ตอนที่ 865 อยากเป็นจักรพรรดิ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 865 อยากเป็นจักรพรรดิ

ไม่นานหลี่เม่าก็คิดคำแก้ตัวได้ เขารีบโค้งกายคำนับเหลียงอ๋องด้วยท่าทีที่นอบน้อมกว่าเดิม “ทูลเหลียงอ๋อง บัดนี้ไม่ได้มีเพียงแค่กระหม่อมเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ยังมีกลุ่มของเสนาบดีกรมการคลังอีก พวกเราล้วนลงเรือลำเดียวกับเหลียงอ๋องแล้ว พวกเราจะสำเร็จและพ่ายแพ้ไปด้วยกัน กระหม่อมย่อมไม่กลัวการพ่ายแพ้อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เม่าเงยหน้ามองไปทางเหลียงอ๋องด้วยท่าทีปกติ “เป็นจริงดังที่ไป๋จิ่นซิ่วกล่าว กระหม่อมเป็นคนเสนอให้องค์ชายรองแย่งชิงบัลลังก์เองเพราะองค์ชายรองมีความสามารถเพียบพร้อมพ่ะย่ะค่ะ หากตอนนั้นไม่ก่อกบฏ ตระกูลฝั่งมารดาของถงกุ้ยเฟยคงพลอยเดือดร้อนไปด้วย องค์ชายรองจะไม่มีสิทธิ์ในบัลลังก์นั้นอีก กระหม่อมทนให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อได้ยินหลี่เม่ากล่าวเช่นนี้สีหน้าของเหลียงอ๋องดีขึ้นไม่น้อย เขาจ้องหลี่เม่านิ่งอยู่พักใหญ่ จากนั้นละสายตากลับ เขาเดินลงไปจากกำแพงเมือง ในใจเริ่มคิดทบทวนคำกล่าวของหลี่เม่าอย่างจริงจัง

เมื่อเห็นจักรพรรดิต้าจิ้นและกลุ่มของเหลียงอ๋องเดินจากไป องค์รัชทายาทที่ถูกแขวนอยู่บนกำแพงเมืองยังคงร้องไห้คร่ำครวญ ไป๋จิ่นซิ่วหันไปถามจี้ถิงอวี๋ “พี่หญิงใหญ่ถึงที่ใดแล้ว”

จี้ถิงอวี๋คำนวณจากข่าวครั้งล่าสุดที่ถูกส่งกลับมา “คุณหนูใหญ่น่าจะมาถึงไม่เกินวันที่สิบแปดเดือนนี้ขอรับ”

ไป๋จิ่นซิ่วพยักหน้า หญิงสาวหันไปมององค์รัชทายาทที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุดอยู่กลางอากาศแวบหนึ่ง หญิงสาวได้ยินจี้ถิงอวี๋เอ่ยถาม “คุณหนูรอง หากตอนที่คุณหนูใหญ่กลับมาถึงเหลียงอ๋องยังไม่สังหารฝ่าบาทและองค์รัชทายาทเล่าขอรับ”

“ดาบอยู่ในมือของพวกเรา…” แววตาเคร่งขรึมของไป๋จิ่นซิ่วส่อแววสังหารรุนแรงออกมาอย่างปิดไม่มิด “ผู้คนล้วนกล่าวว่าแพ้เป็นโจร ชนะเป็นเจ้า! หากเหลียงอ๋องไม่ลงมือ พวกเราจะลงมือแทนเหลียงอ๋อง จากนั้นโยนความผิดให้เขาเสีย”

หลี่หมิงรุ่ยอยู่ไกลออกไป เขาได้ยินคำกล่าวของไป๋จิ่นซิ่วไม่ค่อยชัด ทว่า เมื่อเขามองไปทางไป๋จิ่นซิ่ว จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดบางอย่างที่อาจหาญขึ้นมา เขามองไปทางองค์รัชทายาทที่กลัวจนฉี่ราดและยังคงร้องไห้ไม่หยุดเพราะถูกจับแขวนบนกำแพงเมืองแวบหนึ่ง จากนั้นมองไปทางไป๋จิ่นซิ่วอีกครั้ง

หลี่หมิงรุ่ยคิดว่าตระกูลไป๋ที่มีจิตวิญาณที่กล้าหาญและแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่น่าเต็มใจสวามิภักดิ์ต่อองค์รัชทายาทที่ไร้ความสามารถและขี้ขลาดจนฉี่ราดกางเกงเช่นนี้

เขารู้ว่าเหลียงอ๋องคุ้มกันวังหลวงอย่างแน่นหนาเพราะต้องการรอทัพเสริมจากกองทัพผิงหยาง ทว่า ไป๋จิ่นซิ่วล้อมวังหลวงโดยไม่บุกโจมตีเช่นนี้เพื่อสิ่งใดกัน

แม้หลี่หมิงรุ่ยจะไม่เคยมีประสบการณ์รบในสงคราม ทว่า เขาเคยอ่านตำราพิชัยสงครามมาไม่น้อย การบุกโจมตีเมืองจะเน้นความรวดเร็วเป็นสำคัญ พวกเขากลัวการยื้อเวลามากที่สุด ไป๋จิ่นซิ่วเกิดในตระกูลนักรบ นางศึกษาตำราพิชัยสงครามมาตั้งแต่เล็ก อีกทั้งเคยไปออกรบสนามรบจริงมาก่อน เหตุใดนางจึงไม่ยอมบุกโจมตีวังหลวง ปล่อยให้เหลียงอ๋องถ่วงเวลาอยู่เช่นนี้กัน!

คิดแล้วก็มีอยู่เพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น ไป๋จิ่นซิ่วต้องการถ่วงเวลาจนกว่าเหลียงอ๋องจะลงมือกับจักรพรรดิต้าจิ้นและองค์รัชทายาท กระทั่งอาจต้องการถ่วงเวลาไว้จนกว่าไป๋ชิงเหยียนจะกลับมา…

รอให้เหลียงอ๋องลงมือกับจักรพรรดิต้าจิ้นและองค์รัชทายาท รอให้ไป๋ชิงเหยียนกลับมาเพื่อสิ่งใดกัน

เพื่อที่จะได้เข้าแทนที่ราชวงศ์ได้อย่างชอบธรรมอย่างนั้นหรือ!

มือของหลี่หมิงรุ่ยสั่นเล็กน้อย ทุกคนในใต้หล้าต่างรับรู้ความจงรักภักดีของตระกูลไป๋ดี ดังนั้นหลี่หมิงรุ่ยจึงไม่เคยมองตระกูลไป๋ในแง่นั้นมาก่อน เขาคิดมาตลอดว่าตระกูลไป๋ทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนให้สายเลือดหลักของราชวงศ์ได้ขึ้นครองบัลลังก์

ทว่า เมื่อถอยออกมามองอยู่ตรงนี้ เมื่อเห็นว่าไป๋จิ่นซิ่วไม่ได้มีท่าทีเป็นห่วงองค์รัชทายาทที่ถูกจับแขวนอยู่บนกำแพงเมืองแม้แต่น้อย เขาจึงรู้ว่าเขาคิดผิดไปแล้ว

ตระกูลไป๋ไม่ได้ต้องการเป็นขุนนางที่มีความชอบในการช่วยให้จักรพรรดิองค์ใหม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ ทว่า ตระกูลไป๋ต้องการครอบครองบัลลังก์นั่นเองต่างหาก

ทว่า บุรุษของตระกูลไป๋ล้วนเสียชีวิตลงหมดแล้ว เหตุใดพวกนางจึงกล้ามีความคิดเช่นนี้กัน!

หัวของหลี่หมิงรุ่ยปรากฏภาพของจักรพรรดินีแห่งซีเหลียงขึ้นมา จักรพรรดินีแห่งซีเหลียงเป็นสตรีเช่นเดียวกัน ทว่า นางยังขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดินีได้เลย

เช่นนั้นแสดงว่าไป๋ชิงเหยียนต้องการเลียนแบบจักรพรรดินีแห่งซีเหลียง อยากขึ้นเป็นจักรพรรดินีอย่างนั้นหรือ

ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน!

เรื่องที่เขาเคยไม่เข้าใจก่อนหน้านี้ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในสมองของหลี่หมิงรุ่ย

การกระทำทั้งหมดของไป๋ชิงเหยียนก่อนหน้านี้ที่หลี่หมิงรุ่ยคิดว่าหญิงสาวทำไปเพื่อองค์รัชทายาทค่อยๆ ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการฝึกซ้อมทหารในซั่วหยาง การแทรกคนของตัวเองเข้าไปในกองกำลังรักษาพระองค์และการกระทำอื่นๆ ที่ตามมาของไป๋ชิงเหยียน…ไป๋ชิงเหยียนทำเพื่อองค์รัชทายาทที่ใดกัน หญิงสาวทำเพื่อปูทางสำหรับการขึ้นครองราชย์ของตัวเองทั้งนั้น

ตระกูลไป๋ช่างทะเยอทะยานและละโมบยิ่งนัก!

หลี่หมิงรุ่ยไม่เคยคิดมาก่อนว่าตระกูลไป๋จะมีความคิดที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ ทว่า ในเมื่อมาจนถึงจุดนี้แล้ว เขาจำเป็นต้องขึ้นเรือลำเดียวกับไป๋ชิงเหยียนเพื่อตระกูลหลี่ของเขา!

บัดนี้ตระกูลไป๋มีอำนาจเป็นต่ออยู่ในมือ พวกนางวางแผนเตรียมการมาล่วงหน้านานแล้ว พวกนางมีโอกาสได้รับชัยชนะมากกว่าราชวงศ์ที่ใกล้เสื่อมโทรมลงทุกทีมาก กระทั่งอาจกล่าวได้ว่าพวกนางชนะอย่างมั่นคงแน่นอน

ที่สำคัญหากตระกูลไป๋เข้าแทนที่ราชวงศ์หลินได้สำเร็จจริงๆ เช่นนั้นแคว้นต้าจิ้นจะมีศักราชใหม่ ไป๋ชิงเหยียนคงไม่กัดเรื่องที่บิดาของเขาเคยยุยงให้องค์ชายรองก่อกบฏในตอนนั้นไม่ปล่อยแน่

หลี่หมิงรุ่ยเดินตรงเข้าไปหาไป๋จิ่นซิ่วอย่างตัดสินใจแน่วแน่ จากนั้นโค้งกายคำนับ “ฮูหยินฉิน…”

“ใต้เท้าหลี่มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ”

ไป๋จิ่นซิ่วในชุดเกราะดูน่าเกรงขามและโหดเหี้ยมกว่ายามปกติมาก

หลี่หมิงรุ่ยกล่าวขึ้น “หากฮูหยินฉินต้องการให้เหลียงอ๋องลงมือจัดการกับฝ่าบาทและองค์รัชทายาทก่อนที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วจะกลับมาถึงเมืองหลวง ลำพังแค่ล้อมวังหลวงไว้คงไม่เพียงพอขอรับ ฮูหยินฉินต้องยั่วโมโหเหลียงอ๋องมากกว่านี้ ยกตัวอย่างเช่นปล่อยข่าวให้เหลียงอ๋องทราบว่าฮูหยินฉินส่งคนไปหากองทัพผิงหยางเพื่อบอกพวกเขาฝ่าบาทถูกเหลียงอ๋องบีบบังคับให้ประกาศราชโองการจับตัวองค์รัชทายาทในข้อหากบฏขอรับ”

ไป๋จิ่นซิ่วมองไปทางหลี่หมิงรุ่ยนิ่ง “เช่นนั้นแสดงว่าเหลียงอ๋องส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากกองทัพผิงหยางแล้วอย่างนั้นหรือ”

“ขอรับ ฝ่าบาททรงรับสั่งให้แม่ทัพเซี่ยอวี่จั่งและแม่ทัพฝูรั่วซีเชิญเหลียงอ๋องเข้าไปในวังหลวงในวันที่ยี่สิบสาม เดือนสี่ เหลียงอ๋องก็สั่งให้คนนำป้ายอาญาสิทธิ์มุ่งหน้าไปเชิญกองทัพผิงหยางมาคุ้มครองฝ่าบาทและจับตัวองค์รัชทายาทที่เมืองหลวงแล้วขอรับ นอกจากฝ่าบาทจะประกาศราชโองการให้ทางการแต่ละเมืองรวบรวมตัวเด็กชายและเด็กหญิงหนึ่งพันคนส่งมายังเมืองหลวงแล้ว ฝ่าบาทยังประกาศราชโองการสั่งห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่มีราชโองการหรือป้ายอาญาสิทธิ์นำทัพมายังเมืองหลวงเด็ดขาดขอรับ”

หลี่หมิงรุ่ยเงยหน้ามองไป๋จิ่นซิ่วพลางบอกตามความจริง “ดังนั้นองค์หญิงเจิ้นกั๋วอาจพบอุปสรรคมากมายระหว่างเดินทางกลับมายังเมืองหลวง คงมาไม่ถึงเร็วนัก ฮูหยินฉินควรเตรียมรับมือไว้ด้วยขอรับ”

จี้ถิงอวี๋หรี่ตามองหลี่หมิงรุ่ยแวบหนึ่ง เขากำลังชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือของคำกล่าวของหลี่หมิงรุ่ย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ทว่า เรื่องที่ใต้เท้าหลี่กล่าวว่าจะบีบให้เหลียงอ๋องลงมือกับฝ่าบาทและองค์รัชทายาท…” ไป๋จิ่นซิ่วยืนเอามือไขว้หลัง แสร้งทำเป็นไขสือ “ข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก…”

หลี่หมิงรุ่ยสวามิภักดิ์โดยไม่ทันตั้งตัว ไป๋จิ่นซิ่วจะสงสัยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด เขาโค้งกายคำนับไป๋จิ่นซิ่วยิ้มๆ “แม้หลี่หมิงรุ่ยจะไม่ใช่คนฉลาดสักเท่าใดนัก ทว่า ข้ารู้จักประมาณตนดีขอรับ”

ในเมื่อรู้แล้วว่าผู้ใดจะกลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด เขายิ่งมีโอกาสที่จะได้ผลพลอยได้ไปด้วย แม้การกระทำจะเหมือนคนถ่อยไปสักนิด ทว่า อย่างน้อยเขาก็สามารถรักษาความปลอดภัยของทุกคนในตระกูลหลี่ได้ตอนที่เกิดการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์

ชีวิตของทุกคนในตระกูลหลี่มีความสำคัญมากกว่าชีวิตและศักดิ์ศรีของเขาเพียงคนเดียว หลี่หมิงรุ่ยต้องเลือกทำเพื่อตระกูลโดยไม่ลังเลอยู่แล้ว

ที่สำคัญตอนที่หลี่หมิงรุ่ยเข้าร่วมกับเหลียงอ๋องก็เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน บัดนี้เขาเลือกไป๋ชิงเหยียนก็เพราะเหตุผลเดียวกัน

ไป๋จิ่นซิ่วหัวเราะออกมาเบาๆ นางนึกถึงคำที่พี่หญิงใหญ่เคยใช้อธิบายตัวตนของหลี่หมิงรุ่ย ไม่ใช่คนมีศีลธรรมใหญ่หลวง…ทว่า พอมีเมตตาอยู่บ้าง