บทที่ 913 การข่มขู่ของวารุณี

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณียิ้มออกมา และหันหลังกลับขึ้นชั้นบน เตรียมตัวเข้าห้องไปดูสุขใจ

ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าตัวเล็กจะตื่นรึยัง

ตอนนี้อารัณและไอริณไม่ได้อยู่ข้างกายเธอ ลูกคนเดียวที่เธอสามารถมองพบเจอได้คือสุขใจ

พูดได้เลยว่า บนตัวของสุขใจนั้นแบกรับความคิดถึงที่เธอมีต่อลูกทั้งสามคน

เธออยากเจออารัณกับไอริณ ก็ทำได้เพียงส่งทอดผ่านสุขใจเท่านั้น

วารุณีอยู่กับสุขใจในห้องเป็นเวลาสามชั่วโมง จนกระทั่งประตูถูกเคาะ ถึงจะนำสุขใจที่หลับสนิทให้กับพี่นันทา ให้พี่นันทาอุ้มขึ้นไปบนเตียง ส่วนตัวเองนั้นก็เดินไปที่ประตูห้องและเปิดประตูออก

ที่ยืนอยู่นอกประตูคือคนใช้ในวิลล่า

เมื่อคนใช้เห็นเธอก็เรียกอย่างให้ความเคารพว่า “คุณผู้หญิง”

วารุณีพยักหน้าและยิ้มน้อยๆ “มีเรื่องอะไรรึเปล่า”

“คุณผู้ชายกลับมาแล้วค่ะ รถมาถึงประตูใหญ่ข้างนอกแล้วค่ะ” คนใช้ตอบ

เมื่อได้ยินว่านัทธีกลับมาแล้ว ดวงตาของวารุณีเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย และสุดท้ายก็มีรอยยิ้มที่ประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที ไม่พูดอะไรให้มากความ วิ่งผ่านตัวคนใช้เพื่อลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว

มาถึงชั้นล่าง เธอไม่เห็นร่างของนัทธีและเดาว่าอาจจะยังมาไม่ถึง

ในเมื่อประตูใหญ่ของวิลล่านั้นยังห่างจากวิลล่าไปหลายร้อยเมตร

ดังนั้น หากเธอต้องการพบเขาโดยเร็วที่สุด ก็คงต้องไปรอที่ข้างนอกวิลล่า

สูดหายใจเข้าลึกๆ วารุณีมองไปยังทิศทางของประตูทางเข้า หลังจากนั้นก็เริ่มก้าวเท้าอีกครั้งและวิ่งไปยังประตูทางเข้า

ออกจากวิลล่าและมาถึงข้างนอก สายลมหนาวจากข้างนอกนั้นพัดผ่านเข้ามา จนทำให้วารุณีหนาวจนอดสั่นสะท้านไม่ได้

แต่เธอไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย และยังยืดคอมองไปข้างหน้า การมองไปแบบนี้ แน่นอนว่าก็ต้องมองเห็นรถที่แสนคุ้นเคยของนัทธีกำลังขับเข้ามา

วารุณีเผยรอยยิ้มที่แสนงดงามออกมา เหยียดแขนโบกมือให้กับรถคันนั้น

ภายในรถ มารุตมองเห็นเธอและยิ้มออกมา จากนั้นจึงหันศีรษะด้วยความรวดเร็ว แล้วพูดกับชายที่นั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนเบาะหลังว่า “ท่านประธานครับ คุณผู้หญิงมารับคุณอยู่ที่หน้าประตูครับ”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น นัทธีก็ลืมตาขึ้นมาทันที จากนั้นจึงนั่งยืดตัวตรงและมองไปยังนอกหน้าต่าง

เป็นจริงอย่างที่คาดไว้ วารุณียืนอยู่บนขั้นบันไดของประตูวิลล่า และกำลังโบกมือมาทางพวกเขา

เมื่อเห็นดังนั้น คิ้วของนัทธีก็อ่อนลง ริมฝีปากบางนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมา

เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวขึ้นที่นี่ของวารุณี ทำให้เขาอารมณ์ดีมาก

แน่นอนว่ามารุตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของนัทธีจากกระจกมองหลัง ในใจจุ๊ๆออกมาสองเสียง

เขารู้อยู่แล้วว่าท่านประธานจะต้องมีความสุขเมื่อได้เห็นคุณผู้หญิง

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้จะทำสงครามเย็นไปทำไมกัน?

และอย่าคิดว่าเขาไม่รู้ ท่านประธานอยากคืนดีกับคุณผู้หญิงมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่อยากเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยปากอธิบายเหตุผลอย่างชัดเจนให้กับคุณผู้หญิง อยากให้คุณผู้หญิงคิดได้ด้วยตัวเองให้ได้

แต่ท่านประธานก็ไม่คิดนะ ว่าถ้าคุณผู้หญิงสามารถคิดได้ ก็คงคิดได้มาตั้งนานแล้ว?

คุณผู้หญิงมีใจอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ และอยู่เคียงข้างกันและกันกับท่านประธาน งั้นก็คงไม่คิดอย่างอื่นแน่นอน

แต่ท่านประธานก็ดันคิดว่าคุณผู้หญิงสามารถคิดได้ แล้วผลคือ?

สงครามเย็นก็เลยดำเนินมานานขนาดนี้

ยังดีที่สุดท้ายคุณทารีน่าทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงเริ่มเปิดปากพูดคุยกับคุณผู้หญิงเกี่ยวกับผลประโยชน์และความเสี่ยงที่มีอยู่ ให้คุณผู้หญิงได้เข้าใจว่าการที่ตัวเองอยู่ต่อนั้นไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องนัก

ไม่เช่นนั้น ทั้งสองคงทำสงครามเย็นต่อไปแน่นอน

“ท่านประธานครับ ดูเหมือนคุณผู้หญิงจะเป็นฝ่ายเริ่มอยากคืนดีกับคุณนะครับ” สายตาของมารุตมองไปที่กระจกมองหลังและเอ่ยปากกล่าว

นัทธีส่งเสียงอืม “ฉันรู้”

เรื่องที่เธอโทรมาเมื่อตอนกลางวัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับสาย แต่มารุตก็บอกเขาแล้ว

ในเมื่อเธอเป็นฝ่ายเริ่มโทรหาเขาในช่วงสงครามเย็น งั้นก็แน่นอนว่าอยากคืนดี

และฟังจากที่มารุตพูด ดูเหมือนว่าเธอจะคิดได้แล้วว่าเขาทำเพื่อเธอ

“ถ้าอย่างนั้นท่านประธานครับ คุณคงไม่ทำสงครามเย็นกับคุณผู้หญิงต่อหรอกใช่ไหมครับ” เขาถามขึ้นอีกครั้ง

นัทธีขมวดคิ้ว “นายโง่เหรอ?”

เขาไม่ได้ต้องการทำสงครามเย็นกับเธอตั้งแต่แรก แค่อยากให้เธอคิดได้ด้วยตัวเอง ว่าที่เขาขอให้เธออยู่ต่อก็เพราะทำเพื่อเธอ ดังนั้นจึงจงใจเพิกเฉยต่อเธอ

แต่ช่วงไม่กี่วันมานี้ อย่าได้พูดเลยว่าเขาอึดอัดใจมากแค่ไหน เห็นเธออารมณ์ไม่ดี อย่าได้พูดเลยว่าภายในใจนั้นปวดใจขนาดไหน

หลายครั้งที่เขาอยากจะเอ่ยปากอธิบายทุกอย่างกับเธอโดยตรง คืนดีกับเธอให้จบๆไป

แต่ภายหลังก็คิดได้ว่า การเริ่มเอ่ยปากอธิบายกับเธอให้ชัดเจน ในที่สุดนั้นคงไม่ดีเท่าให้เธอคิดได้ด้วยตัวเอง ในเมื่อถ้าเป็นแบบนี้เธอจะได้ไปด้วยความเต็มใจสักหน่อย เขาจะได้ไม่ต้องกังวลกับนิรุตติ์กับเธอมากเกินไปอีก

ดังนั้นเขาจึงพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อที่จะระงับความคิดที่จะเอ่ยปากพูดกับเธอก่อน และทำสงครามเย็นกับเธอต่อไป

แต่จริงๆแล้ว ในใจของเขานั้นโทษตัวเองอยู่เสมอ

เขาเคยพูดว่า เขาจะรักเธอเป็นอย่างดีและจะดีกับเธอไปตลอด แต่ครั้งนี้เขากลับข้ออ้างที่ว่าทำเพื่อเธอมาทำร้ายจิตใจเธอ ในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างแน่นอน

ตอนนี้วารุณีคิดได้แล้ว แม้ว่าไม่ใช่การคิดได้ด้วยตัวเอง เป็นลีน่าที่พูดกับเธอให้เข้าใจอย่างชัดเจน แต่เมื่อมองดูท่าทางของเธอ ราวกับว่าเธอจะตระหนักได้แล้วจริงๆ ว่าการที่เธออยู่ที่นี่ต่อนั้นไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มีความคิดที่จะเป็นฝ่ายริเริ่มคืนดีกับเขา

ในเมื่อตอนนี้เธอเป็นฝ่ายริเริ่มคืนดีกับเขาก่อน งั้นเขาก็ไม่สามารถวางฟอร์มต่อไปได้อีก

เธอละวางท่าทีลงก่อน งั้นส่วนที่เหลือก็เป็นเขาที่ต้องดำเนินต่อไป

นอกจากนี้ เขาต้องขอบคุณลีน่าเป็นอย่างดีในภายหลัง

ไม่อย่างนั้น ก็คงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เธอถึงจะคิดได้จริงๆเสียที

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น มารุตก็จอดรถลงแล้ว

หลังจากที่วารุณีเห็นว่ารถจอดอยู่ใต้บันไดจึงถอนหายใจออกเบาๆ จากนั้นก็บีบฝ่ามือเอาไว้ ยกกระโปรงยาวนั้นขึ้นและเดินลงไป

เพิ่งเดินไปถึงบันไดขั้นสุดท้าย ประตูรถเบาะหลังก็เปิดออก นัทธีลงมาจากรถด้วยชุดสูทสีดำที่ หล่อเหลาสูงส่งจนทำให้คนละสายตาไปไหนไม่ได้

วารุณีหยุดลงตรงหน้าเขา เงยหน้าขึ้นมองเขา ริมฝีปากสีแดงสดนั้นขยับและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง

ทันใดนั้นนัทธีก็คว้าข้อมือของเธอเอาไว้ ดึงเธอไปอยู่ตรงหน้าเขา จากนั้นก็กอดเธอเอาไว้แน่นในอ้อมกอด

วารุณีเบิกตากว้าง เห็นได้ชัดว่าตกใจกับการกระทำของเขา

แต่ในไม่ช้า เธอก็รู้ตัว ร่างกายอ่อนลง จากนั้นก็ยกมือขึ้นกอดที่แผ่นหลังของเขาเอาไว้

นัทธีรู้สึกได้ถึงการตอบสนองของวารุณี ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย กอดเธอเอาไว้แน่นขึ้น วางคางลงบนไหล่ของเธอ และเอ่ยด้วยริมฝีปากบางนั้นเบาๆว่า “ผมกลับมาแล้ว”

น้ำเสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย

แต่วารุณีที่ไม่ได้ยินเสียงของเขามาหลายวันนั้น จู่ๆเบ้าตาก็รู้สึกร้อนผ่าว กัดริมฝีปากล่างและพยายามกลั้นความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้เอาไว้ “อืม กลับมาก็ดีแล้ว”

แม้ว่าจะไม่ได้ร้องไห้ แต่เสียงของเธอก็มีเสียงสะอื้นปนอยู่

แน่นอนว่านัทธีนั้นฟังออก และรู้ว่าสงครามเย็นในช่วงไม่กี่วันมานี้ทำให้เธอเสียใจน้อยใจแล้ว

ในใจของเขารู้สึกผิดและโทษตัวเองมากขึ้น คางขยับไปมาอยู่บนไหล่ของเธอ และพูดด้วยเสียงที่ขอโทษเป็นอย่างมากว่า “ขอโทษนะที่ช่วงไม่กี่วันมานี้ทำให้คุณรู้สึกเศร้าใจ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในใจของวารุณียิ่งเศร้าใจมากขึ้นไปอีก น้ำตาหลั่งรินออกมาจริงๆ

แต่เธอกลับส่ายหัว ยิ้มและตอบว่า “ไม่หรอก เป็นฉันเองที่เอาแต่ใจมากเกินไป คิดเพียงแค่ว่าอยากจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนคุณ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าการอยู่ที่นี่ต่อไปจะนำพาปัญหาอะไรมาให้คุณบ้าง และจะเป็นตัวถ่วงต่อคุณ”

“ไม่เลย” นัทธีผลักเธอออกเบาๆ มองที่ใบหน้าของเธอและพูดอย่างจริงจังว่า “คุณไม่ได้เป็นตัวถ่วงต่อผม ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าคุณเป็นตัวถ่วง การที่ผมให้คุณจากไป ไม่ใช่เพราะกลัวว่าคุณจะทำให้เดือดร้อน ผมแค่ไม่อยากให้คุณตกอยู่ในอันตราย ถ้าคุณเป็นอันตราย ผมคงอยู่ต่อไปไม่ได้”

ฟังคำสารภาพรักที่น่าตกใจของผู้ชายแล้ว วารุณียิ้มทั้งน้ำตา “โอเค ฉันจะไม่ทำให้ตัวเองเป็นอันตราย ฉันจะอยู่กับลูกๆและรอให้คุณกลับมาในภายหลัง แต่คุณต้องรับปากกับฉันว่าคุณจะต้องไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นฉันจะไปแต่งงานกับคนอื่นโดยที่นำลูกทั้งสามคนของคุณไปด้วย ให้ลูกๆของคุณเรียกผู้ชายคนอื่นว่าพ่อ ถ้าลูกๆของคุณโดนผู้ชายคนนั้นรังแกฉันก็จะไม่สนใจ ฉันพูดจริงทำจริงนะ”

ใบหน้าของเธอมองเขาอย่างข่มขู่

แต่อย่างไรก็ตามนัทธีเข้าใจดีว่า เธอแค่พูดไปอย่างนั้น แม้ว่าในท้ายที่สุดเขาจะกลับมาไม่ได้จริงๆ เธอก็จะไม่ทำเช่นนั้น

“เธอเพียงแค่จะเลี้ยงดูลูกๆ ทุกวันใช้ชีวิตไปด้วยความคิดถึงที่มีต่อเขา และเมื่อเด็กๆเติบโต เธอก็อาจจะตามเขาไป