บทที่ 699 งานเลี้ยงสุราเล็กๆ (2)
ข่งเชวี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว เขายิ้มและกล่าวว่า “ข้ารู้ตื้นเขินนัก ยังด้อยประสบการณ์จริงๆ”
จ้าวกงหมิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “หากพูดถึงเรื่องการจัดการในวิถีการเป็นมนุษย์แล้ว ไม่มีศิษย์คนใดในสำนักบำเพ็ญเต๋าที่จะสามารถเปรียบเทียบกับน้องชายของข้าได้!”
ข่งเชวี่ยนเห็นด้วยกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง จากนั้นเขาก็ยกจอกสุราขึ้นชนกับของจ้าวกงหมิงแล้วดื่ม
หลี่ฉางโซ่วถึงกับเงียบงัน
นั่นเป็นสิ่งที่ดีใช่หรือไม่?
อืม อย่างน้อยๆ ก็ยังฟังดูดีกว่าเป็นคนซับซ้อนและเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัด
หลังจากดื่มสุราไปหนึ่งจอกแล้ว จ้าวกงหมิงก็เริ่มเปิดการสนทนา
เขาเล่ารายละเอียดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวไปกับเทพธิดาจินกวง
ตามที่จ้าวกงหมิงเล่ามานั้น เมื่อเขามีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์น้องหญิงจินกวงนั้น ก็จะมีบรรยากาศแปลกๆ อยู่เสมอ
พวกเขาทั้งสองคนไม่อาจหาหัวข้อพูดคุยที่เหมาะสมได้ พวกเขาต้องอาศัย “ความหลงใหล” และ “ความคิดริเริ่ม” ของเทพธิดาจินกวงที่มีต่อจ้าวกงหมิงเพื่อรักษาความใกล้ชิดที่ผิวเผินของพวกเขาเอาไว้
จ้าวกงหมิงยังพยายามหาเรื่องที่น่าสนใจมาพูดคุยด้วย ทว่าเขาก็หยุดไปหลังจากพูดไปได้เพียงไม่กี่คำ…
พวกเขาไปยังมหาสหัสโลกธาตุหลายแห่งเพื่อเที่ยวชมทิวทัศน์ภูเขาและแม่น้ำต่างๆ เพียงไม่กี่ส่วน
หากพวกเขาพบสถานที่ที่สวยงาม พวกเขาก็จะอยู่ที่นั่นสักสองสามวัน
พวกเขาเดินๆ แล้วหยุดๆ ไปเช่นนี้ และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ…
“ข้ารู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย”
จ้าวกงหมิงลูบเคราและส่ายศีรษะ
“ศิษย์น้องหญิงจินกวงและข้าพยายามแยกจากกันสักสองสามเดือนเพื่อดูว่าเรามีอะไรจะพูดคุยกันอีกหรือไม่
ทว่าเมื่อเราพบกันอีกครั้ง เราก็ยังรู้สึกอึดอัดที่จะพูดคุยกัน”
จ้าวกงหมิงถอนหายใจและกล่าวเบาๆ ว่า “ข้ารู้สึกว่าการใช้เวลาอยู่กับเจ้านั้น มันเข้ากันได้และมีความสุขสบายใจมากกว่าการอยู่กับศิษย์น้องหญิงจินกวง”
หลี่ฉางโซ่วหยิบเก้าอี้ย้ายไปอยู่ข้างอย่างเงียบๆ
“พี่ชายโปรดสำรวมด้วย”
“เฮ้! ข้าแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น!”
จ้าวกงหมิงดุเล็กน้อยพร้อมกับเผยรอยยิ้ม
ข่งเชวี่ยนเอียงศีรษะและถามอย่างฉงนว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? แล้วไยเจ้าถึงต้องสำรวมด้วย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
จ้าวกงหมิงรู้สึกขบขัน เขาลูบเคราและหัวเราะลั่น
จากนั้นเขาก็อธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับตำนานของนักพรตเต๋าชุนหยาง[1]และนักพรตเต๋าฉงหยาง[2]ที่เผยแพร่ในโลกบรรพกาล
ข่งเชวี่ยนเผยว่า บัดนี้ขอบเขตโลกทัศน์ของเขากว้างขึ้น และเขาไม่รู้ว่าจะแสดงความคิดเห็นอย่างไร
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “พี่ชาย ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ท่านชมชอบสตรีแบบใดกัน?”
“รู้แล้ว”
จ้าวกงหมิงยิ้มและกล่าวว่า “ข้าไม่ต้องการคู่บำเพ็ญเต๋า ตอนนี้หัวใจเต๋าของข้าถูกรบกวน ข้าถูกลิขิตให้ถึงคราวต้องข้ามผ่านภัยพิบัติแห่งรัก
หากข้าต้องมีคู่บำเพ็ญเต๋า ข้าก็หวังว่านางจะอ่อนโยนเหมือนน้องรอง ไม่เข้มงวดเหมือนน้องรอง และเฉลียวฉลาดเหมือนน้องสาม แต่ก็ไม่อยากให้นางเล่นสนุกอย่างชั่วร้ายเหมือนน้องสาม
นางไม่ต้องเสียสละอะไรเพื่อข้า และข้าก็ไม่ต้องเปลี่ยนนิสัยของข้าเพื่อนาง พูดคุยกันแบบสบายๆ ไม่จำเป็นต้องตั้งใจอะไรนัก เมื่อเรายิ้มให้กัน หัวใจเราก็จะสัมผัสกัน
ย่อมเป็นการดีที่สุดหากนางมีระดับฐานพลังและขอบเขตเต๋าใกล้เคียงกับข้า เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะต่างเข้าใจซึ่งกันและกันได้
และหากไม่มีเรื่องอื่นใดจะพูดคุยกันแล้ว เราก็พูดคุยเรื่องเต๋าใหญ่กันได้…”
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วได้คีบผักสีเขียวสองใบด้วยตะเกียบหยกของเขาและวางไว้บนจานข้างหน้าจ้าวกงหมิง
จากนั้นเขาก็เตือนว่า “อย่ามัวเอาแต่ดื่มเลย กินข้าวบ้าง กินข้าวบ้าง ไยท่านเมามายเช่นนี้”
“ช่างเถิด” จ้าวกงหมิงส่ายศีรษะ “มันยากที่จะหาสตรีเช่นนี้”
หลี่ฉางโซ่วเม้มปาก มีสตรีน้อยคนนักในสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยที่เป็นเช่นนี้…
ข่งเชวี่ยนอดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้
“หลังจากแบ่งหยินและหยางแล้ว มันยุ่งยากมากขึ้นจริงๆ”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ทว่าด้วยเหตุนี้ วิถีแห่งการบำเพ็ญเพียรและการแสวงหาสัจธรรมจึงยิ่งมีสีสันและน่าสนใจมากขึ้น”
ข่งเชวี่ยนถามว่า “ความรักระหว่างชายหญิงคืออันใดกัน แล้วมีประโยชน์อันใดกับเต๋า?”
หลี่ฉางโซ่วตอบว่า “คำว่า ‘รัก’ นั้น ควรจะผสานรวมเข้ากับธรรมชาติของเจ้า เจ้าสามารถใช้มันเพื่อรักษาความมั่นคงในตัวเองและและลบล้างการต่อต้านเต๋าสู่หัวใจของเจ้าได้”
“หากข้าไม่ตัดไป ก็เกรงว่าจะยากที่ข้าจะบรรลุเต๋าได้อย่างแท้จริง”
“หากการบรรลุเต๋าหมายถึงการละทิ้งเจตนาเดิมและธรรมชาติดั้งเดิมของเจ้า แล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องข้ามผ่านหลุดพ้น?”
ดูเหมือนว่า หลี่ฉางโซ่วจะเริ่มเปิดหัวข้อสนทนาและกำลังกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างมีหลักฉะฉาน
“หากเจ้าไม่อาจควบคุมอารมณ์ความรู้สึก คำพูดและการกระทำของเจ้าก็จะใกล้เคียงกับเต๋า เจ้าจะกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดของเต๋า แล้วเจ้าจะเรียกสิ่งนั้นว่า บรรลุเต๋าได้อย่างไรกัน?
หากมีสิ่งมีชีวิตหนึ่งถามว่า ‘เหตุใดข้าถึงแสวงหาสัจธรรมและบรรลุเต๋า’ เราก็ไม่อาจตอบได้ว่า นั่นคือการบรรลุเต๋า
การบรรลุเต๋าหมายความว่า การปราศจากพันธนาการ ไร้สิ่งใดมายับยั้งหรือทำร้ายได้ หากใจไร้ความปรารถนาส่วนตัว แล้วเหตุใดถึงยังมัวแสวงหาสิ่งนี้ด้วย?
ดังนั้น แน่นอนว่า การบรรลุเต๋าย่อมไม่ได้เกี่ยวกับการผสมผสานกับเต๋า ไม่ถูกหลอมรวมเข้ากับเต๋า และไม่ติดกับดักแห่งเต๋า
มีคำกล่าวเอาไว้ในตำราโบราณของสำนักบำเพ็ญเต๋าว่า สามศพ[3]เป็นต้นกำเนิดของความดีงามและความชั่วร้าย
ทว่าศพเดิมก็ไม่ได้ถูกตัดออก แต่ถูกถอดออกเหมือนเสื้อผ้า สิ่งที่ถูกดึงออกไปคือความว่างเปล่าและสิ่งปลอมแปลงเท่านั้น
สิ่งที่เหลืออยู่คือ พื้นฐานเดิม และของจริงเท่านั้น นี่คือการประหารสามศพ[4]และข้ามผ่านหลุดพ้น
กลับมาพูดถึงเรื่องนี้เถิด หากเกิดความรู้สึกหรือความกังวลใดๆ ในใจ บางทีอาจกำลังหลงทาง ก็อาจขอคำแนะนำให้กลับคืนสู่ธรรมชาติของเขาได้ เมื่อกำลังจะสูญเสียตัวเองในเต๋าใหญ่
ในท้ายที่สุดแล้ว นี่ย่อมเป็นสิ่งที่ดี และไม่ได้ขัดแย้งกับการฝึกบำเพ็ญเต๋าอย่างแน่นอน”
“ขอข้าลิ้มลองอย่างละเมียดละไม[5]ก่อน”
ข่งเชวี่ยนพยักหน้าช้าๆ และนั่งลงตรงนั้นอย่างครุ่นคิดลึกซึ้ง
………………………………………………………………..
[1] ผู้ครองหยางบริสุทธิ์ หรือชายที่ยังครองความบริสุทธิ์
[2] หยางคู่หรือหยางซ้อน ในที่นี้คือ ชายรักชาย
[3] ตามความเชื่อของลัทธิเต๋า “สามศพ” หรือสามอสุภะ เป็นตัวแทนของ “ความปรารถนาชั่ว” ทั้งสามภายในร่างกายมนุษย์ และต้นแบบของพวกมันคือแมลงสามชนิด ในตำราเต๋า “ความฝันของสามศพ” กล่าวว่า “มีหนอนศพสามตัวในร่างกายมนุษย์” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประกอบด้วยหนอนสามตัวบนศพบน หนอนสามตัวบนศพกลาง และตัวหนอนสามตัวบนศพล่าง ดังนั้น จึงเรียกว่า “สามศพกับเก้าหนอน” เพื่อเริ่มต้นเส้นทางสู่ความเป็นอมตะ ผู้ฝึกบำเพ็ญต้องกำจัด “รากของสามศพ”