ตอนที่ 911 ไม่เหลือสักคน

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 911 ไม่เหลือสักคน

ไป๋ชิงเหยียนยังไม่ทันได้ออกคำสั่งอีกครั้ง ไป๋จิ่นซิ่วก็นำทัพขี่ม้าเร็วเข้ามาเสียก่อน

เดิมทีไป๋จิ่นซิ่วต่อสู้อยู่ที่หน้าประตูเมือง ทว่า เมื่อเห็นไฟไหม้ที่หอลั่วหงนางจึงรีบพาพลทหารม้าขี่ม้ามาที่นี่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของพี่หญิงใหญ่และท่านย่า

ไป๋จิ่นซิ่วเห็นเหลียงอ๋องทันทีที่ขี่ม้าเข้ามา หญิงสาวตะโกนสั่งเสียงดังลั่น “สังหาร!”

มือสังหารเหล่านั้นเสียขวัญเพราะไป๋ชิงเหยียนเป็นเดิมทีอยู่แล้ว บัดนี้เมื่อเผชิญหน้ากับทหารที่เคยผ่านสนามรบมาอย่างจริงจัง พวกเขาจึงตัวสั่นเทาราวกับลูกนก

เลือดสดไหลจากหอกยาวหยดลงบนหลังมือของไป๋ชิงเหยียน หญิงสาวสะบัดร่างของทหารที่เสียบอยู่บนหอกทิ้ง จากนั้นมองไปทางบรรดากลุ่มของเหลียงอ๋องที่ถูกไป๋จิ่นซิ่วบีบจนต้องถอยหลังหนีขึ้นบันไดหอลั่วหงไปเรื่อยๆ ไป๋ชิงเหยียนกล่าวเสียงเย็นชา “สังหาร ไม่เว้นแม้แต่ผู้เดียว!”

ทัพเสริมมาถึงแล้ว ทหารข้างกายของไป๋ชิงเหยียนจะไม่ฮึกเหิมมากกว่าเดิมได้อย่างไรกัน พวกเขาต่างชักดาบออกมาแล้วพุ่งไปยังศัตรูที่อยู่ตรงบันได

ไป๋ชิงเหยียนกระชากบังเหียนม้าอย่างแรงเพื่อยับยั้งไม่ให้ม้าไท่ผิงกระโจนเข้าไปร่วมต่อสู้กับทหารเหล่านั้น หญิงสาวมองดูกลุ่มของเหลียงอ๋องและฟ่านอวี๋ไหวที่กำลังหวาดกลัวจนไม่รู้จะทำเช่นไรอยู่บนหลังม้าสูง

นี่คือสงครามของสัตว์ที่จนตรอก ไม่ว่าเหลียงอ๋องหรือแคว้นต้าจิ้น คืนนี้ล้วนต้องหายไปจากใต้หล้าแห่งนี้ตลอดกาล

ไป๋จิ่นซิ่วลงจากหลังม้า หญิงสาวชักดาบชิงเฟิงซึ่งเป็นดาบล้ำค่าประจำตระกูลไป๋ออกมา จากนั้นบุกเข้าไปต่อสู้กับศัตรูเป็นคนแรก

ทายาทของตระกูลไป๋ทุกคนไม่เคยลืมคำสอนของบรรพบุรุษตระกูลไป๋ มีเพียงการนำทัพอยู่ด้านหน้าสุดเท่านั้นจึงจะทำให้ทหารในกองทัพยิ่งมีกำลังใจต่อสู้มากกว่าเดิม

ไป๋ชิงเหยียนมองดูไป๋จิ่นซิ่วตวัดดาบใส่ศัตรูอย่างคล่องแคล่ว หญิงสาวบีบจนเหลียงอ๋องต้องเก็บดาบที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาและหลบอยู่ด้านหลังฟ่านอวี๋ไหวอย่างเตรียมพร้อม

เหลียงอ๋อง ฟ่านอวี๋ไหวและบรรดามือสังหารถูกล้อมไว้หมดแล้ว พวกเขาพยายามครั้งสุดท้ายหนีตายราวกับแพะที่กำลังจะถูกเชือด ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและศีรษะเกลื่อนเต็มพื้น

ไท่ผิงคือม้าศึกที่เลือดร้อน มันส่งเสียงร้องอยากจะพุ่งตัวเข้าไปร่วมต่อสู้ ทว่า บังเหียนม้าถูกเจ้านายของตัวเองกุมไว้แน่น

“ด้านหน้ามีหมาป่าด้านหลังมีเสือ!” มือที่ถือดาบของเหลียงอ๋องสั่นเล็กน้อย ทว่า เขาไม่อยากให้ผู้อื่นมองออก เขาหันไปมองไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าวกับฟ่านอวี๋ไหว “บุกขึ้นไป! ถึงแม้จะจับไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ ทว่า สามารถอ้อมนางไปจับองค์หญิงใหญ่มาได้! ดีกว่าต่อสู้อยู่กับทหารของไป๋จิ่นซิ่วจนเหลือแค่ทางตายเพียงทางเดียว!”

สิ้นเสียงฟ่านอวี๋ไหวจึงเงยหน้ามองไปบนบันไดสูง ไป๋จิ่นซิ่วพาคนมามากเกินไป พวกเขาไม่มีทางฝ่าด่านของหญิงสาวออกไปได้แน่นอน

ทว่า ทหารที่คุ้มกันหอลั่วหงมีไม่มาก แม้การบุกขึ้นไปจะเป็นเรื่องยาก ทว่า มันง่ายกว่าการเผชิญหน้ากับทหารที่ไป๋จิ่นซิ่วพามามากนัก

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ฟ่านอวี๋ไหวจึงหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างกาย “บุกขึ้นไป อย่าคะนองศึกต่อสู้กับองค์หญิงเจิ้นกั๋ว บุกเข้าไปในหอลั่วหง ขอเพียงจับตัวองค์หญิงใหญ่มาได้ พวกเราจะสามารถใช้นางเป็นตัวประกันเพื่อหนีไปจากที่นี่ได้!”

มือสังหารเหล่านี้เคยชินกับการทำตามคำสั่งของผู้อื่นอย่างเดียวเท่านั้น เจ้านายสั่งให้ทำเช่นไรพวกเขาก็จะทำเช่นนั้น บัดนี้มีคนชี้ทางรอดให้พวกเขา พวกเขาย่อมทำเต็มที่อยู่แล้ว

มือสังหารเหล่านั้นเปลี่ยนทิศทางบุกขึ้นไปบนบันไดของหอลั่วหง คนของเสิ่นเทียนจือต้านทานมือสังหารเหล่านั้นไม่ไหวจึงได้แต่ถอยหลังหนีขึ้นไปบนบันได

ไป๋ชิงเหยียนนั่งอยู่บนหลังไท่ผิงด้วยแววตาเคร่งขรึมสงบนิ่งท่ามกลางกองเพลิง เลือดที่ติดอยู่บนหอกหงอิงในมือของหญิงสาวยังคงไหลหยดลงบนพื้นอยู่ ช่างเป็นภาพที่ดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ต่อให้เทพสงครามลงมาจุติเองก็คงไม่ได้ดูน่ากลัวถึงเพียงนี้

หญิงสาวไม่จำเป็นต้องแสดงสีหน้าดุดัน แค่ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ก็ทำให้คนหวาดกลัวจนไม่กล้าต่อสู้กับนางแล้ว

ตอนนี้ฟ่านอวี๋ไหวรู้สึกเสียใจแล้ว เขาเสียใจที่ตัวเองเลือกเดินทางนี้

ทว่า ต่อให้เสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว เขาขึ้นมาบนเรือของเหลียงอ๋องแล้ว ต่อให้เรือล่มเขาก็ต้องพยายามอย่างถึงที่สุด หากเขาคุกเข่ายอมจำนนในตอนนี้มีแต่จะถูกดูถูกจากคนรอบข้าง ทำลายศักดิ์ศรีของการเป็นแม่ทัพของตัวเองทั้งนั้น

ไป๋จิ่นซิ่วที่ต่อสู้จนตาแดงฉานจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคนเหล่านี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่ ทว่า บัดนี้พี่หญิงใหญ่อยู่บนบันไดสูง ไป๋จิ่นซิ่วเชื่อว่าพี่หญิงใหญ่จะไม่ปล่อยคนเหล่านี้ไปแม้แต่คนเดียว มิเช่นนั้นพี่หญิงใหญ่ก็คงไม่ขี่ม้ายืนเฝ้าอยู่บนบันไดเช่นนี้

ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางไป๋จิ่นซิ่ว สองสายตาประสานกัน จากนั้นหญิงสาวมองไปทางเหลียงอ๋อง

ไป๋จิ่นซิ่วพยักหน้าอย่างเข้าใจ หญิงสาวกระโดดเหยียบบ่าของเหล่าทหาร มุ่งหน้าตรงไปหาเหลียงอ๋อง ดาบคมชิงเฟิงพุ่งเป้าไปทางร่างของเหลียงอ๋องอย่างแม่นยำ

ฟ่านอวี๋ไหวรู้สึกว่ามีแสงจากคมดาบพุ่งผ่านหน้าเขาไป ทว่า เขายังไม่ทันได้สติผลักเหลียงอ๋องให้หลบไป ไป๋จิ่นซิ่วก็เข้าไปประชิดตัวเหลียงอ๋องแล้ว สองมือของหญิงสาวจับปลายดาบชิงเฟิงแน่น จากนั้นฟันลงบนศีรษะของเหลียงอ๋องด้วยแววตาคมกริบ

ฟ่านอวี๋ไหวเบิกตาโพลง เขาเห็นไป๋จิ่นซิ่วดึงดาบออก จากนั้นบุกขึ้นไปบนบันได หญิงสาวหนีบดาบไว้ที่เอวพลางหมุนตัวกลับ ใบหน้าของหญิงสาวเยือกเย็นเหมือนกับองค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่มีผิดเพี้ยน หญิงสาวตะโกนลั่น “เหลียงอ๋องเสียชีวิตแล้ว สังหารคนที่เหลือทั้งหมด!”

ฟ่านอวี๋ไหวมองไปทางเหลียงอ๋องที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาเห็นเลือดสดไหลทะลักออกมาจากศีรษะของเหลียงอ๋อง ใบหน้าขาวซีดของเหลียงอ๋องเต็มไปด้วยเลือด ร่างทั้งร่างล้มลงบนพื้น

“ฝ่าบาท!” ฟ่านอวี๋ไหวรีบเข้าไปประคองเหลียงอ๋อง ตาของเหลียงอ๋องเหลือกโพลน สิ้นลมหายใจลงแล้ว…

เมื่อเหลียงอ๋องเสียชีวิตลง มือสังหารของเหลียงอ๋องเหล่านั้นจึงเสียขวัญในทันที

ฟ่านอวี๋ไหวเงยหน้าขึ้นมองไปทางสองพี่น้องตระกูลไป๋ที่ยืนอยู่บนบันไดสูง แม้ร่างของพวกนางจะยืนอยู่ใกล้เปลวเพลิงที่กำลังลุกโชน ทว่า พวกนางมีปณิธานที่แน่วแน่และหัวใจที่เด็ดเดี่ยวราวกับไม่ว่าคู่แข่งจะยิ่งใหญ่สักเพียงใดก็ไม่มีทางทำสิ่งใดพวกนางได้แม้แต่น้อย

พวกนางยืนอยู่ตรงนั้นราวกับต้องการบอกกับพวกที่จนตรอกอย่างพวกเขาว่าผู้ใดคือผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง พวกนางไม่อยากแม้แต่จะลงมือกับมดตัวเล็กอย่างพวกเขา!

แพ้แล้ว!

ฟ่านอวี๋ไหวรู้ดีว่าคราวนี้เขาพ่ายแพ้อย่างหมดท่าแล้ว…

เหลียงอ๋องเสียชีวิตลงแล้ว พวกเขาจะสู้ไปเพื่อสิ่งใดอีก

เหลียงอ๋องคิดผิดที่บุกเข้ามาชิงตัวคนในหอลั่วหงเช่นนี้ หากเขาหนีไปตั้งแต่แรก เขาอาจมีชีวิตรอดออกไปเพื่อกลับมาแก้แค้นอีกครั้ง ทว่า บัดนี้เหลียงอ๋องกลับเอาชีวิตของตัวเองและยอดฝีมือเหล่านี้มาทิ้งไว้ที่นี่แล้ว!

เมื่อสัตว์ที่ถูกขังรู้ว่าตัวเองไม่มีทางรอดแล้ว พวกมันจะสู้อย่างสุดความสามารถ ทว่า น่าเสียดายที่ทหารที่ไป๋จิ่นซิ่วพามาล้วนเป็นทหารยอดฝีมือที่มากประสบการณ์ในการรบ มือสังหารในยุทธภพกับทหารยอดฝีมือที่เคยออกรบในสนามรบจริงมีความแตกต่างกันอยู่

กองทัพพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วราวกับภูเขาถล่ม ไม่นานฟ่านอวี๋ไหวและมือสังหารเหล่านั้นก็เริ่มหมดเรี่ยวแรง

ฟ่านอวี๋ไหวที่เลือดท่วมไปทั้งใบหน้าทรุดตัวคุกเข่าลงบนพื้น ดาบคมจ่อไปที่คอของฟ่านอวี๋ไหว

ไม่มีแรงแล้ว ฟ่านอวี๋ไหวสู้ไม่ไหวแล้ว ช่างเถิด…พ่ายแพ้ให้ทายาทตระกูลไป๋ถือว่าสมควรแล้ว!

ตระกูลนักรบนับร้อยปีของตระกูลไป๋ไม่เคยมีคนไร้ความสามารถ คำกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก!

แพ้ด้วยน้ำมือของเทพสังหารไป๋ชิงเหยียน ฟ่านอวี๋ไหวยอมแพ้อย่างไม่มีข้อกังขา

อย่างน้อยเขาก็เคยช่วยเหลือจักรพรรดิแห่งแคว้นจากเหตุการณ์กบฏ อีกทั้งเคยก่อกบฏ

เขาใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้อย่างสุดเหวี่ยงแล้ว แม้จะพ่ายแพ้ ทว่า ฟ่านอวี๋ไหวไม่รู้สึกเสียดายชีวิต

ทว่า วินาทีแห่งความเป็นความตาย ฟ่านอวี๋ไหวใช้มือรับดาบที่เตรียมฟันลงมาบนคอของเขาไว้ เลือดสดไหลทะลักออกมาจากสองฝ่ามือของเขาทันที “เดี๋ยวก่อน ข้ามีเรื่องอยากกล่าวอีกสักนิด กล่าวจบข้าพร้อมตายทันที…”

เขาเงยหน้ามองไปทางไป๋ชิงเหยียน จากนั้นตะโกนเสียงดังลั่น “องค์หญิงเจิ้นกั๋ว กระหม่อมก่อกบฏในครั้งนี้เพียงผู้เดียว ครอบครัวของกระหม่อมไม่เกี่ยวข้องด้วย!”