เด็กเล็ก ความคิดคิดไร้เดียงสา ไม่มีความสามารถในการคิด โดยทั่วไปจะเชื่อในสิ่งที่ผู้ใหญ่พูด
ดังนั้นได้ยินนัทธีพูดแบบนี้ ก็เชื่อว่าวารุณีเหนื่อยเพราะว่ารอพวกเขานานไปจริงๆ
ทำให้ในใจของไอริณยิ่งรู้สึกผิด“เป็นเพราะไอริณเอง ถ้าไอริณไม่อ้วกตอนลงจากเครื่อง หม่ามี๊ก็ไม่ต้องรอนานขนาดนี้”
เห็นเด็กสาวโทษตัวเองแบบนี้ ในใจของนัทธีก็รู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย
ยังไงนี่ก็ไม่ใช่ความผิดเธอ เป็นความผิดของเขา
ดังนั้นตอนนี้เด็กสาวเอาความผิดไว้ที่ตัวเธอเอง เป็นแพะรับบาปแทนเขาที่เป็นพ่อ ดังนั้นเขาที่เป็นพ่อ ก็ค่อนข้างขาดความรับผิดชอบ
“ไอริณ”นัทธีก้มลง ลูบผมของไอริณเบาๆ พูดอย่างอ่อนโยน:“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดลูก เป็นความผิดพ่อเอง”
“ความผิดของพ่อเหรอ?”ไอริณเอียงหัวอย่างงงงวย รู้สึกงุนงงเล็กน้อย
นัทธีพยักหน้า“ใช่ เป็นความผิดพ่อเอง พ่อไม่ได้ดูแลพวกลูกอย่างดี เลยทำให้ลูกเป็นหวัด ทำให้หม่ามี๊รอนาน”
“ไม่โทษพ่อหรอก”ไอริณกอดมือของเขาไว้“ตอนกลางคืนไอริณนอนไม่ยอมเชื่อฟังเอง เตะแต่ผ้าห่ม ดังนั้นไม่โทษพ่อหรอกค่ะ”
“ไม่โทษพ่อจริงๆเหรอ?”นัทธีมองเด็กสาว
เด็กสาวพยักหน้า“จริงค่ะ”
นัทธีหัวเราะเบาๆ“งั้นก็ดี ในเมื่อไอริณไม่โทษพ่อที่ไม่ได้ดูแลลูกดีๆ ทำให้ลูกเป็นหวัด งั้นไอริณก็อย่าโทษตัวเองโอเคไหม?เป็นหวัดไม่ใช่ความผิดไอริณ ไอริณหลับแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเตะผ้าห่ม ดังนั้นไอริณก็อย่าโทษตัวเอง โอเคไหม?”
“อือ”ไอริณพยักหน้ายิ้มๆ“โอเคค่ะ”
“งั้นก็ดี”นัทธีจูบไปที่หน้าลูกสาว
แน่นอนว่า เขาก็จูบอารัณไปด้วย
เพราะเป็นลูกของเขาหมด เขาทำตัวฝนตกไม่ทั่วฟ้าไม่ได้
ลีน่าเห็นนัทธีเอาใจลูกทุกกระบวนการ ก็ส่งเสียงจิ๊ไป:“มองไม่ออกเลยจริงๆว่า ประธานนัทธีจะเลี้ยงลูกเป็น”
“ลูกผม ผมเลี้ยงเป็นอยู่แล้ว”นัทธีเหลือบมองเธออย่างเย็นชา
สรุปคือเรื่องนี้ ไม่โทษเขา ไม่โทษไอริณ ต้องโทษผู้หญิงคนนี้
ไม่มีอะไรก็พูดจาเหลวไหล?
ไม่ใช่คำพูดเธอ ดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของไอริณ ไอริณจะโทษตัวเองได้ไง?
ลีน่าอ่านความคิดของนัทธีออก ก็ละสายตาออกอย่างร้อนตัว สื่อว่าตัวเองไม่รู้เรื่อง
นัทธีก็ขี้เกียจสนเธอ อุ้มไอริณ และจูงมือของอารัณ ลุกเดินไปที่ห้องทานข้าว เตรียมทานอาหารเช้า
ถึงเด็กทั้งสองคนจะทานข้าวเช้าแล้ว แต่ไม่อาจหยุดเขาที่จะให้ทั้งสองคนกินอีกหน่อยได้
ยังไง เขาก็ไม่อยากปล่อยให้ลูกสองคนนี้อยู่กับผู้หญิงคนนี้เท่าไหร่
ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ จะพูดจาแปลกๆอะไร แล้วดึงดูดความสนใจของเด็กทั้งสองอีกหรือไม่
จนสิบเอ็ดโมง ในที่สุดวารุณีก็ลืมตาตื่นมา
มองดูเตียงที่ยุ่งเหยิง และตัวเองที่มีร่องรอยเต็มตัว เธอก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น ความทรงจำแต่ละฉากอันบ้าคลั่งของเมื่อคืน ก็ปรากฏขึ้นในทันที ชัดเจนอย่างมาก ทำให้ใบหน้าเธอ ดูแดงระเรื่อ
เพราะว่าเมื่อคืนบ้าระห่ำอย่างมาก บนพื้น บนโซฟา บนโต๊ะเครื่องแป้งเป็นต้น ต่างทิ้งร่องรอยของเธอกับนัทธีไว้
เธอไม่เคยรู้ว่าตัวเอง จะมีด้านที่ป่าเถื่อนแบบนี้เช่นกัน
นึกถึงเมื่อคืนที่รุกอย่างเร่าร้อน วารุณีก้มหน้าลง ปิดหน้าตัวเอง ส่งเสียงในลำคออย่างเขินอาย“อื้อ……”
นั่นเป็นเธอจริงเหรอ?
เธอไม่อยากจะเชื่อเลย เมื่อคืนนั้นเป็นตัวเอง
ใกล้จะสามสิบแล้ว ก็ยิ่งเปิดกว้างขึ้นจริงๆ!
ตอนที่มือของวารุณีกำลังเขินอายอยู่นั้น ก็มีคนเคาะประตู
วารุณีเหมือนแมวที่ตกใจ รีบเอามือลงมาจากหน้า จากนั้นดึงผ้าห่มมา ใส่ตัวเองเข้าไป โผล่มาแค่ดวงตา จ้องไปทางประตูห้อง“ใครน่ะ?”
เธอพูดไป เสียงนั้นแหบเล็กน้อย แต่ไม่ได้ฟังดูแย่
ไม่ใช่แค่ไม่ได้ฟังดูแย่ แต่เผยให้เห็นสไตล์ที่ต่างไป
ด้านนอกประตูคือลีน่า ได้ยินเสียงวารุณีแบบนี้ ก็ยิ้มอย่างสับปลับ“ฉันเอง วารุณี ฉันเข้าไปได้ไหม?”
เข้ามา?
วารุณีก้มลงมองตัวเองที่เปลือยเปล่า รีบตอบไปว่า:“ไม่ได้!”
เธอไม่ได้สวมเสื้อผ้า และห้องก็เละเทะมาก จะให้คนเข้ามาได้ไง
ลีน่าที่อยู่ด้านนอกก็ยิ่งหัวเราะอย่างล้อเลียนมากขึ้น
เธอไม่ได้คิดจะเข้าไปอยู่แล้ว ที่พูดแบบนี้ ไม่มีอะไรนอกจากอยากแกล้งวารุณีก็เท่านั้น
ตอนนี้ได้ยินการตอบสนองของวารุณี ก็แสดงว่าทำเป้าหมายสำเร็จ เลยไม่แกล้งอีก ตอบกลับไปอย่างจริงจังว่า:“โอเค งั้นฉันไม่เข้าไปแล้ว วารุณีเธอรีบเก็บของแล้วลงมานะ ถ้ายังไม่ลงมากินข้าวอีก เดี๋ยวจะไปสถานที่แข่งขันสายเอา”
“สถานที่แข่งขัน!”ได้ยินสี่คำนี้ เสียงของวารุณีก็ขึ้นสูงทันที เปิดผ้าห่มลงมาจากเตียง
แต่เนื่องจากร่างกายไม่ไหวจริง บวกกับไม่ได้กินข้าว ร่างกายจึงอ่อนปวกเปียก ไร้เรี่ยวแรง
ดังนั้นพอขาเธอลงพื้น ก็ยืนไม่มั่นคง ล้มลงไปที่พื้น
แต่ดีที่ฟื้นปูพรมหนาๆ เธอล้มลงไปก็ไม่เจ็บ รีบจับขอบเตียงยืนขึ้นมา แย่แล้วๆ ฉันลืมเลยว่าวันนี้มีงาน ฉัน……”
ลีน่าที่อยู่ด้านนอกประตูยังคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินเธอพูด ก็กลอกตาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“วารุณีอย่ารีบร้อน งานตอนเช้าประธานนัทธีเลื่อนไปตอนบ่ายแล้ว ไม่งั้นตอนนี้ฉันจะอยู่เรียกเธอที่นี่ได้ไง เรื่องนี้ประธานนัทธีไม่ได้คุยกับเธอเหรอ?”
พอได้ยิน วารุณีที่ถือชุดนอน กำลังเตรียมสวมไปก็ชะงัก ตะลึงไปหมด
อะไรนะ?
งานเลื่อนไปช่วงบ่าย?
งั้นแบบนี้ เธอก็ไม่ต้องรีบแล้ว?
วารุณีที่ได้สติคืนมาก็โล่งอกอย่างมาก จากนั้นนั่งลงไปที่ขอบเตียง ทั้งโกรธและตลก“เปล่า เขาไม่ได้คุยกับฉัน ฉันไม่รู้เรื่องนี้”
ลีน่าเบะปาก“ดูเหมือนว่าประธานนัทธีจะจัดการหลังจากที่เธอกลับเมื่อคืน แต่ประธานนัทธีก็จริงๆเลย ไม่รู้จักบอกเงื่อนไขกับเธอ ไม่งั้นเกือบจะร้อนใจแทบตาย”
วารุณีพยักหน้าเห็นด้วย“เธอพูดไม่ผิด”
เมื่อกี๊เธอเกือบจะร้อนใจแทบตาย
ถ้าพูดกันออกไป เธอที่เป็นกรรมการสายไปทั้งเช้า ความน่าเชื่อถือของเธอในวงการออกแบบก็จะหายไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง
จากนั้นถ้าคนในวงการอยากร่วมงานกับเธอ ก็ต้องคิดแล้วว่าเธอตรงเวลาหรือไม่
“เอาล่ะวารุณี เธอรีบออกมา ต้องกินข้าวเที่ยงแล้ว”ลีน่าเคาะประตูแล้วพูดอีก
วารุณีตอบอือ“ฉันรู้แล้ว เธอลงไปก่อนไป เดี๋ยวฉันลงไป”
“โอเค”ลีน่าพูดจบ ก็หันกลับออกไป
วารุณีสวมชุดคลุมอาบน้ำให้เรีบร้อยอีกครั้ง จากนั้นจัดเตียงเล็กน้อย ลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าต่างบานสูง เปิดหน้าต่างบานสูงออก
เธอยืนตรงหน้าต่างบานสูง บิดคอ บิดขี้เกียจ สูดอากาศสดชื่นแล้ว ก็หันเดินไปที่ห้องน้ำ
พออาบน้ำเสร็จ ก็เปลี่ยนชุดแล้วออกมา ซึ่งก็เที่ยงแล้ว
วารุณีเปิดประตูห้องออกไป ก็เห็นคนใช้กำลังทำความสะอาดราวบันไดบนชั้นสอง
เธอเข้าไปพูด:“เดี๋ยวไปทำความสะอาดห้องหน่อยนะ”
“ค่ะคุณหญิง”คนใช้ตอบกลับอย่างเคารพ
วารุณีหันกลับเดินลงไป ลีน่ากำลังนั่งโทรศัพท์อยู่ในห้องรับแขก
และก็ไม่รู้ว่าที่ปลายสายนั้นเป็นใคร เธอถึงยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้
วารุณีเลิกคิ้วขึ้น ดูเหมือนเธอจะมีอะไรสักอย่างแล้ว
“วารุณี เธอลงมาแล้ว”ลีน่าก็เห็นวารุณี โบกมือให้วารุณี
วารุณีหัวเราะ
ลีน่าพูดกับปลายสาย จากนั้นวางสาย
วารุณีเทน้ำแก้วหนึ่งให้ตัวเอง ถามอย่างแปลกใจ“ทำไมไม่คุยอีกล่ะ?