ตอนที่ 866 ตั๊กแตนหลังฤดูใบไม้ร่วง

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 866 ตั๊กแตนหลังฤดูใบไม้ร่วง

“ที่ข้าโน้มน้าวเจ้าในตอนนั้นเพราะอยากให้เจ้ามีโอกาสปกป้องตระกูลหลี่ไม่ให้ถูกประหารทั้งตระกูล ทว่า เจ้าและอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้เป็นบิดาของเจ้าไม่เพียงแค่อยากปกป้องตระกูลของตัวไว้ในเท่านั้น เจ้าและบิดาของเจ้าอยู่กันคนละฝั่ง ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ ท้ายที่สุดผู้ที่ตายก็จะมีเพียงเจ้าหรือบิดาของเจ้าคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ตระกูลหลี่ทั้งตระกูลไม่เพียงแต่จะมีชีวิตรอดต่อไปเพราะความดีความชอบของพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งที่เลือกอยู่ฝ่ายที่ชนะเท่านั้น ตระกูลของเจ้าจะรุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิมเพราะพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งอีกด้วย!” ไป๋จิ่นซิ่วมองไปทางหลี่หมิงรุ่ยด้วยแววตาที่แจ่มชัด “ใช่หรือไม่”

หลี่หมิงรุ่ยนึกไม่ถึงว่าไป๋จิ่นซิ่วจะมองแผนการของเขาออก ทว่า ในเมื่อถูกจับได้แล้ว หลี่หมิงรุ่ยก็ยอมรับอย่างเปิดเผย “ข้าแค่ทำทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดของตระกูลหลี่เท่านั้นขอรับ! เหมือนอย่างที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดของตระกูลไป๋หลังจากที่บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตลงในสนามรบ ฝ่าบาทและซิ่นอ๋องต้องการชีวิตคนของตระกูลไป๋ทั้งตระกูลนั่นแหล่ะขอรับ! ข้าเองก็จำต้องทำเช่นนี้เหมือนกัน”

ไป๋จิ่นซิ่วที่เอามือทั้งสองไขว้หลังมองไปทางหลี่หมิงรุ่ยด้วยแววตาราบเรียบ “ไม่เหมือนกัน…”

แม้จะทำเพื่อเอาตัวรอดเหมือนกัน ทว่า หลี่หมิงรุ่ยจะเทียบกับพี่หญิงใหญ่ของนางได้อย่างไรกัน

คนอย่างหลี่หมิงรุ่ยไม่มีทางเข้าใจคนตระกูลไป๋ ยิ่งไม่มีทางเข้าใจพี่หญิงใหญ่

หลี่หมิงรุ่ยมองไปทางไป๋จิ่นซิ่วอย่างไม่เข้าใจความหมายที่หญิงสาวกล่าวว่าไม่เหมือนกัน ทว่า เมื่อเห็นไป๋จิ่นซิ่วไม่ได้มีท่าทีจะกล่าวต่อ หลี่หมิงรุ่ยจึงได้แต่มองไป๋จิ่นซิ่วนิ่ง ไม่กล้าเอ่ยขัด

ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวยิ้มๆ “ใต้เท้าหลี่เหมาะจะเป็นขุนนางวางแผนมากกว่าแม่ทัพที่นำทัพไปออกรบ”

“ขอรับ” หลี่หมิงรุ่ยยอมรับอย่างเปิดเผย “ดังนั้นตอนที่เจิ้นกั๋วอ๋องยังมีชีวิตอยู่ ที่เขาให้ทายาททุกคนของตระกูลไป๋ศึกษาตำราพิชัยสงครามตั้งแต่เล็ก ส่งทุกคนไปฝึกซ้อมในค่ายทหารตั้งแต่อายุครบสิบขวบถือว่าทำได้ถูกต้องมากขอรับ”

ไป๋จิ่นซิ่วสั่งให้คนแพร่ข่าวเรื่องที่นางส่งคนพบพบกองทัพผิงหยางไปในวังหลวงตามคำแนะนำของหลี่หมิงรุ่ย เหลียงอ๋องมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็วจนไม่ทำให้ไป๋จิ่นซิ่วผิดหวังจริงๆ

วันที่สิบเอ็ด เดือนห้า รัชศกเซวียนเจียปีที่สิบแปด จักรพรรดิต้าจิ้นประกาศราชโองการแต่งตั้งเหลียงอ๋องเป็นรัชทายาท ปลดอดีตรัชทายาทเป็นสามัญชนธรรมดา เตรียมสั่งประหารอดีตรัชทายาทข้อหากบฏในอีกไม่กี่วัน

วันที่สิบสี่ เดือนห้า รัชศกเซวียนเจียปีที่สิบแปด อดีตรัชทายาทลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิต้าจิ้นในตอนที่จักรพรรดิต้าจิ้นเรียกพบเขา หมอหลวงจนปัญญา จักรพรรดิต้าจิ้นสวรรคต

ในวันเดียวกัน หลี่เม่าและบรรดาขุนนางฝ่ายหลี่เม่าคุกเข่าขอร้องให้เหลียงอ๋องขึ้นครองราชย์เพื่อควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวง สถานการณ์อยู่ในช่วงคับขัน พิธีราชาภิเษกจึงจะถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายในวันที่สิบหก เดือนห้า

หลังจากที่เหลียงอ๋องซึ่งยังไม่ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิกำหนดวันราชาภิเษกเรียบร้อยแล้ว เขาก็ประกาศราชโองการสั่งให้สืบคดีของถงกุ้ยเฟยใหม่ในฐานะจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน หลักฐานและพยานชี้ชัดว่าถงกุ้ยเฟยและตระกูลของนางถูกใส่ร้าย อดีตผู้ตรวจการสูงสุดเจี่ยนฉงเหวินสมควรตาย องค์ชายรองไม่ได้เป็นคนก่อกบฏในตอนนั้น เจิ้นกั๋วอ๋องแห่งตระกูลไป๋ผู้ล่วงลับไปแล้วเป็นคนใส่ร้ายเขา จากนั้นเหลียงอ๋องแต่งตั้งถงกุ้ยเฟยเป็นไทเฮาเหรินเต๋อ แต่งตั้งองค์ชายรองเป็นปาเต๋อเสียนอ๋อง

กลุ่มของหลู่เซียงถูกจับมาฟังราชโองการที่หน้าตำหนัก ทว่า บรรดาขุนนางไม่ยอมรับเหลียงอ๋องเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ของต้าจิ้น ไม่ยอมรับถงกุ้ยเฟยเป็นไทเฮาเหรินเต๋อ หลู่เซียงกล่าวอย่างโมโหว่าองค์ชายรองเป็นคนโหดร้าย ไม่คู่ควรกับฉายาคุณธรรมทั้งแปด[1] กล่าวว่าเหลียงอ๋องเป็นกบฏที่ปลงพระชนม์บิดาและใส่ร้ายพี่ชายของตัวเอง

กลุ่มของหลี่เม่ากล่าวโน้มน้าวให้เหลียงอ๋องตั้งสมัญญา[2]หลังสวรรคตให้อดีตจักรพรรดิต้าจิ้นก่อน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้ถงกุ้ยเฟยและองค์ชายรองในตอนนี้

บรรดาขุนนางเก่าแก่ทุกคนต่างคัดค้าน เหลียงอ๋องกล่าวว่าหากผู้ใดกล้าคัดค้านจะส่งเขาผู้นั้นไปอยู่เป็นเพื่อนอดีตจักรพรรดิต้าจิ้นในโลงศพ กลุ่มของหลี่เม่าจึงไม่กล้ากล่าวสิ่งใดอีก ทว่า บรรดาอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาหลู่เซียง เสนาบดีกรมทหารเสิ่นจิ้งจง ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่หลู่จิ้น หงหลู่ซื่อชิงต่งชิงผิงกลับไม่ยอมจำนน

เหลียงอ๋องตัดสินใจจะประหารอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาหลู่เซียง เสนาบดีกรมทหารเสิ่นจิ้งจง ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่หลู่จิ้นและหงหลู่ซื่อชิงต่งชิงผิงวันที่สิบหก เดือนห้าซึ่งเป็นวันที่เขาจัดพิธีราชาภิเษกต่อหน้าขุนนางคนอื่นๆ ที่เหลือ จากนั้นนำศีรษะของคนเหล่านี้ไปแขวนข่มขวัญกองทัพหย่วนผิงและกองทัพซั่วหยางของไป๋จิ่นซิ่วที่หน้าประตูอู่เต๋อ

ตอนที่ไป๋จิ่นซิ่วรับรู้ข่าวเรื่องที่จักรพรรดิต้าจิ้นสวรรคตและเหลียงอ๋องได้ขึ้นครองราชย์ต่อ หญิงสาวกำลังปรึกษาแผนการโจมตีวังหลวงอยู่กับบรรดาแม่ทัพคนอื่นๆ หญิงสาวไม่ได้รู้สึกตกใจมากนัก คิดเพียงแค่ว่านางคงยื้อเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว นางต้องบุกโจมตีวังหลวงภายในวันที่สิบหก เดือนห้าให้ได้ มิเช่นนั้นกลุ่มของหลู่เซียงคงไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหงหลู่ซื่อชิงต่งชิงผิง นั่นคือท่านลุงแท้ๆ ของพี่หญิงใหญ่

ทว่า นางจะทำอย่างไรให้มั่นใจได้ว่าเหลียงอ๋องจะสังหารรัชทายาทโดยไม่เดือดร้อนไปถึงกลุ่มของหลู่เซียง เรื่องนี้ควบคุมได้ค่อนข้างยาก

แม่ทัพบางส่วนของกองทัพหย่วนผิงร้องไห้อยู่พักใหญ่ จากนั้นตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะบุกไปจับตัวเหลียงอ๋องเพื่อแก้แค้นให้จักรพรรดิต้าจิ้น

เมื่อองค์หญิงใหญ่ที่นั่งสอนไป๋จิ่นเซ่อเดินหมากอยู่ใต้ต้นไม้ในเรือนฉางโซ่วได้ยินข่าวนี้ หมากที่อยู่ในมือของนางร่วงลงพื้นทันที ใบหน้าของนางสงบนิ่ง สักพักจึงถอนหายใจยาวออกมา องค์หญิงใหญ่รับหมากมาจากเจี่ยงหมัวมัวที่ก้มลงเก็บขึ้นมาให้ จากนั้นวางลงบนกระดาน

หลูหนิงฮว่ายินอยู่ด้านข้าง นางรู้ดีว่าเดิมทีองค์หญิงใหญ่ตั้งใจจะปล่อยให้จักรพรรดิต้าจิ้นมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักสามถึงห้าปี ทว่า นึกไม่ถึงเลยว่าเหลียงอ๋องจะกลายเป็นตัวแปรสำคัญเช่นนี้

บัดนี้แม้แต่หลูหนิงฮว่ายังมองออกว่าราชวงศ์ใกล้จะเสื่อมสลายลงเรื่อยๆ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงองค์หญิงใหญ่แห่งราชวงศ์หลินเลย

บัดนี้เหลียงอ๋องเป็นดั่งตั๊กแตนในฤดูใบไม่ร่วง[3]ที่พยายามจะทำทุกวิถีทางให้คนทั่วใต้หล้าได้เห็นว่าเขามีความสามารถที่จะครอบครองบัลลังก์แห่งนี้ ประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ว่าเขาคือเจ้าของคนใหม่ของแผ่นดินแห่งนี้

“ท่านย่า…” ไป๋จิ่นเซ่อยังไม่ได้วางหมากลงบนกระดาน เด็กสาวมองไปทางองค์หญิงใหญ่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล “พักสักครู่ดีหรือไม่เจ้าคะ”

องค์หญิงใหญ่ส่ายหน้า นางหยิบหมากอีกตัวออกมาจากกล่อง จากนั้นมองไปทางไป๋จิ่นเซ่อยิ้มๆ “หากแค่นี้ก็ต้องพักแล้ว วันหน้าหากเหลียงอ๋องทำสิ่งใดที่ใหญ่หลวงกว่านี้ ย่าคงโมโหจนอาจล้มป่วยแน่…”

แม้เหลียงอ๋องจะทำตัวเสแสร้งเก่ง ทว่า องค์หญิงใหญ่ไม่คิดว่าเหลียงอ๋องเป็นคนฉลาด มันสมองของเหลียงอ๋องอย่างหลี่หมิงรุ่ยถูกจับได้แล้ว ไม่ว่าจะลงมือทำสิ่งใดหากเขาไม่ขอความเห็นจากคนที่เห็นแก่ตัวมากอย่างหลี่เม่าก็ต้องทำตามใจปรารถนา วันหน้าไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาใหญ่หลวงใดขึ้นมาอีก

วันที่สิบหก เดือนห้า รัชศกหยวนเหอปีที่หนึ่ง กบฏเหลียงอ๋องขึ้นครองราชย์ในวังหลวง ตั้งรัชศกใหม่เป็นรัชศกหยวนเหอ

วันเดียวกันนั้นเองไป๋จิ่นซิ่วยกทัพบุกโจมตีประตูอู่เต๋อจากทั้งสี่ด้าน

เหลียงอ๋องในฉลององค์ประจำตำแหน่งจักรพรรดิ สวมมงกุฎและดาบประจำตัวยืนอยู่ที่หน้าประตูตำหนัก เขามองดูอดีตรัชทายาท หลู่เซียง เซี่ยอวี่จั่ง ฝูรั่วซี เสนาบดีกรมการคลังเสิ่นจิ้งจง ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่หลู่จิ้นและหงหลู่ซื่อชิงต่งชิงผิงถูกกองกำลังรักษาพระองค์คุมตัวออกมายืนอยู่หน้าตำหนัก

บรรดาขุนนางถูกยึดหมวกขุนนาง ถูกใส่กุญแจมือที่ข้อมือ สวมชุดนักโทษสีขาว

เมื่ออดีตรัชทยาทเห็นเหลียงอ๋องเดินออกมาในชุดจักรพรรดิก็ตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง เขาร้องตะโกนเสียงดังลั่น “ฝ่าบาท! ฝ่าบาทได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ได้บัลลังก์ไปครอบครองแล้ว ทรงไว้ชีวิตพี่ชายคนนี้ด้วยเถิด!”

ร่างของอดีตรัชทายาทมอมแมมไปทั้งร่าง ศีรษะเต็มไปด้วยเศษฟาง ร่างกายมีแต่กลิ่นไม่พึงประสงค์โชยออกมา ตั้งแต่วันที่เขาถูกแขวนอยู่กลางอากาศจนฉี่ราดกางเกง เขายังไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเลยสักครั้ง

ตอนเผชิญหน้ากับเหลียงอ๋องอดีตรัชทายาทเคยมีความกล้าที่จะตายไปพร้อมกับเขา ทว่า หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่ไป๋จิ่นซิ่วจะพาเขาหนีออกจากเมืองหลวงคืนนั้น ยิ่งนานวันเข้าอดีตรัชทายาทก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ เสียใจที่ไม่รู้ว่าตอนนั้นตัวเองคิดสิ่งใดอยู่จึงมอบราชโองการลับให้ไป๋จิ่นซิ่วหนีไปคนเดียวเช่นนั้น

[1]ปาเต๋อ หมายถึงคุณธรรมทั้งแปด

[2]สมัญญา คือ ชื่อที่มีผู้ยกย่องหรือตั้งให้

[3]ตั๊กแตนในฤดูใบไม่ร่วง หมายถึงผู้ที่ทำความชั่วมากมายจนใกล้จะได้รับผลกรรมที่ก่อไว้แล้ว