ตอนที่ 1633 การจากที่เจ็บปวดที่สุด (1) ตอนที่ 1634 การจากที่เจ็บปวดที่สุด (2)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 1633 การจากที่เจ็บปวดที่สุด (1) / ตอนที่ 1634 การจากที่เจ็บปวดที่สุด (2)
ตอนที่ 1633 การจากที่เจ็บปวดที่สุด (1)

แม้ว่าการฝึกฝนของสำนักธาราเมฆจะทั้งโหดและน่าเบื่อ แต่พวกเขาพัฒนาได้เร็วกว่าสถิติเมื่อก่อนของตัวเอง พวกเขาเพิ่งปรับตัวให้เข้ากับความโหดของสำนักธาราเมฆได้และเตรียมใจฝึกหนักเอาไว้แล้ว แล้วจู่ๆ สำนักธาราเมฆก็บอกว่า…พวกเขาไปได้แล้วเนี่ยนะ

ในตอนนั้น เหล่าศิษย์ใหม่ทุกคนไม่สามารถยอมรับการตัดสินใจนี้ได้ เสียงถกเถียงดังขึ้นเป็นระลอก

สำหรับพวกรุ่นพี่ที่อยู่ที่นี่มาหลายปีหรือมากกว่าสิบปีล้วนถอนหายใจอย่างโล่งอก เทียบกับความเสียใจของพวกเด็กใหม่แล้ว พวกรุ่นพี่ฝึกมามากพอจนมองไม่เห็นหนทางข้างหน้า พวกเขารู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างเก่งพอตัว และคิดว่าเก่งมากพอที่จะกลับไปรายงานตัวต่อตำหนักของพวกเขาเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองได้แล้ว

ในสำนักธาราเมฆ ปฏิกิริยาของเหล่าผู้เยาว์จึงแบ่งออกเป็นสองแบบ

หนึ่งคือน้ำตาแห่งความดีใจจากพวกรุ่นพี่ และอีกหนึ่งคือการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของพวกเด็กใหม่

แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน พวกเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของสำนักธาราเมฆได้

หลังจากจวินอู๋เสียรู้ข่าวก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย นางมองซูหย่าที่นั่งอยู่โซฟานุ่มด้วยแววตาซับซ้อน

วันนี้เป็นโอกาสหายากที่ซูหย่าไม่ดื่มสุรา นางนั่งอยู่เงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากนั้นพักใหญ่ นางก็ตบที่นั่งข้างตัวและพูดว่า “มานั่งนี่”

จวินอู๋เสียนั่งลงอย่างเชื่อฟัง

“มาคิดดูแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่มาเกือบปีแล้วสินะ ข้านึกว่าจะได้เห็นเจ้าขยี้เด็กเวรพวกนั้นหลังจากผ่านไปหนึ่งปี น่าเสียดาย ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสนั้นแล้ว” น้ำเสียงของซูหย่าแฝงความเสียใจ พูดตามตรง จวินอู๋ไม่ใช่ศิษย์ที่ช่างพูด เขาไม่ค่อยพูดและไม่โวยวาย เอาแต่เงียบทุกวันจนทำให้คนมองข้ามได้ง่ายๆ

แต่สิ่งที่นางทำในความเงียบนั้นมากกว่าที่คนอื่นทำ

สาขาจ้าววิญญาณทุกชั้นถูกจวินอู๋เสียทำความสะอาดเป็นระยะ ตอนที่ซูหย่าดื่มจนหลับไป จวินอู๋เสียก็จะเอาผ้าห่มผืนเล็กๆ ที่เตรียมไว้เป็นพิเศษมาห่มให้นาง และทุกครั้งที่ซูหย่าตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการเมาค้าง นางก็มักจะพบชามใส่ซุปแก้เมาค้างวางอยู่ข้างโซฟา รสชาติเบาๆ พร้อมกับความหวานจางๆ ทำให้กินง่ายขึ้น

บางครั้งซูหย่าก็อดคิดไม่ได้ว่าการมีศิษย์เช่นนี้อาจเป็นการชดเชยรูปแบบหนึ่งที่สวรรค์มอบให้กับนาง จวินอู๋เสียไม่เคยทำให้นางต้องกังวล แต่จะคอยดูแลนางที่เป็นอาจารย์แทน แม้ว่านางจะดื่มมากเกินไปจนอาละวาด จวินอู๋เสียก็ยังเดินตามหลังนางอย่างเงียบๆ คอยเก็บกวาดให้นางโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ

ซูหย่ามองไปที่จวินอู๋เสีย หน้าตาเขาดูธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด แต่ยิ่งนางมองใบหน้านั้นเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกว่าศิษย์ตัวน้อยของนางน่ารักน่ามองมากกว่าใครทั้งนั้น

นางอยากคอยชี้แนะสั่งสอนศิษย์คนนี้ของนางต่อ

นางยังไม่ได้สอนทุกอย่างให้กับจวินอู๋เลย ทำไมพวกเขาต้องแยกจากกันแล้วล่ะ

จวินอู๋เสียนั่งมองซูหย่าเงียบๆ อาจเป็นเพราะสหายส่วนใหญ่รอบตัวนางเป็นบุรุษและคนในตระกูลของนางก็ไม่มีสตรี ซูหย่าจึงให้ความรู้สึกที่แตกต่าง เป็นทั้งอาจารย์และเป็นยิ่งกว่ามารดา

ซูหย่าอาจแสดงความรู้สึกไม่เก่งและดูแลคนได้ไม่ดี แต่นางก็มีวิธีของตัวเองในการปกป้องจวินอู๋เสีย

อย่างที่ซูหย่าเคยบอกไว้ ศิษย์ของนางต้องไม่ถูกใครรังแก

การปกป้องนางอย่างดุเดือดเช่นนี้ สำหรับจวินอู๋เสียที่เคยชินกับการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่และอบอุ่นในหัวใจ

“เด็กโง่ ไปแล้วก็อย่าลืมอาจารย์เล่า! ไม่อย่างนั้นต่อให้ไกลจนสุดหล้าฟ้าเขียว มารดาจะตามไปอัดเจ้าให้กระอักโลหิตเลย!” ซูหย่ายกมือขึ้นลูบหัวจวินอู๋เสีย แม้ว่าจะหัวเราะ แต่นางไม่มีความสุขเลยสักนิด

ตอนที่ 1634 การจากที่เจ็บปวดที่สุด (2)

“ข้าจะกลับมาหาท่าน” จวินอู๋เสียสัญญา นางพูดคำหวานๆ ไม่เก่ง ไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจตอนนี้ออกมาได้อย่างไร นางรู้แค่ว่าต่อให้ออกจากสำนักธาราเมฆไป นางก็ยังคงเป็นศิษย์ของซูหย่า นางยังมีอาจารย์ที่จะคอยปกป้องนาง ห่วงใยนาง และคนคนนั้นก็คือซูหย่า

ซูหย่าหัวเราะ “คนที่ออกจากสำนักธาราเมฆจะไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมาอีก วันหน้ายอดเขาภูเขาฝูเหยาจะไม่ต้อนรับเด็กอย่างเจ้าแล้ว”

นั่นเป็นกฎของสำนักธาราเมฆ หลังจากจบการฝึกและไปจากที่นี่แล้ว พวกเขาจะไม่ใช่ศิษย์ของสำนักอีกต่อไป ทุกคนที่ออกจากสำนักธาราเมฆจะไม่สามารถกลับมาเยี่ยมที่นี่ได้

จวินอู๋เสียเม้มปาก นางไม่ชอบแบบนี้ นางอยากเจอซูหย่าอีก

ความรู้สึกนี้แตกต่างจากที่นางรู้สึกต่อเยี่ยนปู้กุย อาจเป็นเพราะนางอยู่ที่นี่กับซูหย่าเป็นเวลานาน ความรู้สึกจึงค่อยๆ ผูกพันเหมือนเป็นครอบครัว

“เอาน่า อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนั้นสิ ข้ารู้ว่าเจ้ากตัญญูก็พอแล้ว ถ้าวันหน้ามีโอกาส ข้าจะไปหาเจ้าเอง เจ้าอยู่ที่ตำหนักหยกวิญญาณบนภูเขาฝูเหยาไม่ใช่หรือ” ในที่สุดซูหย่าก็ทนบรรยากาศหดหู่ไม่ไหว นางยิ้มและรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

จวินอู๋เสียมองซูหย่า นางรู้หรือว่าตำหนักหยกวิญญาณอยู่ที่ไหน

ซูหย่าเห็นสีหน้าประหลาดใจของจวินอู๋เสียก็นึกขำอยู่ในใจ เจ้าหนูนี่คิดอะไรอยู่ในใจก็แสดงออกมาทางสีหน้าหมด แบบนี้จะอยู่รอดในโลกภายนอกได้อย่างไร

ซูหย่าไม่รู้เลยว่าจวินอู๋เสียแสดงออกเช่นนี้ต่อหน้าคนที่นางใส่ใจเท่านั้น

“เด็กโง่ คิดจริงๆ หรือว่าอาจารย์ไม่รู้น่ะ ภูเขาฝูเหยาเป็นอาณาเขตของสำนักธาราเมฆนะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากอาจารย์ใหญ่ เจ้าคิดหรือว่าตำหนักหยกวิญญาณจะสามารถซ่อนตัวอยู่ที่นี่ได้ นี่เป็นการยินยอมพร้อมใจกันอยู่แล้ว” ซูหย่าลูบหัวจวินอู๋เสียอีกครั้ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีความสนิทสนมระหว่างศิษย์อาจารย์มากขนาดนี้ วันนี้ซูหย่าจึงอยากชดเชยทุกอย่างที่พลาดไป

“โลกภายนอกมันอันตราย สิบสองตำหนักกับเก้าวังก็ต่อสู้กันไม่หยุด เจ้าสร้างศัตรูกับคนของตำหนักมารโลหิตที่สำนักธาราเมฆ ที่นี่ยังมีกฎของสำนักคุมพวกเขาไว้ ทำให้พวกเขาไม่กล้าทำอะไรเจ้า แต่พอเจ้าออกไปจากสำนักธาราเมฆ จะไม่มีอะไรรั้งตำหนักมารโลหิตไว้ได้อีกต่อไป ดังนั้นเจ้าต้องระวังให้มาก ยังดีที่เจ้าเป็นคนของตำหนักหยกวิญญาณ เจ้าโง่นั่นจะต้องปกป้องเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าเองก็อย่าเที่ยวเล่นไปทั่ว อยู่ฝึกฝนในตำหนักหยกวิญญาณให้ดี” มีคำพูดเป็นหมื่นล้านคำที่ซูหย่าอยากจะบอกกับจวินอู๋เสีย แต่รู้สึกว่าเวลามันช่างสั้นเหลือเกิน

จวินอู๋เสียฟังโดยไม่พูดอะไร แค่พยักหน้าอย่างเงียบๆ ให้ซูหย่าใช้ช่วงเวลาสุดท้ายที่เหลืออยู่พูดทุกอย่างที่นางไม่เคยพูด

“การฝึกฝนพลังแห่งจิตวิญญาณ สถานที่ที่ดีที่สุดคือโลกภูติวิญญาณ แต่ที่นั่นไม่ต้อนรับคนอย่างเจ้า มันเป็นอาณาเขตของเหล่าวิญญาณ แต่ถ้ามีวันที่เจ้าไปที่นั่นได้ เจ้าต้องไม่พลาดโอกาสนั้นนะ” ซูหย่าพูดต่อไป จากนั้นก็ดึงถุงเอกภพของตัวเองออกค้นหาอะไรบางอย่าง

แต่พอจวินอู๋เสียเห็นถุงเอกภพของซูหย่า นางก็ชะงักไปเล็กน้อย ถุงเอกภพของซูหย่าเหมือนกับอันที่เยี่ยนปู้กุยให้นางเลย! ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือกลีบของดอกไห่ถังอันนั้นเป็นสีชมพูมากกว่าเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นมันก็คงดูเหมือนกันทั้งหมด

เมื่อสังเกตเห็นสายตาของจวินอู๋เสีย ซูหย่าก็ยิ้มบางๆ และถามว่า “มันดูคุ้นๆ ใช่หรือไม่เล่า”

จวินอู๋เสียพยักหน้า

ซูหย่าดูเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่าง นางวางถุงเอกภพลงข้างตัวแล้วหยิบน้ำเต้าสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ สายตาของนางมองผ่านประตูไกลออกไป