บทที่ 706 การขอความช่วยเหลือจากแดนยมโลก (3)
บัดนั้น ไม้จิ้งถัง[1]ที่เดิมทียกขึ้นสูงก็ค่อยๆ ตกลงมาอย่างนุ่มนวล และผู้พิพากษาใหญ่ก็ลดความกดดันลงพลางกล่าวเสียงลั่น
“ต้ากุ่ย เสี่ยวกุ่ย ถอยไป
ราชาแห่งอาณาจักรหงหลิน จงเงยหน้าขึ้น ผู้ที่อยู่ทางซ้ายและขวาของเขา จงยืนยันตัวตนของเขา…”
ขั้นตอนการไต่สวนของศาลดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้พิพากษาใหญ่ได้รับม้วนตำราอย่างรวดเร็วและเริ่มนับถอยหลังการกระทำผิดบาปที่ชายชราในชุดคลุมผ้าผู้คุกเข่าอยู่ด้านล่างได้ก่อขึ้นในชาติก่อน…
หลังจากนั้นไม่นาน โหย่วฉินเสวียนหย่าก็เม้มปากและขมวดคิ้ว นางมองไปที่พระบิดาของนาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอับจนหนทางและรู้สึกผิด
องค์ราชาได้ก่อกรรมร้ายเอาไว้ทั้งหมดเท่าที่จ้าวผู้ปกครองอาณาจักรจะสามารถกระทำได้…
หลี่ฉางโซ่วฟังอยู่ครู่หนึ่งและอดจะส่ายศีรษะไม่ได้ในขณะที่สัมผัสเซียนรับรู้ของเขายังคงกวาดออกไปตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบข้าง
แน่นอนว่า เขาไม่ได้มาที่นี่ในฐานะศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน เพียงเพื่อบิดาชราของโหย่วฉินเสวียนหย่าเท่านั้น
ในยามนี้ หากเขาไปที่แดนยมโลกในฐานะเทพวารี เขาจะไม่ได้เห็นปัญหาต่างๆ ในเมืองเฟิงตูอีกต่อไป
เพราะทุกครั้งที่เทพวารีปรากฏตัวในแดนยมโลก แดนยมโลกก็จะกวาดล้างถนนหนทางในเมืองเฟิงตู
ราวกับว่าพวกเขากำลังจัดการกับการตรวจสอบและกำกับดูแลของผู้บังคับบัญชาโดยการซ่อนปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้
และข้อมูลที่ซ่อนอยู่เหล่านี้มีความสำคัญกับหลี่ฉางโซ่วเป็นอย่างมาก มันเป็นกุญแจสำคัญในแผนการพัฒนาแดนยมโลกของหลี่ฉางโซ่ว
หลี่ฉางโซ่วพอคาดคะเนได้ว่าจะต้องมีบุญมหาศาลอยู่ในแดนยมโลก
ทว่าแดนยมโลกก็แตกต่างจากเผ่ามังกร
ความภักดีต่อศาลสวรรค์ของเผ่ามังกร ได้เอาชนะอุปสรรคมากมาย
ความคิดเริ่มต้นของเขาคล้ายกับว่า นางพานจินเหลียน[2]ได้หมั้นหมายกับอู่ต้าหลาง
แดนยมโลกปะทะกับศาลสวรรค์ ราวกับว่า พานจินเหลียนได้เริ่มผลักหน้าต่างเปิดออก และขว้างไม้เรียวใส่เจ้าหน้าที่ซีเหมินที่กำลังเดินผ่านที่ด้านล่าง…
มันเต็มไปด้วยความคิดริเริ่ม
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดและคาดคำนวณเป็นเวลานาน เขารู้ดีว่า ข้อดีของแดนยมโลกน่าจะซ่อนอยู่ในปัญหาต่างๆ ของแดนยมโลก
หากเขาเชี่ยวชาญในการค้นหาปัญหาและรวบรวมปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ทุกประเภทในแดนยมโลก มันก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ อาจารย์ลุงจ้าวยังไม่กลับมาไม่รู้ว่า การสนทนาหารือกับเทพธิดาจินกวงนั้นเป็นอย่างไร
หลี่ฉางโซ่วระงับเรื่องนี้เอาไว้ชั่วคราว และปล่อยให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์รออยู่ที่โถงด้านหลังของวิหารเทพทะเล เรื่องของอาจารย์ลุงจ้าวจะได้ไม่ล่าช้า
บางทีหลังจากที่กงหมิงและจินกวงบอกว่า พวกเขากำลังจะเลิกกัน พวกเขาก็คิดถึงความดีของกันและกัน และตัดสินใจลองคบกันอีกครั้ง…
นั่นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ในยามนั้น ผู้พิพากษาใหญ่ได้นับการกระทำผิดบาปของบิดาชราของเสวียนหย่าและตัดสินเขาโดยตรงตามสถานการณ์ปกติ
จากนั้นเขาก็ส่งบิดาของนางให้ไปทรมานอยู่ในนรกขุมที่สิบแปดเป็นเวลาสามพันปีก่อนที่จะยอมให้เขาเข้าสู่สังสารวัฏกลับชาติมาเกิด
ในเวลาต่อมา เหล่าเจ้าหน้าที่แห่งแดนยมโลกได้นำดวงวิญญาณของราชาเฒ่า บินตรงไปยังเกาะอมตะแห่งสังสารวัฏ หัววัวและหน้าม้าก็ได้พาหลี่ฉางโซ่วและโหย่วฉินเสวียนหย่าไปด้วยโดยติดตามมาจากระยะไกล
ครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้ไปที่สังสารวัฏหกวิถี พวกเขามาถึงริมเกาะอมตะแห่งสังสารวัฏ และมาถึงหน้าผาสีแดงเข้มแทน
ในขณะนั้นมีลำแสงสีดำสองสายพุ่งออกมาจากทางด้านล่างของหน้าผาและกลายเป็นโซ่ตรวนสีดำสนิทสองเส้น
เจ้าหน้าที่แห่งแดนยมโลกได้คว้าโซ่และล่ามมันไว้ที่ข้อมือของราชาองค์เก่าแห่งอาณาจักรหงหลิน จากนั้น เขาก็มองไปที่หัววัวและหน้าม้า
“ม่อ!”
หัววัวกล่าวว่า “มาพูดคุยสักสองสามคำเถิด”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
โหย่วฉินเสวียนหย่าตอบอย่างนุ่มนวล นางก้มศีรษะลงและคุกเข่าลงต่อหน้าราชาเฒ่าโดยไม่เอ่ยวาจาใดสักคำ
ในยามนั้นราชาเฒ่ามีเสียงสั่นเทา จากนั้นเขาก็เห็นหลี่ฉางโซ่ว และโหย่วฉินเสวียนหย่าที่ตามมาข้างหลัง
เขาอยากขอความช่วยเหลือตามสัญชาตญาณ ทว่าเขาก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอันใด
ในท้ายที่สุด เขาก็มองไปที่หลี่ฉางโซ่ว และพยักหน้าให้เขาเท่านั้นก่อนจะหันกลับมาและอ้าแขนออก
จากนั้นโซ่ก็ค่อยๆ เลื่อนลงและปล่อยเสียงเสียดแทงหูออกมา แล้วร่างของราชาเฒ่าก็ถูกลากลงไปในหุบเหวที่ไร้ที่สิ้นสุด
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องคร่ำครวญโหยหวนดังขึ้นมาจากด้านล่าง ราวกับว่าประตูถูกเปิดและปิดลงอย่างรวดเร็ว แล้วหน้าผาก็เงียบงันลงอีกครั้ง
เสียงลมพัดมาแผ่วเบาเรียกเสียงครวญครางแว่วมาแต่ไกล
ในเวลานั้นหลี่ฉางโซ่วยืนเอามือไพล่หลังอยู่เคียงข้างโหย่วฉินเสวียนหย่าขณะที่นางคุกเข่าลงบนพื้นเงียบๆ
หลังจากนั้นไม่นาน หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวขึ้นว่า “เสวียนหย่า เรากลับกันเถิด…”
กริ๊ง…
จู่ๆ ก็มีเสียงกระดิ่งลมดังแว่วเข้ามาในหูของเขา หลี่ฉางโซ่วรู้สึกมึนงงเล็กน้อย แล้วภาพเหตุการณ์หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา
ทะเลสาบราบเรียบราวกับกระจก มีหมอกสีขาวลอยอยู่รอบๆ
สตรีในชุดสีดำนอนอยู่บนผิวน้ำของทะเลสาบ นางมีผิวขาวใสราวกับหยกขาว เมื่อมองดูใกล้ๆ ก็พบว่า ข้อเท้า ข้อมือ ลำคอ และเอวของนาง ล้วนถูกโซ่เงินบางๆ ล่ามตรวนเอาไว้
ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางหลับตาและร้องไห้ มีน้ำตารินไหลลงมาจากหางตาของนาง ในขณะนั้นนางพึมพำอะไรบางอย่าง แต่หลี่ฉางโซ่วไม่ได้ยินนางอย่างชัดเจน…
ความโศกเศร้าที่ไม่อาจอธิบายได้ยังคงอยู่ในใจของเขา
ในขณะนั้นหลี่ฉางโซ่ว ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์นั้นยังปกติดี ทว่าร่างหลักของเขาซึ่งอยู่ในมุมหนึ่งของสำนักตู้เซียนก็มีน้ำตาคลอเบ้า และเขาก็ได้ยินเสียงที่อ่อนแอและแหบแห้งอยู่ในใจของเขา
“ช่วยข้าด้วย”
“ศิษย์พี่ เรากลับกันเถิดเจ้าค่ะ” เสียงของโหย่วฉินเสวียนหย่าดังขึ้นมาจากทางด้านข้าง
ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ได้สติและหลุดออกมาจากความมึนงงของเขา และภาพเหตุการณ์ที่เขาเห็นนั้นก็หายวับไปในทันที แต่ความเศร้าในใจของเขานั้นยังคงวนเวียนอยู่และไม่อาจสงบลงได้เป็นเวลานาน
………………………………………………………………..
[1] เรียกได้อีกอย่างว่า เป็นไม้ตกใจหรือไม้ปลุกสติ ซึ่งเป็นไม้ที่ผู้พิพากษาใช้กระแทกหรือเคาะโต๊ะในยามขึ้นบัลลังก์ทำการไต่สวนในศาล ซึ่งเวลาใช้มันกระแทกโต๊ะ จะทำให้คนตื่นตกใจ หรือได้สติ
[2] เป็นตัวละครเอกในนวนิยายในชื่อไทย บุปผาในกุณฑีทอง และเป็นภาพยนตร์ในปี 2016 แสดงโดยฟ่านปิงปิง นางเป็นสตรีผู้ร้ายกาจที่ยั่วยวนและเป็นหนึ่งในนางร้ายที่มีชื่อฉาวโฉ่ที่สุดในวรรณกรรมจีนโบราณ โดยนางเป็นหญิงงามที่ได้หมั้นหมายและแต่งงานกับอู่ต้าหลางซึ่งมีรูปโฉมอัปลักษณ์ และไม่สามารถตอบสนองอารมณ์รักให้นางได้เพียงพอ นางได้ยั่วยวนน้องชายของ นามอู่ซ่ง แต่ไม่สำเร็จ ก็ได้พบกับซีเหมินครั้งแรกเมื่อนางเปิดหน้าต่างและไม้ตกลงไปใส่ซีเหมิน จากนั้นทั้งสองก็ทำความรู้จักและลอบเป็นชู้กันสุดท้ายนางสมคบกับชู้ก็วางยาพิษอู่ต้าหลางจนเขาตาย และอู่ซ่งก็ตามเอาเรื่องจนสังหารนางและชู้ให้ตกตายตามกัน