บทที่ 819 ในที่สุดก็เจอกัน

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

มาที่ห้องนั่งเล่น คุณแม่ปารวีอดใจรอไม่ไหวที่จะถามขึ้นอีกครั้งว่า“สิทธิ์ ว่ายังไง วารุณีตอบกลับมาแล้วใช่ไหม?”

คุณพ่อประสิทธิ์พยักหน้า “ตอบกลับมาแล้ว วารุณีให้เรารอสักสองสามชั่วโมง ประธานนัทธีจะให้คนมาพาเราไปจากที่นี่ ก่อนรุ่งสางคนก็น่าจะมาถึง ”

เมื่อได้ยินดังนี้ ความกังวลใจของคุณแม่ปารวีที่มีมาตลอด ก็ได้ปล่อยวางลง “ดีเลย ดีมากๆเลย”

เธอตีไปที่อก “เรารบกวนวารุณีกับประธานนัทธีอีกครั้งแล้ว”

คุณพ่อประสิทธิ์ถอนหายใจ “ใช่ แต่ตอนนี้ก็มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่สามารถช่วยเราได้ รอให้เราได้อยู่กันอย่างปลอดภัยจริงๆ ถึงตอนนั้นเราค่อยมาคิดกันว่าจะตอบแทนพวกเขายังไง ”

“คุณพูดถูก”คุณแม่ปารวีพยักหน้า

จากนั้น คุณพ่อประสิทธิ์ก็มองไปยังนาฬิกาแขวนที่ผนัง เป็นเวลาตีสามแล้ว

เขาพูดกับคุณแม่ปารวีว่า“อีกหลายชั่วโมงกว่าฟ้าจะสาง คุณไปนอนสักงีบเถอะ ผมจะไปเก็บข้าวของเอง”

คุณแม่ปารวีส่ายหัว “ไม่ดีกว่า ฉันจะไปนอนหลับได้ที่ไหนกัน ฉันช่วยคุณเก็บของดีกว่า ช่วยๆกัน จะได้เร็วขึ้น”

“ก็ได้”คุณพ่อประสิทธิ์ได้ยินคำพูดของคุณแม่ปารวี ก็ไม่ได้บังคับอะไรอีก

เพราะได้ยินว่าพงศกรตามหาพวกเขาเจอแล้ว พวกเขาก็ย่อมต้องนอนไม่หลับเป็นแน่ ไม่สู้มาออกแรงด้วยกัน ไม่แน่แบบนี้ อาจทำให้เวลาผ่านไปได้เร็วยิ่งขึ้น

“ไปกันเถอะ ฉันจะไปเก็บของที่ห้องของเรา ของปาจรีย์ค่อยว่ากัน ให้ปาจรีย์ได้นอนพักสักหน่อย ”คุณแม่ปารวีพูดพลางเหลือบมองไปที่ประตูห้องของปาจรีย์

คุณพ่อประสิทธิ์ตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง “ควรให้เธอได้นอนพัก เมื่อครู่เธอคงหวาดกลัวมาก ”

“ใช่ ตอนที่ฉันกอดเธอ ยังรู้สึกได้ถึงร่างของเธอที่สั่นสะท้าน ”

“ไม่รู้จริงๆ ว่าชีวิตแบบนี้จะสิ้นสุดเมื่อไร” คุณพ่อประสิทธิ์เงยหน้าขึ้นมองไปบนเพดาน ดวงตาเต็มไปด้วยความว่างเปล่า

คุณแม่ปารวีไม่ได้พูดอะไร ถอนหายใจอย่างเงียบๆ

คุณพ่อประสิทธิ์คลึงไปที่ขมับ“เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ไปกันเถอะ เก็บของกัน เก็บแต่ที่จำเป็น ที่ไม่จำเป็น ก็ไม่ต้องเอาไปด้วย ของเยอะแยะ เอาไปด้วยก็ลำบากเปล่าๆ”

“อืม”คุณแม่ปารวีเข้าใจในสิ่งที่คุณพ่อประสิทธิ์พูด

ตอนนี้พวกเขากำลังหนีพงศกร ไม่ใช่จะย้ายบ้าน

ดังนั้นของบางอย่างที่ไม่จำเป็น ไม่เอาไปด้วยก็จะดีกว่า

หลังจากที่ทั้งคู่พูดคุยกันจบ ก็แยกย้ายกันลงมือ

เพื่อไม่ทำให้ปาจรีย์ตื่น การเคลื่อนไหวของคนทั้งคู่ ก็ทำกันอย่างเงียบๆและเบามาก พยายามไม่ให้มีเสียงมากที่สุด

หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง สองสามีภรรยาก็เก็บของแทบจะเรียบร้อยหมดแล้ว

คุณพ่อประสิทธิ์มองไปยังกระเป๋าเดินและกล่องใส่ของสารพัดในห้องนั่งเล่น หายใจเข้าอย่างไม่มีทางเลือก จากนั้นก็มองไปยังภรรยาที่อยู่ข้างๆ“หกโมงเช้าแล้ว คนของประธานนัทธีคงใกล้จะมาถึงแล้ว คุณไปปลุกปาจรีย์เถอะ แล้วเก็บข้าวของของปาจรีย์ด้วย อะไรที่เอาไปได้ก็เอาไป”

“ได้ ฉันรู้แล้ว” คุณแม่ปารวีพยักหน้ารับคำ

อันที่จริงถึงเขาจะไม่บอก เธอก็จะไปปลุกอยู่แล้ว

คุณแม่ปารวีเดินไปที่ห้องนอนของปาจรีย์

คุณพ่อประสิทธิ์มองไปยังสัมภาระที่วางในห้องนั่งเล่น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ว่าจะขนมันไปไว้ที่หน้าบ้าน อีกประเดี๋ยวจะได้สะดวกกับการขนขึ้นรถ

คิดจะทำก็ลงมือทำในทันที คุณพ่อประสิทธิ์ถือกระเป๋าเดินทางสองใบ เดินไปที่ประตู

ไม่นาน คุณพ่อประสิทธิ์ก็ย้ายกระเป๋าเดินทางทั้งสองใบไปไว้นอกบ้าน

หลังจากที่วางมันลง คุณพ่อประสิทธิ์ก็กำลังจะกลับเข้าบ้าน เพื่อขนของที่เหลือต่อ

ในจังหวะที่กำลังจะหันหลังกลับนั้น จู่ๆก็มีร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขา มองมาที่เขาด้วยดวงตาที่มืดมน“นี่อะไรครับ กำลังจะย้ายบ้านเหรอ?”

เสียงนี้!

เท้าของคุณพ่อประสิทธิ์ก็ชะงัก สีหน้าเปลี่ยนในทันที รูม่านตาหดเกร็งเท่ารูเข็ม แม้แต่ร่างกายเอง ก็สะท้านไปด้วยเล็กน้อยเช่นกัน

พงศกร!

เขาหาเจอแล้วจริงๆ!

ภายในใจของคุณพ่อประสิทธิ์ราวกับมีเกลียวคลื่นซัดสาด ไม่สามารถสงบลงได้

เขาไม่คิดมาก่อนว่า พงศกรจะมาได้รวดเร็วขนาดนี้ เดิมทีคิดว่า ตอนที่พงศกรโทรหาปาจรีย์ คงน่าจะเพิ่งรู้ที่อยู่ของพวกเขา และยังไม่คิดที่จะตามมา

แต่ไม่คิดว่า พงศกรจะมาได้เร็วขนาดนี้

ดูท่าแล้ว ตอนที่พงศกรโทรหาปาจรีย์ คงน่าจะอยู่ที่สนามบินของประเทศนี้แล้ว

สนามบินที่ใกล้ที่สุด เดินทางโดยรถยนต์ก็หลายชั่วโมงอยู่

เพราะที่นี่อยู่ห่างไกลพอสมควร ดังนั้นการเดินทางจึงไม่ค่อยสะดวก เว้นแต่จะขับรถมาเอง ไม่อยากนั้นเดินทางมาที่นี่ ก็ต้องต่อรถอยู่หลายต่อเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อคำนวณดูแล้ว ก็ต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร

ไม่เลวเลย เขายังกัดไม่ปล่อยจริงๆ

เพื่อกันไม่ให้พวกเขาหนีไปก่อน ตอนที่เขาอยู่สนามบิน ก็ถึงได้โทรมาคุกคามปาจรีย์

เป็นจริงอย่างที่คาด คนเจ้าเล่ห์ขี้โกงอย่างพงศกร พวกเขาไม่ใช่คู่ปรับ

เมื่อเห็นคุณพ่อประสิทธิ์กำหมัดแน่น และร่างกายสั่นเทาด้วยเล็กน้อย พงศกรหรี่ตาลง“คุณลุงประสิทธิ์ ดูท่าจะรู้แล้วว่าผมเป็นใคร จะว่าไปผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ไม่เจอกันหลายปี คุณก็ยังจำเสียงผมได้”

“อย่ามาเรียกฉันว่าคุณลุง!” คุณพ่อประสิทธิ์ราวกับถูกอะไรมากระตุ้นเข้า หันหลังกลับในทันที ดวงตาแดงก่ำจ้องมองไปยังพงศกร ตวาดอย่างโกรธเคืองว่า“ ฉันเป็นคุณลุงแกไม่ได้หรอก และไม่คู่ควรที่จะเป็นคุณลุงแกด้วย!”

พงศกรฟังเสียงตวาดของคุณพ่อประสิทธิ์ ดวงตาก็ไหววูบ และไม่ได้พูดอะไร

ภายในบ้าน คุณแม่ปารวีกับปาจรีย์ก็ได้ยินเสียงของคุณพ่อประสิทธิ์ด้วยเช่นกัน จึงมองสบตากัน

ปาจรีย์ถามด้วยความสงสัย “แม่ค่ะ พ่อเป็นอะไร? ตะโกนเสียงดังอยู่ด้านนอกทำไม?”

คุณแม่ปารวีไม่ได้ตอบ แต่สีหน้าดูแย่ขึ้นในทันที

เธอใช้ชีวิตอยู่กับคุณพ่อประสิทธิ์มานานกว่าสามสิบปี พูดได้ว่ารู้จักคุณพ่อประสิทธิ์เป็นอย่างดี

คนอย่างคุณพ่อประสิทธิ์ เป็นคนที่อ่อนโยนและสุภาพมาโดยตลอด ไม่เคยมีอารมณ์รุนแรงอย่างนี้มาก่อน สามสิบปีมานี้ มีแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่เธอจะเห็นเขามีอารมณ์ฉุนเฉียวได้

นั่นก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลฉัตรวิไล

ดังนั้นในตอนนี้ เธอก็พอจะเดาได้ที่สามีตัวเองควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แบบนี้ คงเป็นเพราะพงศกรมาถึงแล้วแน่

เพราะเธอยังได้ยินสามีตัวเองพูดว่า‘ไม่ใช่คุณลุงของคุณ’คำนี้ ซึ่งต้องพูดกับพงศกรแน่

เมื่อคิดได้ดังนั้น คุณแม่ปารวีก็เหยียดมุมปาก แล้วฝืนยิ้มออกมา พูดกับปาจรีย์ว่า“ ปาจรีย์ ลูกอยู่นี่ก่อนอย่าขยับไปไหน แม่จะออกไปดูเอง”

ปาจรีย์พยักหน้าให้ “ค่ะ”

คุณแม่ปารวีสูดหายใจเข้าลึก ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

มาถึงที่ประตู ทันทีที่คุณแม่ปารวีออกไป ก็เห็นคนที่ยืนอยู่ตรงด้านนอก เมื่อเห็นใบหน้าของคนคนนั้น สีหน้าของคุณแม่ปารวีก็ซีดเผือดในทันที“พงศกร!”

ใช่เขาจริงๆด้วย

เขาหามันเจอแล้วจริงๆ

เมื่อพงศกรเห็นคุณแม่ปารวีออกมา แต่ไม่เห็นปาจรีย์ แววตาอดไม่ได้ที่จะมืดมน

เธอไม่รู้ว่าเขามาแล้ว หรือรู้แล้วแต่ไม่ออกมา?

น่าจะเป็นอย่างหลัง!

เมื่อครู่เสียงของคุณพ่อประสิทธิ์ดังซะขนาดนั้น คุณแม่ปารวียังต้องออกมาดู ตามหลักแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ปาจรีย์จะไม่ออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่ปาจรีย์กลับไม่ออกมา นั่นก็หมายความว่า ปาจรีย์รู้ว่าเขามาแล้ว แต่จงใจจะหลบอยู่ข้างใน

เหอะ เธอคิดว่า เธอจะหลบไปได้ตลอดชีวิตหรือไง ?

“คุณลุงคุณป้า ที่ผมมาที่นี่ ก็เพื่อมาหาปาจรีย์”พงศกรมองไปยังคุณพ่อประสิทธิ์กับคุณแม่ปารวี พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไม่นำพา

ใบหน้าของคุณพ่อประสิทธิ์ดูแย่ขึ้นในทันที “หุบปาก แกไม่มีสิทธิ์มาเรียกชื่อลูกสาวของฉัน !”

คุณแม่ปารวีร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ“พงศกร เราไม่รู้ว่าคุณหาพวกเราเจอได้ยังไง แต่ฉันขอร้องได้ไหม ปล่อยพวกเราไปเถอะ เราหนีคุณมาขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงต้องคิดจะกำจัดเราให้สิ้นซากด้วย ? พงศกร ฉันรู้ว่าคุณเกลียดชังพวกเรา เกลียดชังปาจรีย์ และเกลียดชังเด็กในท้องของปาจรีย์ แต่ก่อนหน้านั้นเราก็ได้บอกไปแล้ว ว่าจะไม่เอาเด็กคนนี้มาให้คุณเห็น คุณทำเหมือนไม่เคยมีลูกคนนี้ก็ได้ ดังนั้นช่วยคิดซะว่าพวกเราได้ตายไปแล้วได้ไหม ?”