บทที่ 917 ร่วมมือทำกิจการ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 917 ร่วมมือทำกิจการ

บทที่ 917 ร่วมมือทำกิจการ

หลิวเทียนฉือก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ดึงร่างที่กำลังก้มคำนับของกู้เสี่ยวหวานขึ้น หากแต่กู้เสี่ยวหวานก็ขืนตัวไว้และทำความเคารพอีกฝ่าย

“ลุกขึ้น น้องสาว เจ้าลุกขึ้นเถอะ” หลังจากประคองจนกู้เสี่ยวหวานกลับมายืนตรง หลิวเทียนฉือก็ยังไม่ปล่อยมือ และใช้สายตาปราดมองสำราจร่างกายกู้เสี่ยวหวาน

ราวกับเชยชมดอกไม้

ด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า แต่ความจริงแล้วในใจนางเกลียดเด็กคนนี้แทบตาย

เกือบสองปีแล้วที่ไม่เจอกัน ไม่คิดว่าเด็กหญิงคนนี้จะสวยวันสวยคืน

แก้มขาวนวลที่เคยเอิบอิ่ม บัดนี้เนื้อเหล่านั้นหายไปเล็กน้อย

ใบหน้ารูปไข่เรียวเล็กขนาดเท่าฝ่ามือ ดวงตากลมโตสีดำขลับ สันจมูกเรียวสวย และริมฝีแดงระเรื่อโดยไม่ต้องแต่งเติม

เส้นผมสีดำขลับราวกับเส้นไหม

สิ่งที่น่าขยะแขยงที่สุดคือ จิตใจของนาง นางมีลักษณะของสาวบ้านชนบทที่ไหนกัน รูปโฉมอันโดดเด่น ไม่ถ่อมตัวหากแต่ไม่เอาแต่ใจ หากไม่มีใครบอกก็เห็นได้ชัดว่านางเป็นเด็กหญิงจากตระกูลร่ำรวย

หลิวเทียนฉือมองไปที่กู้เสี่ยวหวาน และยิ้มอย่างมีเลศนัย “น้องเสี่ยวหวาน ไม่ได้เจอกันตั้งนานเจ้าดูสวยขึ้นไม่น้อยเลย เหอะ ๆ เพียงแค่ปรายตามองก็ทำให้ดวงตาของผู้คนเป็นประกาย เจ้าเป็นสตรีชนบทที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเจ้ามาจากเมืองหลวง”

สิ้นประโยคของอีกฝ่าย กู้เสี่ยวหวานชักมือออกจากการกอบกุมของหลิวเทียนฉือ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียน “ขอบคุณสำหรับคำชม คุณหนูหลิวต่างหากที่เป็นสตรีจากเมืองหลวง ส่วนข้าเป็นเพียงสตรีจากชนบท ดังนั้นจะไปเทียบกับคุณหนูหลิวที่เป็นลูกหลานของตระกูลร่ำรวยได้อย่างไร”

คำพูดประจบประแจงของกู้เสี่ยวหวานทำให้หลิวเทียนฉือแทบจะลอยขึ้นฟ้า ทั้งยังกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ปากของน้องเสี่ยวหวานนั้นคมคายจนทำให้คนชอบจริง ๆ”

กู้เสี่ยวหวานมุ่ยหน้า หากเจ้าชอบฟัง ข้าจะพูดให้ฟังสามวันสามคืน พูดจนเจ้ารำคาญไปเลย

หลังจากที่หลิวเทียนฉือพูดจบ นางก็เดินเข้ามาด้านใน ตามด้วยเสี่ยวเถาและสาวใช้แปลกหน้าอีกคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกพามาที่นี่เป็นครั้งแรก

ทุกคนมาถึงห้องโถง โดยที่หลิวเทียนฉือนั่งลงบนตำแหน่งบนสุดของโต๊ะ และเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “น้องเสี่ยวหวาน ตอนนี้เจ้ามีชีวิตที่ดี และข้าอยู่ที่เมืองหลวงก็ยังได้ยินเรื่องของเจ้า ตอนนี้เจ้ามีชื่อเสียงแล้ว”

ครั้นกู้เสี่ยวหวานได้ยินดังนั้น จึงคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวมันเทศ แต่ยังคงแสร้งทำเป็นใสซื่อและพูดว่า “คุณหนูหลิว ได้โปรดอย่าทำให้ข้าตกใจ ข้าเป็นคนขี้อาย เมืองหลวงเป็นสถานที่เสือหมอบมังกรซ่อน ข้าเป็นเพียงสาวชนบทจะมีชื่อเสียงในเมืองหลวงได้อย่างไรกัน”

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ดูเหมือนว่าความอิจฉาจของหลิวเทียนฉือจะลดลง

ไม่ว่าจะมองอย่างไร นางก็ยังเป็นเพียงสตรีจากชนบท และยังเด็กเกินกว่าจะแข่งขันกับตัวเองได้

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หลิวเทียนฉือก็เอ่ยกับกู้เสี่ยวหวานอีกสองสามคำอย่างสุภาพ “น้องสาวเสี่ยวหวาน ที่ข้ามาในครั้งนี้ หากไม่มีธุระข้าก็คงไม่มา”

ทันทีที่พูดจบ นางก็ยกมือขึ้น เสี่ยวเถาจึงรุดขึ้นหน้า หยิบบางอย่างออกมาจากเสื้อของนาง และส่งมันให้กู้เสี่ยวหวาน

เมื่อกู้เสี่ยวหวานมองมันก็พบว่าเป็นตั๋วแลกเงิน นางจึงปฏิเสธที่จะรับมัน ก่อนจะมองไปที่หลิวเทียนฉือด้วยความสงสัย “คุณหนูหลิว สิ่งนี้คือ…”

ให้เงินนางโดยไม่มีเหตุผล

ทำดีหวังผล

แต่กู้เสี่ยวหวานไม่ได้รับมันมา หากมองไปที่หลิวเทียนฉืออย่างระแวดระวังด้วยความสงสัย

ครั้นเห็นอีกฝ่ายไม่รับมัน หลิวเทียนฉือจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “น้องเสี่ยวหวาน เจ้าอย่างได้กังวลไปเลย สิ่งนี้ควรเป็นของเจ้า เช่นนั้นแล้วรับไปเถอะ”

ควรเป็นของข้า?

คำพูดที่ไม่ชัดเจน นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

เสี่ยวเถาถือตั๋วแลกเงินเอาไว้ในมือ และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ยอมรับ “เจ้าไม่เห็นคุณค่าของมันหรือ? มันคือตั๋วแลกเงินจำนวนสองพันตำลึงเงินนะ”

ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานไม่มีความสุข หากแต่ก็ไม่ได้โกรธเคือง และพูดต่อ “ยกทัพทำสงครามโดยไม่มีข้ออ้าง ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”

เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานระมัดระวังตัวมาก หลิวเทียนฉือจึงคลี่ยิ้มและอธิบายว่า “น้องเสี่ยวหวาน เจ้าไม่ต้องกังวลไป เงินนี้เป็นเงินที่เจ้าควรได้รับจากผ้าเช็ดหน้าและตุ๊กตาที่ปักเมื่อครั้งที่แล้ว”

ปรากฏว่าเป็นครั้งนั้นที่หลิวเทียนฉือซื้อผ้าเช็ดหน้าและตุ๊กตาจำนวนมากที่ร้านหรูอี้ พวกมันทั้งหมดถูกนำเข้าไปที่เมืองหลวง

มันถูกมอบให้กับเหล่าพี่สาวน้องสาวที่เป็นสหายกับนาง และสิ่งที่หายากนี้มอบให้กับหญิงสาวที่ต้องการผูกมิตร

เพราะพวกนางไม่เคยเห็นสิ่งที่สวยงามและน่าสนใจเช่นนี้ พวกนางจึงรู้สึกมีความสุขมาก

หลิวเทียนฉือโอ้อวดอีกครั้ง โอ้อวดจนถึงจุดที่ว่ามีเพียงไม่กี่ชิ้นในอาณาจักรนี้

สตรีทุกคนไม่เคยเห็นสิ่งที่น่ารักเช่นนี้มาก่อน และพวกนางต่างก็ชื่อชอบมันมาก และความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางกับหลิวเทียนจือก็ดีมากยิ่งขึ้น

ตั้งแต่นั้นมา หลิวเทียนฉือไม่เพียงได้รับชื่อเสียงที่ดี แต่ยังขายตุ๊กตาและผ้าเช็ดหน้าได้ในราคาที่สูง

เนื่องจากมีปริมาณที่ไม่มากนัก ตุ๊กตาจึงขายได้ถึงตัวละสามร้อยตำลึงเงิน และผ้าเช็ดหน้ามีค่ามากเกือบถึงสามสิบตำลึงเงิน

สองพันตำลึงเงินนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หลิวเทียนฉือต้องการขอร้องอะไรบางอย่างกับกู้เสี่ยวหวาน ดังนั้นนางจึงต้องหลั่งเลือดเช่นกัน หากเสียดายลูกจะจับหมาป่าได้อย่างไร

หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็รับไม่ได้อีกต่อไป “ตุ๊กตาและผ้าเช็ดหน้าที่คุณหนูซื้อได้ชำระเงินไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถรับเงินนี้ได้”

เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานปฏิเสธที่จะยอมรับ หลิวเทียนฉือจึงรีบพูดว่า “น้องเสี่ยวหวาน เจ้าไม่รู้หรอกว่าตุ๊กตาและผ้าเช็ดหน้าที่เจ้าทำนั้นมีชื่อเสียงมากในเมืองหลวง ตุ๊กตาเหล่านั้นถูกขายไปแล้วในราคาตัวละสามร้อยตำลึงเงิน และผ้าเช็ดหน้านั้นราคาสามสิบตำลึงเงิน ไม่มีที่ไหนที่จะซื้อมันได้”

ว่าอย่างไรนะ

ตุ๊กตาตัวละสามร้อยตำลึงเงิน

ป้าจางและกู้ฟางสี่มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้คิดว่าในเมืองหลวงสิ่งนี้จะขายได้เท่าไร แต่คาดเดาแรงจูงใจของหลิวเทียนฉือในการมาครั้งนี้ได้

หลิวเทียนฉือกล่าวต่อว่า “น้องเสี่ยวหวาน ข้ามีความคิดในการมาที่นี่ ข้าจะหาทุนและเปิดร้านขายผ้าในเมืองหลวง ข้าจะจ่ายค่าร้านและวัสดุ เจ้าเพียงต้องเป็นช่างตัดเย็บและจะได้รับส่วนแบ่งกำไร เจ้าสามส่วน ข้าเจ็ดส่วน เช่นนี้เป็นอย่างไร”

ด้วยวิธีจัดการดังกล่าว ดูเหมือนว่าหลิวเทียนฉือจะเสียต้นทุนไป

หากแต่กู้เสี่ยวหวานไม่ฟัง และเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

หลิวเทียนฉือคิดว่ากู้เสี่ยวหวานไม่พอใจกับวิธีการจัดการนี้ ดังนั้นนางจึงกัดฟันและพูดว่า “เจ้าสี่ส่วน ข้าหกส่วน เจ้าเพียงแค่ต้องตัดเย็บและไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งอื่นใด”

ดูเหมือนว่านางจะใส่ใจกู้เสี่ยวหวานเป็นอย่างมาก

——————————————-