บทที่ 877 ฮวนเจาผู้น่าสงสาร

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 877 ฮวนเจาผู้น่าสงสาร

บทที่ 877 ฮวนเจาผู้น่าสงสาร

จูเซี่ยฉือซินโบกมือและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ปรากฏตัวพร้อมกับเสื้อผ้าหลายชุดและตราคำสั่ง

“นี่คือเครื่องแบบและตราคำสั่งสำหรับเอาไว้แสดงเพื่อเข้าออกวัง แต่จงจำไว้ว่า เจ้าต้องออกจากวังก่อนพระอาทิตย์ตกดิน” พูดถึงประโยคนี้จูเซี่ยฉือซินลดเสียงของเขาลง “แต่ถ้าหากมีเรื่องจำเป็นอย่างแท้จริง เจ้าสามารถใช้สถานะทูตยุทธ์เสื้อแพรของเจ้าอยู่ในวังหลังจากพระอาทิตย์ตกดินได้ แต่นั่นอาจทำให้ตัวตนของเจ้าเปิดเผยหรืออาจเป็นผู้ต้องสงสัยคบหากับสนมนางใน ดังนั้นจะกระทำการใดเจ้าจงคิดให้มากหลายรอบ”

“ขอบคุณที่เตือน ท่านผู้บัญชาการ” ซูอันพยักหน้ารับทราบ เขาเองไม่เคยมีความคิดที่จะพาตัวเองเข้าไปสู่ปัญหาที่ไม่จำเป็นอยู่แล้ว โดยเฉพาะการเดินเตร่ไปรอบ ๆ สถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเช่นวังชั้นในซึ่งเขาอาจจะเจอปัญหาได้ง่ายดาย

จูเซี่ยฉือซินได้สอนวิธีการติดต่อลับ ๆ ระหว่างทูตยุทธ์เสื้อแพรโดยเฉพาะให้กับซูอัน จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นเตรียมจะจากไป

“อย่างไรเสียก็ให้ข้าทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีเถอะ เชิญท่านทานอาหารกันก่อน” แม้แต่ซูอันก็รู้สึกราวกับว่าน้ำเสียงของตัวเองที่พูดประโยคนี้ไม่จริงใจเลย

จูเซี่ยฉือซินส่ายหัว “ทูตยุทธ์เสื้อแพรหลีกเลี่ยงการคบหากันเป็นการส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทของเจ้าบ้านที่ดี ข้าขอตัวก่อนล่ะ”

พูดจบเขาหันหลังจากไปทันที แม้ย่างก้าวของเขาจะดูเหมือนเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว แต่ร่างสูงนั้นหายตัวไปไกลในชั่วพริบตา

ซูอันพ่นลมหายใจ ทูตยุทธ์เสื้อแพรไม่ได้มีความผูกพันธ์ทางสังคมอะไรกันเลย พวกเขาสามัคคีกันแค่เพียงจากหน้าที่เท่านั้น

จู่ ๆ เขาหันกลับไปมองที่มุมหนึ่งของห้องอย่างกะทันหัน “นั่นใคร?!”

ร่างที่งดงามมีเสน่ห์เดินเข้ามาหา “เจ้าระวังตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ”

ซูอันยิ้มเมื่อเห็นผมเปียที่ถักอย่างประณีตของนาง “ข้ามันคนดัง มีแต่คนอยากเข้าหาเสมอนี่นา ว่าแต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?”

“ข้ารอข่าวที่ประตูวังตลอดเวลา” เฉียวเสวี่ยอิงตอบ “ข้าต้องการดูว่ามีโอกาสช่วยชีวิตเจ้าบ้างไหม แต่การป้องกันแน่นหนามาก! จูเซี่ยฉือซินอยู่ข้างเจ้าแทบตลอดเวลา ข้าจึงไม่กล้าเข้าใกล้ พอเขาจากไปข้าจึงเข้ามา”

ซูอันรู้สึกอบอุ่นในใจ เขาดึงนางเข้ามาในอ้อมแขนโดยสัญชาตญาณ “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าดีกับข้าจริง ๆ”

นางถอนหายใจ “ข้าจะทำอะไรได้? เจ้าคือคนที่ข้าเลือกเอง” เฉียวเสวี่ยอิงกอดเขา วางศีรษะของนางแนบหน้าอกของเขา “หลังจากที่เจ้าเข้าไป ข้ากังวลจริง ๆ ว่าเจ้าจะไม่ได้ออกมาอีก ระดับการบ่มเพาะของข้าไม่สูงพอ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร?!”

ซูอันรู้สึกหัวใจพองโตเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของนาง “เด็กโง่ ด้วยระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของเจ้า เจ้าคงล้มตั้งแต่อยู่หน้าประตูก่อนจะก้าวขาเข้าไปซะอีก”

ชายหนุ่มยังคงจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เกลียดชังเขามากเมื่อตอนที่เขาถูกส่งมาที่โลกนี้ แต่หลังจากที่พวกเขาได้พัฒนาความสัมพันธ์กันแล้ว อารมณ์ที่ฉุนเฉียวของนางก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกและแทนที่ด้วยความอ่อนโยน เขาอาจจะเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่ได้สัมผัสกับด้านนี้ของนาง

เฉียวเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นและมองเขาด้วยดวงตาที่เป็นประกาย “เจ้ากลับออกมาอย่างปลอดภัยแบบนี้ได้อย่างไร ข้าไม่เข้าใจเลย?”

ซูอันกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มันมืดแล้ว เราไปหาอะไรกินกันก่อนแล้วเราค่อย ๆ คุยกันดีกว่า”

“ข้าคุ้นเคยกับเมืองหลวงและรู้จักสถานที่หนึ่ง!” เฉียวเสวี่ยอิงจับมือเขาไว้ นางเดินไปยิ้มอย่างเบิกบาน

ซูอันรู้ว่านางต้องแบกรับความรับผิดชอบในการรักษาเผ่าของนางให้ปลอดภัยตั้งแต่อายุยังน้อย และตอนนี้ นางต้องร่วมมือกับกลุ่มเงาสังหารอีกด้วย ความเป็นอยู่ภายในกลุ่มของนางคงมืดมนและโดดเดี่ยวไม่น้อย คงมีไม่มากครั้งที่นางจะร่าเริงได้แบบนี้

“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าจำเป็นต้องอยู่ในกลุ่มเงาสังหารหรือเปล่า?” เขาถาม “ข้าคิดว่าจะดีกว่าถ้าเจ้าออกมา มันอันตรายเกินไป”

“ไม่ต้องห่วง” เฉียวเสวี่ยอิงตอบ “ข้าได้ทำข้อตกลงกับกลุ่มเงาสังหารแล้ว ข้าจะมีอิสระตราบเท่าที่ข้าทำภารกิจสำคัญสุดท้ายให้พวกเขาสำเร็จ”

ซูอันตกใจ “ภารกิจสำคัญสุดท้ายนี้คืออะไร? อันตรายไหม?” เขาถามอย่างรวดเร็ว

เฉียวเสวี่ยอิงส่ายหัว “ข้ายังไม่รู้รายละเอียด แต่ไม่มีทางที่มันจะไม่อันตรายเพราะมันเป็นภารกิจที่มอบให้กับนักฆ่า แต่ข้าไม่คิดว่ามันจะยากเกินไป ข้าค่อนข้างเก่งนะเจ้าไม่รู้เหรอ?”

“เจ้าต้องระวัง!” ซูอันเตือนนาง “ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของพวกนักฆ่าที่ทำภารกิจสุดท้ายก่อนลาออกจากวงการมามาก ส่วนใหญ่พวกเขามักจบชีวิตระหว่างทำภารกิจสุดท้ายเนี่ยแหละ!”

“จิ๊! ไม่มีทางที่ข้าจะโชคร้ายขนาดนั้นหรอกน่า!”

“อย่างน้อยก็มาบอกข้าก่อนตอนออกไปทำภารกิจสุดท้ายนั่น ข้าจะดูว่าข้าสามารถช่วยเจ้าได้หรือเปล่า?” ซูอันกล่าว

“ได้” เฉียวเสวี่ยอิงไม่ได้สนใจเกี่ยวกับกฎความลับของกลุ่มเงาสังหารเมื่ออยู่ต่อหน้าซูอัน แค่เห็นว่าคนรักของนางห่วงใยนางมากแบบนี้มันทำให้นางเต็มไปด้วยความสุข

ไม่นานพวกเขาก็มาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง ร้านอาหารไม่ใหญ่มากแต่ก็เงียบสงบและเป็นส่วนตัว นางขอห้องส่วนตัวและสั่งอาหารจำนวนมาก หลังจากใช้เวลามากมายร่วมกับซูอันในตระกูลฉู่ นางรู้ดีว่าเขาชอบอะไร

ซูอันรู้สึกประหลาดใจ “ทั้งหมดนี้เป็นของโปรดของข้า! สั่งของเจ้าด้วยสิ ข้าเลี้ยงเอง!”

เฉียวเสวี่ยอิงส่ายหัว “เจ้าลืมไปแล้วเหรอว่าข้าเป็นเอลฟ์พฤกษา? แม้ว่าข้าจะไม่ได้ใช้ชีวิตในป่า แต่ข้าก็ไม่สนใจอาหารของมนุษย์เท่าไร”

แม้แต่ตอนที่อยู่ในตระกูลฉู่ นางก็กินผักเพียงไม่กี่จาน นางสนใจของหวานมากกว่า ตอนนี้นางไม่ต้องแสร้งทำแล้ว เห็นได้ชัดว่านางไม่จำเป็นต้องกินอาหารคาวใด ๆ

ซูอันครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเรียกพนักงาน เขาสั่งน้ำผลไม้หลายชนิด รวมทั้งเมล็ดแตงโมจานใหญ่

“ข้าเห็นว่าเจ้าชอบเสกเถาวัลย์และพืชอื่น ๆ อยู่ตลอด ดังนั้นเจ้าควรดื่มน้ำผลไม้พวกนี้ให้เยอะ ๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ อ้อ และข้าจำได้ว่าเจ้าชอบเคี้ยวเมล็ดแตงโมเหมือนกัน”

ดวงตาของเฉียวเสวี่ยอิงสว่างขึ้นทันที นางหยิบเมล็ดแตงโมขึ้นมาแทะและจิบน้ำผลไม้ประเภทต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน

ซูอันยิ้ม การได้เห็นนางเพลิดเพลินกับเมล็ดแตงโมทำให้เขานึกย้อนกลับไปในวันเวลาภายในตระกูลฉู่

จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวังให้นางฟัง เขาไม่ได้ปิดบังว่าตัวเองเป็นทูตยุทธ์เสื้อแพร

แม้ว่าจักรพรรดิและจูเซี่ยฉือซินจะเตือนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าเปิดเผยตัวตนใหม่ของเขาต่อผู้อื่น แต่การอยู่ในโลกนี้คงไม่คุ้มค่าถ้าเขาไม่สามารถแม้แต่จะไว้ใจคนรักของตัวเองได้

“ความขัดแย้งระหว่างราชันลมปราณและจักรพรรดิได้มาถึงจุดแตกหักแล้ว มันจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับเจ้าในตอนนี้ที่ติดอยู่ตรงกลาง” จู่ ๆ เมล็ดแตงโมก็มีรสชาติเหมือนขี้เถ้า “ยิ่งไปกว่านั้นตาของฉู่ชูเหยียนเป็นคนตระกูลฉินซึ่งเป็นขุมกำลังหลักหนึ่งของราชันลมปราณ เจ้าจะทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา?”

นี่เป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับซูอันเช่นกัน หลังจากครุ่นคิดสักพักเขาก็พูดว่า “ข้าไม่คิดว่าในตอนนี้ราชันลมปราณและข้าจะเป็นปรปักษ์กันถึงขนาดไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ ส่วนสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ข้าก็แค่ไหลไปตามน้ำแก้ปัญหาไปทีละเรื่อง ว่าแต่เจ้าส่งฉู่โหยวเจากลับไปตระกูลฉินอย่างปลอดภัยหรือเปล่า?”

เฉียวเสวี่ยอิงกลอกตา “เจ้ากังวลว่าข้าจะฆ่าเขาลับหลังเหรอ? ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ทำร้ายเขาหรอกน่า! อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าไปเลยว่าตอนนี้ฉู่ชูเหยียนกำลังถูกตระกูลฉินกักตัวไว้”

ใบหน้าของซูอันหมองลง “ฉู่โหยวเจากล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกัน หากตระกูลฉินไม่ช่วยข้าก็เป็นเรื่องนึง แต่พวกเขากลับสร้างปัญหามากขึ้น ช่างน่าโมโหจริง ๆ”

“ฮูหยินฉู่และผู้เฒ่าฉินบาดหมางกันเมื่อหลายปีก่อน” เฉียวเสวี่ยอิงตอบ “เป็นสาเหตุที่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตระกูลตึงเครียดอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ตระกูลฉินยังคงปฏิบัติต่อคุณหนูใหญ่และนายน้อยค่อนข้างดี”

ซูอันขมวดคิ้ว “แล้วฮวนเจาล่ะ พวกเขาไม่สนใจเลยหรืออย่างไร?”

ทำไมชีวิตฮวนเจาของข้านั้นน่าสงสารขนาดนี้?