บทที่ 917 ดูดซับกฎเกณฑ์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 917 ดูดซับกฎเกณฑ์

หานชิงเอ๋อร์พอได้ยินคำพูดหานฮวงก็ยิ่งโมโห นางเอ่ยด้วยความโกรธ “พี่รอง ถ้าพูดไม่เป็นก็หุบปากไปเสีย!”

หานฮวงเกาหัว รู้ว่าตนกล่าวผิดไปแล้ว รีบหันเหหัวข้อสนทนาไป เอ่ยว่า “ชิงเอ๋อร์ ให้ข้าสอนเจ้าฝึกฝนพลังวิเศษดีหรือไม่ ข้าชำนาญฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกรยิ่งนัก”

หานชิงเอ๋อร์แค่นเสียง “เช่นนั้นก็ให้ข้าได้เห็นหน่อยเถอะว่าท่านชำนาญเช่นไร!”

สองพี่น้องกลับไปที่ใต้พฤกษาเก่าแก่อีกครั้ง หานฮวงเริ่มบอกเล่าประสบการณ์ของตนออกมาอย่างต่อเนื่อง ในไม่ช้า หานชิงเอ๋อร์ก็ฟังจนตกอยู่ในภวังค์

ถึงแม้นางจะหงุดหงิดกับคุณสมบัติของหานฮวง แต่ในใจกลับเลื่อมใสนัก ดังนั้นจึงอยากฟังความเข้าใจของหานฮวงดู

อีกด้านหนึ่ง

บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง เจียงเจวี๋ยซื่อเพิ่งพิสูจน์มหามรรคสำเร็จ กำลังปรับตบะให้มั่นคง

หลิวเป้ยอยู่ข้างกายเขา ถือแผ่นจานสีขาวไว้ในมือ กลางแผ่นจานมีภาพจำลองมนุษย์ขนาดเล็กฝึกฝนกระบวนยุทธ์อยู่ เคลื่อนไหวเฉียบคม ปรับเปลี่ยนท่าทางไปสารพัดอย่างรวดเร็ว

เจียงเจวี๋ยซื่อลืมตาขึ้น เอ่ยว่า “อย่าดูเลย ไม่มีประโยชน์หรอก”

หลิวเป้ยจ้องมองโดยไม่กะพริบตาเลย เอ่ยไปว่า “เจ้านึกว่าข้าเหมือนเจ้า มีมหาโชคอยู่กับตัวหรือไร คุณสมบัติของข้าสามัญ พลังวิเศษนี้สำหรับข้านับเป็นโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่”

แผ่นจานนี้ได้มาตอนที่เจียงเจวี๋ยซื่อสกัดขวางเผ่าพันธุ์ด้านนอกที่เข้ารุกรานจักรวาลดวงดาว ในแผ่นจานน่าจะบันทึกมรดกตกทอดของเผ่าพันธุ์ไว้ รวมถึงวิชายุทธ์ระดับเสรีด้วย

เจียงเจวี๋ยซื่อสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวว่า “ระยะนี้ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าอาจจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ทำให้ข้ารู้สึกกระสับกระส่ายนัก”

หลิวเป้ยตอบว่า “กลัวอันใดเล่า! อยู่ในอาณาเขตนายท่านของข้า ผู้ใดจะทำอันตรายเจ้าได้”

เจียงเจวี๋ยซื่อนึกถึงหานเจวี๋ยขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะเบาใจลง

ท่านอาจารย์ผู้ลึกลับคนนี้ของเขาแข็งแกร่งจริงๆ น่าจะปกป้องเขาได้

เพียงแต่ความกระสับกระส่ายในใจกลับไม่อาจลบล้างไปอย่างสมบูรณ์ได้ ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลย

สรุปแล้วเป็นเพราะอะไรกันแน่

เจียงเจวี๋ยซื่อขมวดคิ้ว ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

….

นภาครามเมฆาขาว บนยอดเขาสูง

หานทั่วลืมตาขึ้น อี๋เทียนที่อยู่ข้างๆ ก็เช่นกัน

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ต่างอ่านแววตาของอีกฝ่ายออก

อี๋เทียนบ่นออกมา “เอาอีกแล้ว ความรู้สึกกระสับกระส่ายนี้คืออะไร น้องชาย เจ้าว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ หรือว่าจะมีอำนาจใดคอยควบคุมพวกเราอยู่ในความมืด”

หานทั่วขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด บางทีรอจนพวกเราพิสูจน์มหามรรคสำเร็จก็คงทราบ”

อี๋เทียนถาม “ต้องแจ้งเรื่องนี้ต้องท่านเทพหรือไม่”

หานทั่วส่ายหน้า “ช่างเถอะ ฝึกฝนต่อไปแล้วกัน เร่งพิสูจน์มหามรรคให้ได้ในเร็ววัน หากไม่สำเร็จมหามรรค เข้าร่วมงานชุมนุมฟ้าบุพกาลไปก็เป็นได้แค่ผู้ชมเท่านั้น”

อี๋เทียนรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้าเห็นด้วย

ทั้งสองฝึกบำเพ็ญต่อไป มุ่งสู่มหามรรค

….

ณ ห้วงอวกาศฟ้าบุพกาล เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ลอยเคลื่อนไปด้านหน้าอย่างสงบ รอบข้างมีเมืองลอยฟ้าและเกาะนับไม่ถ้วนลอยห้อมล้อม

ภายในเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่

โจวฝานมองจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายที่เดินเข้ามาในห้องโถง ยิ้มกว้างพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท ไม่ได้พบกันเสียนาน เหตุใดจึงว่างมาเยี่ยมข้าหรือได้เล่า หรือว่าจะมีโอกาสวาสนามาอีกแล้ว”

มีใครคนหนึ่งตามหลังจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายมา เขามีนามว่าจ้านฝัว เป็นศิษย์ของฉู่ซื่อเหริน ดวงจิตพุทธะ ยามนี้เป็นแม่ทัพเทพวังสวรรค์

“ถูกต้อง เป็นโอกาสวาสนาครั้งยิ่งใหญ่”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายหัวเราะดังลั่น สายตามองไปยังโม่ฟู่โฉวที่อยู่ข้างกายโจวฝาน ยิ้มพลางพยักหน้าให้

โจวฝานเข้ามาหา ดึงจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายให้นั่งลงอย่างคึกคัก

“ว่ามาเถิด โอกาสวาสนายิ่งใหญ่อันใด ข้ารอนานจนร้อนใจแล้ว”

โจวฝานเอ่ยยิ้มๆ ฟ้าบุพกาลกว้างไพศาล ถึงแม้เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่จะออกล่องเดินทางอยู่ตลอด แต่โอกาสวาสนาที่พบก็น้อยยิ่ง

เขาหวนระลึกถึงวันที่ได้ร่วมมือกับจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายบ่อยครั้ง

เขาอยากรู้มากเช่นกันว่าเหตุใดจักรพรรดิสวรรค์ชั่วร้ายมักจะค้นพบทรัพยากร สมบัติวิเศษหรือโลกที่อุดมมรดกสืบทอดรวมถึงเป้าหมายอยู่เสมอ เขายังทำไม่ได้เลย

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยยิ้มๆ “โอกาสวาสนาครานี้ทำให้เจ้าก้าวเข้าสู่มหามรรคได้ไม่ยากเลย”

โจวฝานได้ยินก็ยินตื่นเต้น

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเล่ารายละเอียด โจวฝานรับฟังด้วยสีหน้าตั้งใจ

โม่ฟู่โฉวก็ฟังด้วย เมื่อเห็นจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย ในใจเขารู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง

ไม่คิดเลยว่าจะได้พบคุ้นเคยเก่าจากแดนเซียนในฟ้าบุพกาล ความรู้สึกซับซ้อนถาโถมปรวนแปรยิ่ง

ส่วนจ้านฝัวนั้นมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่สนใจเรื่องนี้เลย

ผ่านไปนานพักใหญ่

โจวฝานขมวดคิ้วแน่น ตกอยู่ในห้วงความคิด

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็ไม่รีบร้อน เริ่มพูดคุยถึงเรื่องราวในอดีตสมัยอยู่แดนเซียนกับโม่ฟู่โฉว

‘ข้าคิดว่าใช้ได้เลย มีอันตรายสูงจริง แต่มีโอกาสวาสนาใดที่ไม่อันตรายด้วยหรือ ต่อให้รับสืบทอดสมบัติจากข้าแล้ว มากสุดก็ทำให้เจ้าพิสูจน์มหามรรคได้เท่านั้น ถ้าหากอยากก้าวหน้าไปอีกขึ้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย’

เสียงหนึ่งแว่วขึ้นในใจของโจวฝาน เป็นอริยะเจ็ดวิถี

โจวฝานตอบกลับภายในใจด้วยความลังเล “แดนบรรพกาลแห่งนั้นอันตรายนัก ระยะนี้ในฟ้าบุพกาลมีข่าวแพร่อยู่ มารมรรคานับไม่ถ้วนล้วนไปรวมตัวกันที่นั่น เจ้าคิดว่าจะถูกมารมรรคาเข้าถล่มเหมือนแดนเทพหวนปัจฉิมในกาลก่อนหรือไม่”

‘เป็นเพราะมารมรรคาจริง แต่ตอนนี้ต่างกันไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายไม่กริ่งเกรงเลย ข้าสงสัยว่าเบื้องหลังเขาจะมีผู้ทรงพลังให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง’

เมื่อโจวฝานได้ฟัง ก็อดมองไปทางจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายไม่ได้

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา ยิ้มให้เขาแวบหนึ่ง

โจวฝานยังคงมีความไว้วางใจในตัวจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายอยู่ ทั้งสองทำศึกร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายครั้ง ควรค่ามากพอจะไว้ใจซึ่งกันและกัน

“ตกลง! ข้าเอาด้วย! จะลงมือเมื่อไร”

โจวฝานกัดฟันถาม

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยยิ้มๆ “ไม่รีบ เราต้องไปชักชวนคนอื่นมาเข้าร่วมด้วย คนมากกำลังมากตาม เราไม่อยากบุ่มบ่ามลงมือ”

โจวฝานยิ้มกล่าวไปว่า “ฝ่าบาทจัดการเอง ข้าย่อมวางใจ พวกเราจะรอคำสั่งจากพระองค์”

ทั้งสองสบตาและยิ้มให้กัน เต็มไปด้วยความรู้ใจ

“จริงสิ หานฮวงบุตรชายคนนั้นของหานเจวี๋ย เจ้าเคยพบหรือยัง” จู่ๆ จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็ถามขึ้นมา

หานเจวี๋ย!

โม่ฟู่โฉวมีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมา

โจวฝานสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของเขา รีบตอบไปว่า “เคยได้ยิน แต่ยังไม่เคยพบ”

“ต้องกล่าวเลยว่า อาจารย์ของเจ้าให้กำเนิดบุตรชายที่เลิศล้ำคนหนึ่งโดยแท้ คุณสมบัติของฮวงเอ๋อร์ร้ายกาจกว่าพี่ใหญ่ของเขาเสียอีก เราได้ยินว่าเขาพิสูจน์มหามรรคสำเร็จแล้ว” จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ 艾琳小說

“อะไรนะ!”

“อะไรนะ!”

โม่ฟู่โฉวและโจวฝานตกตะลึงไปพร้อมกัน

โม่ฟู่โฉวตกตะลึงว่าหานเจวี๋ยกลายเป็นอาจารย์ของโจวฝานไปได้อย่างไร

โจวฝานตกตะลึงที่ศิษย์น้องเล็กแซงหน้าเขาไปแล้ว

จ้านฝัวหรี่ตาลง เขาเคยได้ยินจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายกยอหานฮวงหลายครั้งแล้ว ในใจรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่ไม่เคยแสดงออกมา

โจวฝานไม่สนใจโม่ฟู่โฉวแล้ว จ้องจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายพลางเอ่ยถาม “ศิษย์น้องเล็กพิสูจน์มหามรรคตั้งแต่เมื่อใด”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายส่ายหน้าก่อนตอบว่า “เราเองก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่ไม่ว่าจะพิสูจน์นานแล้ว หรือว่าเพิ่งพิสูจน์ในระยะนี้ คุณสมบัติของเขาล้วนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง”

โจวฝานเงียบไป

….

เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า

เริ่มเกิดคลื่นมรสุมขึ้นในฟ้าบุพกาลแล้ว เจ้าแดนต้องห้ามอันธการสร้างกระแส แดนบรรพกาลเตรียมก่อหายนะเรื่องราวสารพัดนี้ทำให้ฟ้าบุพกาลปั่นป่วนวุ่นวาย

หนึ่งแสนปีต่อมา แดนบรรพกาลมีความเคลื่อนไหว สาวกของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการยังคงแพร่กระจายข่าวต่อไป เรื่องเลวร้ายมากมายในฟ้าบุพกาลถูกกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ราวกับมีเพียงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเท่านั้นที่กระทำเรื่องเลวร้ายพวกนี้ได้นั้นไม่น่าแปลกใจเลย

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ยืดตัวบิดขี้เกียจด้วยสีหน้าพึงพอใจ

นับตั้งแต่บรรลุถึงยอดมหามรรคระยะปลาย ตบะของเขารุดหน้าไปเร็วยิ่ง

ความรู้สึกแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ยอดเยี่ยมเสียจริง

มหารังสรรค์อนธการครั้งต่อไปยกระดับสายเลือดอีกดีหรือไม่

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าใช้ได้เลย

เขาจะทิ้งห่างจากสรรพสิ่งฟ้าบุพกาล!

ต่อให้กลายเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งแล้ว เขาก็ต้องพยายามทิ้งระยะห่างจากผู้แข็งแกร่งอันดับสองให้ได้อยู่ดี

หานเจวี๋ยเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดูตามความเคยชิน

ในเวลานี้เอง

เขาพลันรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง เงยหน้ามองขึ้นไปทันที

มองเห็นเพียงว่าเหนือฟ้าบุพกาล ใต้เจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดมีเงาร่างหนึ่งอยู่ เงาร่างนี้กำลังดูดซับพลังของเจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดอยู่

นั่นคือ…

ปรมาจารย์ฟ้าทลายที่เคยสะกดจอมเทพข่งเซวี่ยไว้ก่อนหน้านี้!

………………………………………………………………