ยังดี

“เสี่ยวเถียน พวกเราไปกันเถอะ ควรไปเข้าเรียนได้แล้วล่ะ!”

อาจารย์ฮั่วเอ่ยอย่างอารมณ์ดี

“ขอบคุณมากจริง ๆ ครับอาจารย์เซี่ย วันนี้ผมขอเชิญคุณไปกินข้าวเย็นได้ไหมครับ”

เซี่ยหนานยังสงวนท่าทีเย็นชาเช่นเดิม แต่ไม่ได้ปฏิเสธอะไร

“ได้ค่ะ!”

ฮั่วซือเหนียนแค่ชวนตามมารยาท เพราะตั้งแต่ย้ายมาก็รู้แล้วว่าอาจารย์ท่านนี้ไม่ชอบสนิทชิดเชื้อกับผู้อื่น แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าตัวจะตอบรับ

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงแย้มยิ้ม “อาจารย์เซี่ยครับ พวกเราไปหออีหมิงเป็นยังไงครับ?”

“ได้อยู่แล้วค่ะ ตามที่คุณต้องการเลย!” หญิงวัยกลางคนพยักหน้า

เสี่ยวเถียนฟังบทสนทนาของอาจารย์ทั้งสอง ก็คิดว่าควรบอกให้ที่บ้านรู้จะได้เตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ ไหมนะ?

ตอนนี้ทางฝั่งตระกูลซูไม่รู้ว่าหลานสาวเจอเรื่องพวกนี้ที่มหาวิทยาลัย

เมื่อคุณปู่ซูโทรหาต่งหยวนจง หาได้ยากมากที่ท่านผู้นำคนนี้จะมีเวลาว่าง พอได้ฟังที่พี่ชายพูดก็พาคนไปหออีหมิงสองคนทันที

เขาพาทหารเจนสนามวัยยี่สิบมาด้วย

สองคนนี้มาจากชนบท หลังจากปลดประจำการก็กลับมาบ้าน แต่ยังไม่มีงานจึงต้องตั้งหลักใหม่ก็เลยช่วยพวกเยามาทำไร่ทำนาไปก่อน

นอกจากมาเยี่ยมอดีตหัวหน้าแล้ว เราเองก็มาหางานในเมืองหลวงทำเพื่อเลี้ยงชีพอีกด้วย เพราะที่บ้านมีที่ดินไม่มาก ถ้าเราอยู่บ้านก็ต้องส่งเงินคอยอุดหนุนอีก สู้ออกมาทำงานหาเงินดีกว่า

แต่งานในเมืองหลวงมันไม่ใช่หากันได้ง่าย ๆ อยู่มาสามสี่วันยังไม่เห็นความหวังเลย

ไม่สิ มันเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่าที่คุณปู่ซูกำลังหาคนจ้างวานพอดี ต่งหยวนจงเลยนึกถึงสองคนนี้

ได้อยู่เมืองหลวง ได้เงินเดือนเยอะ พวกเขาไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว

ที่คุณปู่อยากได้สองคนคือ หนึ่งช่วยทำงาน สองปกป้องสองสามีภรรยาถาน แถมค่าจ้างดีมากด้วย เดือนละ 88 หยวนสูงกว่าคนงานทั่วไปอีกนะ

แถมสองสามีภรรยาถานยังตกลงกันด้วยว่าถ้าทำดี ช่วงปีใหม่จะให้เงินพิเศษ

ทั้งสองตกใจมากกว่าเดิม ก่อนจะบอกย้ำ ๆ ว่าจะทำงานให้ดีที่สุด ถึงจะไม่ใช่งานมั่งคง และไม่ได้กินปันส่วนสาธารณะ แต่เงินเดือนที่ได้มันไม่น้อย มากพอให้เลี้ยงคนทั้งบ้านได้เลย

ต่งหยวนจงมาแนะนำด้วยตัวเอง และยินดีเป็นอย่างมากที่คนบ้านซูยินดีจะช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ให้ทหารทั้งสอง พวกเขาอยู่ในกองทัพมาหลายปี แม้จะเรียนรู้ทักษะมาหลายอย่าง แต่ส่วนใหญ่พอออกมามันไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าไร

เพราะงั้นพอปลดประจำการก็เลยทำได้แค่กลับบ้านไปทำไร่ทำนา ส่วนใหญ่มักประสบปัญหาในชีวิต ต่งหยวนจงอยากช่วยคนของตนแก้ปัญหามาตลอด แต่เขาไม่มีความสามารถพอ

หลายปีที่ผ่านมา คนบ้านซูได้พยายามช่วยให้คนเหล่านี้ได้มีชีวิตที่มั่นคงไม่น้อย

เขารู้สึกละอายใจเหลือเกิน ผู้คนมักคิดว่าเขาเป็นผู้นำยิ่งใหญ่ทำอะไรก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้น ถึงจะมีอำนาจ แต่มีหลายอย่างที่ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด

อย่างเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ครอบครัวพี่ใหญ่เดินทางมาอยู่ในเมืองหลวง เขาไม่ได้ดูแลเท่าไรเลยขนาดงานของเด็ก ๆ ยังช่วยไม่ได้ แล้ววันนี้ยังได้ยินเรื่องของเสี่ยวเถียนที่มหาวิทยาลัยอีก

สุดท้ายเขาก็ยังยื่นมือเข้าไปช่วยไม่ได้ กลับกันเป็นพี่ใหญ่ที่คอยช่วยตนเองอยู่เสมอ และช่วยเรื่องของเหล่าทหารพวกนั้นด้วย

คุณปู่ซูหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“แกเห็นแต่สิ่งที่ฉันทำให้เห็นไง เลยคิดว่าฉันทำเยอะ แต่ที่เรามาตั้งหลักในเมืองหลวงได้ก็เพราะแกไม่ใช่หรือ”

ถ้าไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ปัญหาเรื่องโรงเรียนในปีนั้นของเด็ก ๆ คงเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว

คนที่นี่หูตาไว หลายคนที่ปฏิบัติต่อกันด้วยความซื่อตรง

ถึงต่งหยวนจงจะไม่ได้พูดถึงความสัมพันธ์กับบ้านซูแต่คนส่วนใหญ่ก็รู้ดี เพียงแค่นี้ก็ถือว่าพื้นเพดีแล้วนะ อาจรู้ด้วยซ้ำว่าผู้นำหลาย ๆ ฝ่ายใส่ใจให้คนบ้านนี้เป็นพิเศษ และถึงต่งหยวนจงจะไม่ได้ดูแลครอบครัวพี่ใหญ่เป็นพิเศษ แต่ไม่มีใครในเมืองหลวงกล้ารังแกพวกเขาจริง ๆ

ไม่งั้นหออีหมิงคงพังพินาศไม่เหลือซากแล้ว ไม่รู้มีตั้งกี่คนที่เพ่งเล็งอยู่

สองพี่น้องสนทนาพาคุย ก่อนจะมองหน้ากันแล้วระเบิดหัวเราะออกมา

“พี่ใหญ่ เป็นความผิดผมเองที่ทำให้เสี่ยวเถียนไม่ได้รับความเป็นธรรมที่มหาวิทยาลัย แต่เด็ก ๆ แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าให้แล้วล่ะ” ต่งหยวนจงเอ่ยด้วยความละอายใจ

คุณปู่ซูไม่รู้ว่าหลานสาวพบเจออะไรมา พอได้ยินแบบนั้นก็ตกใจมาก

“น้องรอง เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวเถียนหรือ?”

“พวกผู้ใหญ่ที่นั่นไม่ปฏิบัติตามกฏน่ะ ไม่ยอมให้เสี่ยวเถียนเข้าร่วมเดินขบวนวันชาติ!” เขาโกรธเรื่องนี้มาก

มหาวิทยาลัยจิ่งเฉิงดีขนาดนี้ ทำไมถึงมีผู้นำทำตัวเป็นขยะเสียได้?

โชคดีที่เสี่ยวเถียนมีคนคอยดูแล ถ้าเป็นลูกหลานบ้านคนธรรมดา ความอยุธิธรรมเหล่านี้จะถูกกลืนหายไปในกลีบเมฆหรือเปล่า?

ชายชราที่ได้ยินข่าวทั้งตกใจและผิดหวัง

เสี่ยวอู่บอกไว้แล้ว แถมพวกเราคิดว่าการให้หลานสาวเข้าร่วมมันไม่ได้มีปัญหาอะไร เลยไม่ได้นึกเป็ยห่วง แต่แล้วตอนนี้ก็มาได้ยินข่าวที่ไม่ได้จินตนาการไว้อีก

หลานรักของเขาไม่ได้เข้าร่วมหรือ?

ไม่รู้ว่าหลานจะเสียใจแค่ไหน

เห็นสีหน้าดำทะมึนของพี่ชาย ต่งหยวนจงรีบเอ่ยทันที “พวกเราไม่ต้องเข้าร่วมเดินขบวนทหารก็ได้นะ แต่เข้าร่วมรถแห่เลย!”

ขบวนรถแห่?

มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? ไม่อยากเชื่อเท่าไหร่เลย

แค่คิดว่าน้องชายกำลังปลอบใจมากกว่า

เพราะคนที่สามารถขึ้นรถแห่ได้จะเป็นตัวแทนจากทุกสาขาอาชีพ ซึ่งเสี่ยวเถียนยังเด็กอยู่เลย!