ตอนที่ 920 ทุ่มกองทัพทำศึกพร่ำเพรื่อ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 920 ทุ่มกองทัพทำศึกพร่ำเพรื่อ

บัดนี้แคว้นใหม่ถูกสถาปนาขึ้น มีเรื่องต้องจัดการมากมาย โดยเฉพาะเรื่องเงินในท้องพระคลังที่จักรพรรดิต้าจิ้นเผาผลาญไปกับการสร้างหอบูชาเก้าชั้น บัดนี้ท้องพระคลังไม่มีเงินมากเพียงพอสนับสนุนให้ไป๋ชิงเหยียนทำสงครามได้แน่

ถึงแม้เงินในท้องพระคลังจะมากพอให้ไป๋ชิงเหยียนทำสงคราม ทว่า หากอ๋องทั้งห้าเมืองนำกองกำลังชาวบ้านต่อสู้โดยไม่ยอมจำนน ไป๋ชิงเหยียนจะสังหารชาวบ้านทั้งห้าเมืองจนสิ้นได้อย่างนั้นหรือ

หญิงสาวจะไม่ถูกครหาว่าเป็นคนที่ทุ่มกองทัพเพื่อทำศึกอย่างพร่ำเพรื่อหรือ

เมื่อคิดได้ดังนี้อ๋องทั้งห้าเมืองจึงมารวมตัวกันวางแผนเรื่องนี้ในคืนก่อนที่ไป๋ชิงเหยียนจะกลับมาถึงเมืองหลวง

กว่างอันอ๋อง ไป๋สุ่ยอ๋อง เหอตงอ๋อง อันซีอ๋องและซั่วฟางอ๋องนั่งปรึกษาเรื่องนี้กันอยู่ในห้องลับภายในจวนที่ไม่ค่อยสะดุดตาหลังหนึ่งซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเมืองหลวง

“ในเมื่อกว่างอันอ๋อง ไป๋สุ่ยอ๋องและเหอตงอ๋องวางแผนกันมาก่อนจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง อีกทั้งลอบสั่งให้กองกำลังลับเคลื่อนไหวแล้ว ข้ากับซั่วฟางอ๋องก็ไม่มีสิ่งใดตัดขัด พวกข้าจะส่งคนกลับไปบอกให้กองทัพเคลื่อนทัพมาเมืองหลวงก่อนวันที่ยี่สิบ เดือนหกที่ไป๋ชิงเหยียนจะขึ้นครองราชย์ หากไป๋ชิงเหยียนไม่ตกลง พวกเราจะก่อกบฏ…” อันซีอ๋องกล่าว

“ทว่า…” ซั่วฟางอ๋องที่อายุเพียงยี่สิบเจ็ดปีกำพัดในมือแน่น เขารู้สึกหวาดกลัวมาก แม้จะตัดสินใจทำตามคำสั่งของอันซีอ๋อง ทว่า เขายังคงลังเลอยู่เล็กน้อย “ไป๋ชิงเหยียนไม่เพียงไม่เคยรบพ่ายแพ้ นางยังมีอำนาจทางทหารอยู่ในมืออีกด้วย ที่สำคัญล้วนเป็นทหารยอดฝีมือของต้าเหลียงทั้งสิ้น กองกำลังส่วนตัวของพวกเราคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา”

“หากไม่ต่อสู้แล้วจะทำเช่นไร! องค์ชายสามแห่งเหลียงอ๋องเป็นตัวอย่างให้เห็นแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร! ได้บรรดาศักดิ์ ทว่า ไม่มีศักดินา ห้ามสั่งสมกองกำลังส่วนตัว ห้ามยุ่งเกี่ยวเรื่องการเก็บภาษี นี่มันหมายความว่าอย่างไร…หมายความว่าเป็นอ๋องแค่เพียงในนาม ใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น!” แววตาของซีอันอ๋องที่อายุเกินห้าสิบปีเคร่งขรึม

“ศักดินาและบรรดาศักดิ์ของพวกเราได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่สืบต่อกันมาทุกรุ่น บรรพบุรุษของพวกเราล้วนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งนี้ บัดนี้จะยึดเมืองของพวกเราไป ลูกหลานของพวกเราจะทำเช่นไรกัน!”

ไป๋สุ่ยอ๋องมองไปทางซั่วฟางอ๋อง “ซั่วฟางอ๋องเพิ่งได้รับสืบทอดตำแหน่ง เจ้าคงไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของคนรุ่นพวกข้าได้ เมื่อซั่วฟางอ๋องมีลูกหลาน เจ้าก็จะเข้าใจเอง”

“แม้สงครามที่หนานเจียงและเป่ยเจียงพวกเราจะไม่ได้ส่งกองกำลังไปช่วยเหลือ ทว่า พวกเราล้วนสนับสนุนเรื่องเสบียงอาหารให้มากมาย! ถึงแม้ตอนนี้องค์หญิงใหญ่จะสิ้นพระชมน์ไปแล้ว ทว่า ไป๋ชิงเหยียนต้องเห็นแก่ความดีความชอบของพวกเราบ้าง!” ตงเหออ๋องที่มีนิสัยสุขุมมองไปที่น้ำชาในถ้วยชาตรงหน้านิ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นช้าๆ

“ข้าเชื่อว่าคนตระกูลไป๋ไม่ใช่คนที่ลืมบุญคุณคน พวกเรายกทัพมาประชิดเมืองหลวงเพื่อป้องกันไว้ก่อนเท่านั้น ไม่ใช่ว่าพวกเราจะเป็นปรปักษ์กับไป๋ชิงเหยียนจริงๆ”

“นั่นนะสิ จนถึงตอนนี้ไป๋ชิงเหยียนยังไม่ได้จัดการกับเชื้อพระวงศ์เก่าที่อยู่ในเมืองหลวงเลยสักคน เชื้อพระวงศ์ห่างๆ อย่าวพวกเราแค่อยากรักษาเมืองของพวกเราไว้เท่านั้น ไป๋ชิงเหยียนคงเข้าใจความรู้สึกของพวกเราได้” กว่างอันอ๋องที่อาวุโสที่สุดคลำลูกประคำในมือ “ไป๋ชิงเหยียนเป็นเพียงสตรี การที่นางต้องการขึ้นครองบัลลังก์ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก พวกเรายอมถอยให้ ยอมให้นางสถาปนาแคว้นใหม่ นางก็ควรจะถอยให้พวกเราบ้าง การควบคุมสถานการณ์ให้สงบคือสิ่งที่นางควรทำมากที่สุด!”

เหอตงอ๋องพยักหน้าตามยิ้มๆ จากนั้นวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ “ตั้งแต่จักรพรรดิหมิงเจาผู้เป็นผู้สถาปนาต้าจิ้นจนถึงตอนนี้ จักรพรรดิพระราชทานแค่เมืองศักดินาให้พวกเราเท่านั้น เมื่อถึงสมัยของจักรพรรดิเหวินเต๋อก็เริ่มมีการบั่นทอนอำนาจของพวกเรา จักรพรรดิอู่เสวียนส่งมือสังหารมาลอบสังหารพวกเรา ส่งกองกำลังมายึดอำนาจพวกเรา ทว่า ก็ยังทำไม่สำเร็จ บัดนี้ไป๋ชิงเหยียนเพิ่งสถาปนาแคว้นใหม่ ถึงแม้นางอยากจะบั่นทอนอำนาจของพวกเรามากเพียงใด ทว่า นางจำเป็นต้องทนเพื่อควบคุมสถานการณ์ให้สงบมั่นคงต่อไป”

“เอาล่ะ เอาตามนี้ก็แล้วกัน!” กว่างอันอ๋องหยุดนับลูกประคำในมือ เขายกมือลูบเคราของตัวเองพลางลุกขึ้นยืน

ไป๋สุ่ยอ๋องรีบเข้าไปช่วยพยุงกว่างอันอ๋องลุกขึ้น กว่างอันอ๋องกล่าวต่อ “พรุ่งนี้เช้าไป๋ชิงเหยียนจะกลับมาถึงเมืองหลวง พวกเราจะตามขุนนางออกไปต้อนรับนาง เมื่อพบหน้านางพวกท่านจงอ่อนน้อมถ่อมตนให้มาก ต้องเคารพนางมากกว่าที่เคยทำกับจักรพรรดิต้าจิ้น เราจะได้ดั่งที่เราต้องการ”

“ทางดีที่ควรแต่งงานเชื่อมไมตรีกับตระกูลไป๋ด้วย เช่นนี้จะได้มั่นคงขึ้นอีก” เหอตงอ๋องกล่าวยิ้มๆ พลางลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน เขาปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนไหล่ออก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “นอกจากคุณหนูรองตระกูลไป๋ที่แต่งงานออกเรือนไปกับฉินหล่างแล้ว คุณหนูสาม คุณหนูสี่ คุณหนูห้าและคุณหนูหกล้วนอยู่ในวัยที่พร้อมออกเรือนแล้ว ส่วนคุณหนูเจ็ดสามารถหมั้นหมายไว้ก่อนได้”

กล่าวจบเหอตงอ๋องมองไปทางอ๋องคนอื่นๆ ยิ้มๆ “ส่วนไป๋ชิงเหยียน หากทุกท่านมีความสามารถ มีทายาทในตระกูลที่เหมาะสมกับนางจะลองดูหน่อยก็ได้นะ หากข้างกายของจักรพรรดิมีคนของเราอยู่ วันหน้าพวกเราคงสืบข่าวได้สะดวกขึ้น ทุกท่านอย่าติดอยู่กับความคิดคร่ำครึที่ว่าบุรุษสูงศักดิ์กว่าสตรีอีก บัดนี้จักรพรรดินีขึ้นครองราชย์แล้ว ยุคสมัยเปลี่ยนไป ความคิดย่อมเปลี่ยนไปตามด้วย”

เหอตงอ๋องรู้ดีว่าไม่ควรมองไป๋ชิงเหยียนเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง เขาควรมองนางในฐานะจักรพรรดิคนหนึ่ง ดังนั้นเขาสามารถนำวิธีที่เคยใช้กับอดีตจักรพรรดิมาใช้กับไป๋ชิงเหยียนได้

“ความคิดเปลี่ยนไปแล้วจะทำเช่นไรกัน นางจะให้สตรีเข้ารับราชการอย่างนั้นหรือ! แม้แต่จีโฮ่วยังไม่กล้าให้สตรีมีบทบาทในราชสำนักเลย ซีเหลียงก็เช่นเดียวกัน!” ไป๋สุ่ยอ๋องขมวดคิ้วแน่น

เมื่อตกลงเรื่องทุกอย่างเรียบร้อย ทุกคนจึงทยอยกันจากไป

เหอตงอ๋องคือคนสุดท้ายที่ออกจากจวนจากประตูข้าง เขาเงยหน้ามองดูดวงจันทร์กลมโตบนท้องฟ้า เริ่มครุ่นคิดในใจว่าไป๋ชิงเหยียนจะแหกกฎของใต้หล้าโดยการให้สตรีเข้ารับราชการหรือไม่

เขารู้ดีว่าไป๋เวยถิงไม่เคยดูถูกสตรี ไป๋เวยถิงอบรมสั่งสอนหลานสาวเช่นเดียวกับหลานชายทุกประการ

ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะมีผลต่อจักรพรรดินีองค์ใหม่ที่กำลังจะขึ้นครองราชย์หรือไม่

หากไป๋ชิงเหยียนกล้าทำเช่นนั้นจริงๆ เหอตงอ๋องคิดว่าสามารถหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นได้ มีเพียงก่อปัญหาให้ไป๋ชิงเหยียนได้วุ่นวายใจเท่านั้น นางจึงจะไม่มีเวลามาจัดการกับอ๋องอย่างพวกเขา

ความคิดที่ว่าบุรุษสำคัญกว่าสตรี บุรุษคือช้างเท้าหน้า สตรีคือช้างเท้าหลังถูกฟังลึกอยู่ในใจของทุกคนมาช้านาน หากกล่าวอย่างคนเห็นแก่ตัว เดิมทีการสอบขุนนางก็ยากมากอยู่แล้ว หากอนุญาตให้สตรีเข้าร่วมการสอบขุนนางเพื่อเข้ารับราชการด้วย บุรุษหลายคนยิ่งไม่มีทางประสบความสำเร็จแน่

ไม่ต้องกล่าวว่าสตรีสู้บุรุษไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงจีโฮ่ว จักรพรรดินีแห่งซีเหลียงและไป๋ชิงเหยียนคือสิ่งใดกัน ความจริงบุรุษทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสตรีไม่ได้ด้อยกว่าบุรุษ ดังนั้นจึงมีเรื่องบุรุษคือช้างเท้าหน้า สตรีคือช้างเท้าหลังและบุรุษสำคัญกว่าสตรีขึ้นมา