บทที่ 974 จางไฉ่อวิ๋นแสดงความปรารถนาดี
บทที่ 974 จางไฉ่อวิ๋นแสดงความปรารถนาดี
สุดท้ายก็โดนภรรยาฉางจิ่วใช้ไม้กวาดไล่ออกไป
เธอรำคาญลูกสะใภ้คนนี้มาก เจอคนมาตั้งเยอะ แต่ไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อนเลย!
เถียนเสี่ยวเหอโวยวายเสียงดังอยู่หน้าบ้าน จนคนอื่นทนไม่ไหวต้องพาออกไป
ที่ยอมไปเป็นเพราะรู้ว่าพ่อสามีไม่ยอมออกมา
จึงจำต้องจากไปเท่านั้น
ส่วนเด็ก ๆ ไม่เข้าใจเรื่องราว ทำไมถึงไม่ให้พวกเรากินเนื้อล่ะ?
ในตอนที่พวกเขาคิดจะสร้างเรื่อง ผู้เป็นแม่จำต้องลากออกไป
เถียนเสี่ยวเหอมองประตูบ้านหลังนั้น แล้วสบถอย่างรุนแรง
“ปู่ย่าเขามีญาติรวย ๆ แล้ว เลยไม่ต้องการเราไงละ พวกแกเลิกฝันสักที”
ยังมีหน้ามาบ่นอีกนะ
ว่าก็ว่าเถอะ ที่ครอบครัววุ่นวายขนาดนี้เป็นเพราะเถียนเสี่ยวเหอไร้เหตุผลยังไงละ
ถึงภรรยาฉางจิ่วจะมีอำนาจเยอะที่สุดในบ้าน แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ทำตัวโง่เขลาแบบนี้
ส่วนแม่สะใภ้คนนี้เอาแต่เกาะคนอื่นเพื่อที่ตัวเองจะได้หาเหตุผลมาทำตัวไม่ดีใส่
แล้วตอนนี้ก็ถึงคราวที่พวกเขาหมดความอดทนในที่สุด
ความผิดตัวเองแท้ ๆ
เด็กชายทั้งสองคนเสียใจมาก เรายังไม่ได้กินเนื้อเลยนะ ไม่อยากกลับเลย
“แม่ ผมอยากกินเนื้อ อยากกินเนื้อ!”
“กินเนื้อ ๆ อยู่นั่นแหละ ไม่กินแล้วมันจะตายหรือไง? ไอ้พวกเด็กเวร ต่อให้พวกแกอดตายหน้าบ้านปู่ย่า พวกเขาก็ไม่สนใจหรอก!”
เถียนเสี่ยงเหอเสียงโกรธจัด ส่วนภรรยาฉางจิ่วที่ยังอยู่ในลานบ้านรู้สึกไม่สบายใจนัก
แต่จะไปพูดอะไรได้ล่ะ ถึงจะเป็นหลาน แต่เธอจะไปทำอะไรได้?
ถ้าพวกเขาไม่รู้จักกฎเกณฑ์ ชีวิตได้พังพินาศแน่
มีคนบอกว่าถ้าอายุสามขวบจะเห็นว่าโต พออายุเจ็ดขวบจะเห็นว่าแก่*[1]
ไม่ได้กินเนื้อ ไหนจะโดนแม่ดุอีกสุดท้ายสองเด็กชายจึงยอมตามกลับไป
ภรรยาฉางจิ่วไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวแล้ว เธอพลันถอนหายใจออกมา “บ้านเราโชคร้ายจริง ๆ!”
“ไม่ว่าบ้านไหนต่างก็มีปัญหาของตัวเองนะป้า เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”
เซี่ยหนานปลอบใจ “พี่ตามฉันไปใช้ชีวิตที่เมืองหลวงสักพักสิ เผื่อจะดีขึ้น”
ทั้งลูกชายลูกสะใภ้เลย ตอนนี้เสียอารมณ์จนไม่อยากไม่มีลูกแบบนี้แล้ว แต่ไม่ว่ายังไงเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันอยู่ดี
ภรรยาฉางจิ่วส่ายหัว “ไม่ไปหรอก ที่บ้านมีธุระหลายอย่างน่ะเลยไปไม่ได้”
เซี่ยหนานไม่ได้บังคับต่อ
มื้ออาหารดำเนินต่อ แต่ไม่มีใครมีอารมณ์กินอีกแล้ว
จากนั้นเจ้าของบ้านก็บอกให้เสี่ยวเถียนกับเซี่ยหนานไปพักผ่อน ส่วนตัวเองล้างถ้วยชามแล้วรีบเข้าห้องพักบ้าง
แต่คืนนี้จะนอนหลับได้ยังไง?
เธอเสียใจต่อแขกทั้งสองมาก จึงตื่นเช้ามาทำอาหารเตรียมไว้ให้เพียบเลย
มีชงโหยวปิ่ง*[2] และซาลาเปานึ่ง
ไข่ต้มอีกหลายสิบฟองที่ปกติไม่ค่อยอยากเอามากินอีก
เธอเตรียมไว้ให้ทั้งสองคนเอาไปกินระหว่างทาง
นอกจากนี้ยังมีมะเขือเทศที่เก็บมาจากในสวนอีกเพียบด้วย
ทั้งสองตื่นขึ้นมาเห็นภรรยาฉางจิ่วเตรียมไว้แล้ว
พวกเธอจึงได้แต่นึกสงสัย ไม่รู้ท่านต้องตื่นมาตั้งแต่กี่โมง
“ตื่นแล้วหรือ รีบไปอาบน้ำเถอะ ข้าวเช้าวันนี้เราจะกินซาลาเปากับโจ๊กข้าวฟ่างกัน”
อีกฝ่ายยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ถ้ามองใกล้ ๆ จะเห็นว่าเรื่องนี้ยังคงติดอยู่ในใจ
ทั้งสองคนรับคำ และรีบไปทำตัวให้สดชื่น
หลังจากนั้นจางไฉ่อวิ๋นก็มาหา
“แม่ ทำไมยุ่งแต่เช้าเลยล่ะ”
“เธอมาทำไม?”
ตอนนี้ภรรยาฉางจิ่วกลัวลูกสะใภ้มาก เมื่อวานคนเล็กก็มา วันนี้สะใภ้ใหญ่ก็มาด้วยหรือ ไม่รู้คิดอะไรอยู่กันแน่
จางไฉ่อวิ๋นตอบ “ฉันตื่นมาทำแป้งจี่กับหมาฮวาค่ะ ว่าจะเอาให้เสี่ยวเถียนกับอาจารย์เซี่ยห่อไปกินระหว่างทาง ที่บ้านยังมีแตงกวาอยู่เลยเก็บมาให้หน่อยหนึ่งค่ะ เผื่อดับกระหายได้”
เธอรีบยกตะกร้าขึ้นให้อีกฝ่ายดู
ฝ่ายแม่สามีถึงค่อยสบายใจ
โชคดีที่มาดี
“ลำบากเธอแล้ว เข้ามาก่อนสิ”
เพราะสะใภ้ใหญ่ไม่ได้มาสร้างปัญหา น้ำเสียงของภรรยาฉางจิ่วจึงฟังดูดีขึ้น
“แม่ ฉันยังมีพื้นรองเท้าอยู่ เลยวานให้น้องเอาไปให้เสี่ยวเฉ่าค่ะ ส่วนสองคู่นี้ให้เสี่ยวเถียนนะ” จางไฉ่อวิ๋นหยิบกระเป๋าลายดอกออกมา
ภรรยาฉางจิ่วมองลูกสะใภ้ใหญ่อยู่นาน พลางนึกสงสัยว่าวันนี้ดวงอาทิตย์ขึ้นจากทิศไหน
“เธอตั้งใจทำให้หรือ?”
“ฉันเห็นเสื้อผ้าที่เสี่ยวเฉ่าให้เด็ก ๆ ราคาไม่ใช่ถูก ๆ เลย อุตส่าห์นึกถึงหลาน ในฐานะพี่สะใภ้เลยไม่อยากทำตัวเฉยเมยน่ะค่ะ!” จางไฉ่อวิ๋นเอ่ยอย่างละอายใจ
เธอรู้ว่าช่วงนี้สร้างปัญหาไว้เยอะมาก
และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากเถียนเสี่ยวเหอคนเดียวใช่ไหมล่ะ?
จางไฉ่อวิ๋นเป็นคนซื่อสัตย์ก็จริง แต่ไม่อยากเสียผลประโยชน์เท่านั้นเอง
แม่สามีไม่ได้พูดอะไรเยอะ หลังอีกฝ่ายคุยต่ออีกสองประโยคก็จากไป
ไม่ได้ขอเจอเซี่ยหนานกับเสี่ยวเถียนด้วยซ้ำ
คล้อยหลังไป ภรรยาฉางจิ่วเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
แต่ไม่ว่าจะพูดดีแค่ไหน มันก็ดีแค่คำพูดน่ะ
“คุณป้า ทำไมถือทั้งกระเป๋าทั้งตะกร้าเลยล่ะคะ?”
เสี่ยวเถียนซักผ้าเสร็จก็เดินออกมาเห็นป้ายืนนิ่งอยู่ในลานบ้าน
ยังเช้าอยู่เลยจะไปกันแล้วหรือ?
“จางไฉ่อวิ๋นเอามาให้น่ะ เห็นว่าทำให้หนูกับเสี่ยวเฉ่า แล้วก็มีของกินระหว่างทางด้วย”
เสี่ยวเถียนแปลกใจ
พี่เขาตั้งใจเอามาให้เลยหรือ?
“แต่เธอเอามาแล้วก็คงตั้งใจให้นั่นแหละค่ะ เมื่อก่อนสะใภ้คนนี้ใช้ได้นะ” ภรรยาฉางจิ่วถอนหายใจ
รถรับส่งเข้าหนานหลิ่งมีวันละสองเที่ยว ขาไปแปดโมงเช้า ขากลับตอนเที่ยง
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นทางผ่านพอดี รถรอบบ่ายจะมาถึงตอนบ่ายโมง
[1] อายุสามขวบจะเห็นว่าโต พออายุเจ็ดขวบจะเห็นว่าแก่ หมายถึง เมื่อเด็กอายุได้สามขวบจะแสดงนิสัยและบุคลิกภาพออกมา ส่วนช่วงเจ็ดขวบจะเห็นการพัฒนาชีวิตของเด็กคนนั้น
[2] ชงโหยวปิ่ง เป็นแพนเค้กต้นหอม หน้าตาจะคล้ายกับโรตี