ตอนที่ 867 ศึกไม่หน่ายเล่ห์

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 867 ศึกไม่หน่ายเล่ห์

ตอนนั้นเขาควรให้ทหารทุกคนฝ่าวงล้อมศัตรูพาเขา พระชายาเอกและองค์ชายน้อยออกไปจากเมืองหลวงให้ได้ เหตุใดต้องสนใจด้วยว่าไป๋จิ่นซิ่วจะพาทัพเสริมกลับมาช่วยเหลือได้หรือไม่

เมื่อหลู่เซียงเห็นสภาพของอดีตองค์รัชทายาทในตอนนี้ ใจของเขามีแต่ความผิดหวังและเจ็บปวด “องค์ชาย เหลียงอ๋องคือน้องชายที่สังหารบิดาของพระองค์ องค์ชายจะก้มศีรษะขอร้องคนเช่นนี้ได้เช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”

ทว่า อดีตองค์รัชทายาทยังคงโขกศีรษะลงบนพื้นเพื่อขอร้องเหลียงอ๋องราวกับไม่ได้ยินเสียงร้องห้ามปรามของหลู่เซียง

เซี่ยอวี่จั่งก้มหน้าลงอย่างทนมองต่อไปไม่ไหว เขาหมดหวังในตัวของอดีตองค์รัชทยาทและราชวงศ์หลินทั้งราชวงศ์แล้ว

ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงฝูรั่วซี นับตั้งแต่รู้ว่าจักรพรรดิต้าจิ้นทำข้อแลกเปลี่ยนกับเหลียงอ๋อง ต้องการเด็กชายและเด็กหญิงจำนวนหนึ่งพันคนมาปรุงยาวิเศษเพื่อต่ออายุของตัวเอง ฝูรั่วซีก็หมดศรัทธาในราชวงศ์หลินอย่างที่สุดแล้ว

ต่อมาอดีตองค์รัชทายาทถูกจับได้ ถูกขังอยู่ในคุกหลวง สิ่งที่องค์รัชทายาทเป็นห่วงไม่ใช่ชีวิตของเด็กหนึ่งพันคน ทว่า อดีตองค์รัชทายาทกลัวว่าเหลียงอ๋องจะสร้างหอบูชาเก้าชั้นและรวบรวมเด็กหนึ่งพันคนได้ครบก่อนเขาแล้วจักรพรรดิต้าจิ้นจะหันไปโปรดปรานเหลียงอ๋องแทน

ฝูรั่วซีรู้สึกขยะแขยงมาก ไม่รู้ว่าหากองค์หญิงเจิ้นกั๋วทราบข่าวนี้ นางจะรู้สึกขยะแขยงสักเพียงใด

เหลียงอ๋องยกยิ้มมุมปาก เมื่อเห็นท่าทีน่าสมเพชราวกับสุนัขไร้บ้านของอดีตองค์รัชทายาท เขารู้สึกสะใจยิ่งนัก เหลียงอ๋องจงใจกวักมือเรียกอดีตองค์รัชทายาทเข้าไปใกล้เพราะต้องการดูถูกเขายิ่งกว่าเดิม

อดีตองค์รัชทายาทรีบคลานเข่าไปด้านหน้า เงยหน้ามองเหลียงอ๋องด้วยรอยยิ้มประจบ “ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงเห็นแก่ความสัมพันธ์พี่น้องปล่อยพี่คนนี้ไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อกลุ่มของหลู่เซียงเห็นอดีตองค์รัชทายาทเข้าไปประจบกบฏที่สังหารบิดาของตัวเองอย่างไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ ความรู้สึกที่พยายามข่มมานานพังทลายลงอย่างทนไม่ไหว พวกเขาร้องไห้ออกมาอย่างหนักราวกับถูกเหยียดหยามอย่างที่สุด

เหลียงอ๋องถลกชายชุดที่หนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย ใช้ปลายเท้าเสยคางอดีตองค์รัชทายาทให้เงยหน้าขึ้น เขามองดูอดีตองค์รัชทายาทที่แววตาหวาดกลัว ทว่า แสร้งทำเป็นฝืนยิ้มสดใสออกมา เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น จากนั้นถีบอดีตองค์รัชทายาทออกห่าง

เหลียงอ๋องมองไปทางกลุ่มของหลู่เซียงที่ถูกปลดชุดขุนนางออกและเตรียมถูกประหารด้วยความสะใจ “นี่คือองค์รัชทายาทที่พวกเจ้าอยากสนับสนุนให้ขึ้นเป็นจักรพรรดิอย่างนั้นหรือ หลู่เซียง…ปกติเจ้าปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดีที่สุดในราชสำนักนี่ เราจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง หากเจ้ายอมสวามิภักดิ์กับเราแต่โดยดี เจ้าจงใช้ดาบตัดศีรษะของอดีตองค์รัชทายาทที่สังหารบิดาของตัวเองทิ้งเสีย จากนั้นเจ้าจะกลายเป็นขุนนางใหญ่ของเรา!”

อดีตองค์รัชทายาทมองไปทางหลู่เซียงอย่างหวาดกลัวทันทีที่ได้ยิน เขารีบคลานเข่าไปหาเหลียงอ๋อง จากนั้นจับชายชุดของเหลียงอ๋องแน่น “ฝ่าบาท ฝ่าบาทได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ ปลดกระหม่อมเป็นสามัญชนธรรมดาก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ชาตินี้กระหม่อมจะไม่คิดแย่งชิงบัลลังก์จากฝ่าบาทอีกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

หลู่เซียงไม่อาจทนเห็นองค์รัชทายาทที่ไร้ศักดิ์ศรี ยอมจำนนอย่างน่าสมเพชเช่นนี้ได้อีกต่อไป เขาหันไปถ่มน้ำลายใส่เหลียงอ๋อง “ถุย!”

“ดี หลู่เซียงช่างทะนงในศักดิ์ศรียิ่งนัก!” เหลียงอ๋องไม่โมโห กลับหัวเราะออกมาแทน “กองทัพผิงหยางใกล้จะเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว ถึงเวลานั้นหลู่เซียงจะเห็นลูกหลานของตัวเองตายไปต่อหน้าทีละคน หวังว่าถึงเวลานั้นหลู่เซียงจะยังหยิ่งในศักดิ์ศรีได้อยู่นะ!”

สิ้นเสียงของเหลียงอ๋อง ทหารคนหนึ่งเข้ามารายงาน “ทูลฝ่าบาท กองทัพผิงหยางมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ แม่ทัพหวังเหมิ่งกำลังนำทัพบุกโจมตีเมืองหลวง กองทัพกบฏที่ล้อมวังหลวงอยู่ถอยทัพครึ่งหนึ่งไปต้านทานกองทัพผิงหยางที่ประตูเมืองหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ดี!” เหลียงอ๋องอารมณ์ดีมาก

บรรดาขุนนางที่นำโดยหลู่เซียง เสิ่นจิ้งจง หลู่จิ้นและต่งชิงผิงซึ่งไม่ยอมจำนนต่อกบฏเหลียงอ๋องเริ่มกระวนกระวายใจ พวกเขาได้แต่ภาวนาขอให้ไป๋จิ่นซิ่วได้รับชัยชนะ ภาวนาให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วรีบยกทัพกลับมาโดยเร็วที่สุด

เหลียงอ๋องกวาดสายตามองดูบรรดาขุนนางที่ถูกกองกำลังรักษาพระองค์คุมตัวให้คุกเข่าอยู่หน้าตำหนักใหญ่ที่บ้างก้มหน้าไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น บ้างก้มหน้าร้องไห้ออกมาเบาๆ จากนั้นหันไปสั่งฟ่านอวี๋ไหว “ฟ่านอวี๋ไหว เจ้าเป็นขุนนางที่มีความชอบมากที่สุดในการช่วยให้เราได้ขึ้นครองราชย์ในครั้งนี้ เจ้าขอให้เราไว้ชีวิตขุนนางเหล่านี้ใช่หรือไม่”

ฟ่านอวี๋ไหวที่เหลือตาเพียงข้างเดียวคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น “ฝ่าบาทเพิ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ฝ่าบาทควรพระราชทานอภัยโทษให้แก่ขุนนางเหล่านี้เพื่อควบคุมสถานการณ์ในราชสำนักให้มั่นคงพ่ะย่ะค่ะ”

“ดี!” เหลียงอ๋องยกยิ้มเย็นที่มุมปาก เขามองไปทางอดีตองค์รัชทายาทที่ยังคงก้มศีรษะขอร้องเขาไม่หยุด จากนั้นกล่าวขึ้น “ชักดาบของเจ้าออกมายื่นให้ขุนนางที่เคยต่อต้านเรา ผู้ใดกล้าแทงดาบใส่ร่างของอดีตองค์รัชทายาท เราจะไว้ชีวิตคนผู้นั้น! ถือว่าไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้นมาก่อน!”

อดีตองค์รัชทายาทเบิกตาโพลงมองไปทางบรรดาขุนนางที่เคยสนับสนุนเขาขึ้นครองราชย์จนถูกเหลียงอ๋องจับขังคุกด้วยความหวาดกลัว เขากลัวว่าจะมีคนรักชีวิตของตัวเองจนตัดสินใจรับดาบจากฟ่านอวี๋ไหวมาฟันลงบนร่างเขา อดีตองค์รัชทายาทโขกศีรษะลงบนพื้นเพื่อขอร้องเหลียงอ๋องทั้งน้ำตา

บรรดาขุนนางที่คุกเข่าอยู่หน้าตำหนักใหญ่มองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร

เมื่อหลู่เซียงได้ยินจึงผุดลุกขึ้นยืนด่าทอด้วยความตกใจ ทว่า กลับถูกทหารรักษาพระองค์กดให้คุกเข่าลงตามเดิม หลู่เซียงโมโหจนหน้าอกสั่นไหวอย่างรุนแรง “เหลียงอ๋อง ท่านยังเป็นคนอยู่หรือไม่!”

แม้แต่หลี่เม่าและเสนาบดีกรมการคลังฉู่จงซิ่งยังตกใจเช่นเดียวกัน เหลียงอ๋องทำเพื่อความสะใจเพียงชั่ววูบจนไม่สนว่าตัวเองจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์เช่นไรเลยหรือ

หลี่เม่ากำหมัดแน่น หากครั้งนี้กองทัพผิงหยางเอาชนะไป๋จิ่นซิ่วไม่ได้…

หลี่เม่าไม่อยากนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาเลย ครั้งนี้เหลียงอ๋องต้องชนะอย่างเด็ดขาดเท่านั้น มีเพียงคนอย่างเหลียงอ๋องขึ้นครองบัลลังก์เท่านั้น หลี่เม่าจึงจะสามารถควบคุมราชสำนักได้ต่อ

เสนาบดีกรมทหารเสิ่นจิ้งจงที่เข้าข้างหลู่เซียงมาโดยตลอดกำหมัดแน่นพลางตะโกนออกมา “ข้าทำเอง!

หลู่เซียงหันไปมองเสิ่นจิ้งจงที่ถูกเชือกมัดอยู่อย่างแน่นหนาลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าราบเรียบ จากนั้นกล่าว “แก้เชือก ข้าจะทำเอง!”

“ดี! ใต้เท้าเสิ่นรู้จักปรับตัวจริงๆ!” เหลียงอ๋องส่งสัญญาณให้ฟ่านอวี๋ไหวนำดาบไปให้เสิ่นจิ้งจง

ผู้พิพากษาหลู่จิ้นเหมือนจะรู้ว่าเสิ่นจิ้งจงต้องการจะทำสิ่งใด เขาเบิกตาโพลง “ใต้เท้าเสิ่น!”

เสิ่นจิ้งจงไม่มองหลู่จิ้นแม้แต่น้อย เขาอาศัยช่วงที่โยนเชือกซึ่งมัดร่างเขาทิ้งหันไปมองเซี่ยอวี่จั่งและฝูรั่วซีแวบหนึ่งราวกับต้องการส่งสัญญาณลับให้ จากนั้นเดินเข้าไปหาฟ่านอวี๋ไหวช้าๆ เขารับดาบแล้วเดินตรงเข้าไปหาอดีตองค์รัชทายาท

แววตาของฟ่านอวี๋ไหวเต็มไปด้วยความหวาดระแวง เขาเดินเข้าไปหาเหลียงอ๋องพร้อมกับที่เสิ่นจิ้งจงก้าวเท้าไปหาอดีตองค์รัชทายาท ส่งสัญญาณให้องครักษ์คุ้มกันเหลียงอ๋องให้ดี

อดีตองค์รัชทายาทถอยหลังหนีด้วยความตกใจ มองไปทางเสิ่นจิ้งจงที่มีสีหน้าเรียบเฉย ลำคอของเขาจุกแน่นราวกับถูกคนบีบจนเปล่งเสียงไม่ออกแม้แต่คำเดียว เขาถอยหลังหนีทั้งน้ำตา เอาแต่ส่ายหน้าพลางส่งสายตาอ้อนวอนไปทางเสิ่นจิ้งจง

“รายงาน…” สายลับคนหนึ่งก้าวขึ้นมาบนบันได คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นพลางรายงาน “ทูลฝ่าบาท นอกเมืองหลวงมีธงเฮยฟานไป๋หมั่งปรากฏขึ้นพ่ะย่ะค่ะ กองทัพหย่วนผิงและกองทัพไป๋พากันตะโกนว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วกลับมาแล้ว! ตอนนี้ยังไม่ทราบสถานการณ์ที่แน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ”

“ฮ่าฮ่า” ต่งชิงผิงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขายืดกายตรง แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ หลานสาวของเขากลับมาแล้ว! กบฏเหลียงอ๋องจะยังทำสิ่งใดได้อีก! “เหลียงอ๋อง! ได้ยินหรือไม่ องค์หญิงเจิ้นกั๋วกลับมาแล้ว! ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะเหิมเกริมได้อีกสักกี่น้ำ!”

“ว่าอย่างไรนะ! เหตุใดจึงเร็วเพียงนี้!” หลี่เม่าหน้าถอดสีทันที “ไม่มีทาง ศึกไม่หน่ายเล่ห์[1]…พวกนั้นกำลังหลอกพวกเราอยู่แน่! ตอนที่ฝ่าบาทประกาศราชโองการให้รวบรวมตัวเด็กหนึ่งพันคน พระองค์ประกาศราชโองการสั่งห้ามไม่ให้กองทัพเดินทางมาเมืองหลวงด้วย ไป๋ชิงเหยียนไม่มีทางมาถึงเร็วเพียงนี้แน่นอน!”

[1] ศึกไม่หน่ายเล่ห์ หมายถึงการทำศึกสงครามย่อมต้องใช้กลอุบายหลอกอีกฝ่ายหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นอุบายร้ายกาจก็ต้องทำ เพราะหากเราไม่หลอกเขา เขาก็จะหลอกเรา ฉะนั้นใครหลอกอีกฝ่ายหนึ่งได้มากกว่า ย่อมเป็นผู้ชนะ