บทที่ 975 เมินเฉย

บทที่ 975 เมินเฉย

พวกเธอยังมีเวลาอยู่ ด้วยเหตุนี้ เสี่ยวเถียนกับเซี่ยหนานจึงนั่งกินข้าวกันสบาย ๆ

“เราออกไปเดินเล่นกันค่ะอาจารย์ ยังเหลือเวลาอยู่เลย”

เซี่ยหนานก็คิดเหมือนกัน

ลูกสาวเธอเติบโตที่นี่ เลยอยากจะเห็นสถานที่ที่เธออาศัยอยู่ให้มากกว่านี้หน่อย

เมื่อออกมา พวกเธอก็เจอชาวบ้านต้อนรับอย่างอบอุ่น

บางส่วนที่ใจกล้าหน่อยก็เอ่ยทักเซี่ยหนานด้วย

กระทั่งถามถึงเรื่องราวในเมืองหลวง

แม้ตระกูลซูจะไปอยู่นั่น แต่พวกเขาก็เป็นคนย้ายไปอยู่ ไม่ใช่คนในท้องที่จริง ๆ

แต่เซี่ยหนานเองก็ไม่ใช่คนเมืองนะ ย้ายมาในภายหลังเหมือนกัน

เพราะมีสายสัมพันธ์กับเสี่ยวเฉ่า จึงเอ่ยตอบด้วยความสุภาพ

ชาวบ้านต่างก็บอกคนเมืองแตกต่างจากพวกเรามาก ทั้งสุภาพและรู้กฎเกณฑ์ดี

เซี่ยหนานยิ้ม “คนในหมู่บ้านเป็นคนดีจริง ๆ นะ”

เสี่ยวเถียนกล่าว “แค่คนสอนคนเท่านั้นค่ะ แต่ส่วนใหญ่เป็นคนดี เมื่อก่อนก็มีพวกอาจารย์เสิ่นอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยนะคะ”

เซี่ยหนานพยักหน้า

หลายปีก่อนมีหลายคนที่ต้องมาอยู่ชนบท ไม่ว่าจะชีวิตดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่นั้น ๆ น่ะ

ขอแค่ชาวบ้านมีน้ำใจ ชีวิตคนพวกนั้นก็อยู่รอดต่อไปได้แล้ว

แต่ถ้าเจอะเจอพวกหัวแข็ง ไร้เหตุผลคงบอกได้เลยว่าใช้ชีวิตลำบากขนาดไหน

เลยส่งผลให้หลาย ๆ คนไม่ได้กลับเมืองหลวงได้ในที่สุด

ระหว่างทางเสี่ยวเถียนชี้สิ่งน่าสนใจเมื่อครั้งยังเป็นเด็กให้ดูเยอะแยะเลย

ตอนนั้นเองที่เหลือบไปเห็นหลิวซิ่วอิงเดินเข้ามา

ผ่านไปแค่ไม่กี่ปี อีกฝ่ายดูแก่กว่าคุณย่าซูเสียอีก

ตอนเห็นเสี่ยวเถียน หญิงชราถึงกับกลอกตา

เด็กสาวไม่อยากเสวนาด้วยสักนิด เลยเตรียมตัวกลับทันที

แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเลยรั้งเอาไว้

“ฉันยังคิดอยู่ว่าใคร ที่แท้ก็เสี่ยวเถียนไม่ใช่หรือ?”

เสี่ยวเถียนไม่ตอบ เซี่ยหนานเดาได้เลยว่าต้องเป็นหนึ่งในคนนิสัยไม่ดีแน่ ๆ

“ทำไม? ไปใช้ชีวิตในเมืองหลวงแล้วจำกันไม่ได้เลยหรือไง? น่าสงสารฉันจริง ๆ ที่เอาแต่คิดถึงครอบครัวพวกเธอ!”

ท่าทางของหญิงชราทำอย่างกับว่าเสี่ยวเถียนเป็นคนใจร้าย ไร้หัวใจมาก

เสี่ยวเถียนร้องเหอะ พลันคิดว่าอีกฝ่ายจะฉวยผลประโยชน์ยังไงเสียมากกว่า

แต่เธอไม่ได้พูดออกไป เพราะเสียเวลา

เดี๋ยวจะโมโหเสียเปล่า ๆ

“กลับกันค่ะอาจารย์เซี่ย เริ่มสายแล้ว!”

หลิวซิ่วอิงโดนเมินทันที

เจ้าตัวตะโกนลั่น “มารยาทมันหายไปหมดแล้วหรือไง? ฉันเป็นผู้อาวุโสของแกนะ!”

ผู้อาวุโส?

เสี่ยวเถียนสบถในใจ ไม่เห็นทำสิ่งที่ผู้อาวุโสเขาควรทำเลย กล้าดียังไงมาพูดจาแบบนี้?

หน้าใหญ่เหลือเกินเนอะ?

เด็กสาวเมินเฉย คว้ามือเซี่ยหนานได้ก็เดินดุ่ม ๆ ออกไปเลย

หลิวซิ่วอิงโมโหจัดจนอยากจะพุ่งเข้าไปด่า

เสี่ยวเถียนไม่ได้บอกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร และเซี่ยหนานเองก็ไม่ได้ถาม

ไม่นานพวกเธอก็กลับถึงบ้าน

ตอนนี้เกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว

ภรรยาฉางจิ่วกำลังทำเกี๊ยวอยู่ พอเห็นคนทั้งสองเดินมาจึงวางมันลง

“ป้า หนูกินข้าวเช้าไปเยอะแล้วนะ ตอนนี้ยังอิ่มอยู่เลยค่ะ”

“ลุงหนูบอกเดี๋ยวพอขึ้นรถไปก็ไม่มีของอร่อยแล้ว ต้องกินอร่อย ๆ สิถึงจะดี”

“อุตส่าห์เดินทางมาทั้งที ป้าจะปล่อยให้หิวได้ยังไงล่ะ? ถ้าแพร่งพรายออกไป เขาจะเห็นป้าเป็นตัวอะไรกัน?”

“เกี๊ยวตอนขึ้นรถ บะหมี่ตอนลงรถไง ต้องกินนะ!”

เสี่ยวเถียนรู้เลยว่าตนคงปฏิเสธไม่ได้แล้ว

สุดท้ายก็ต้องกินเกี๊ยวที่ป้าอุตส่าห์ทำให้

เมื่อรถรับส่งเข้าอำเภอมาถึง รอยยิ้มบนหน้าภรรยาฉางจิ่วก็จางหายไปหลายส่วน

ถึงเซี่ยหนานจะสัญญาว่าไม่เอาเสี่ยวเฉ่ากลับ แต่ใจยังคิดว่าลูกสาวไม่ใช่ลูกคนเธอคนเดียว

ต่อไปนี้ลูกสาวจะมีแม่อีกคนแล้ว

พอกลับมาถึง เธอก็พบว่าในบ้านมีของเพิ่มมาหลายอย่างเลย ทั้งยังจัดเรียงไว้เรียบร้อย ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า แล้วก็ของมีค่าอย่างนมผงมอลต์ด้วย

ใต้กระป๋องมีเงินอีกสองร้อยหยวน

“พ่อ เราจะทำยังไงกับมันดี? อาจารย์เซี่ยหนานทิ้งของไว้ให้เพียบเลย มีเงินด้วย” ภรรยาฉางจิ่วเป็นกังวล

“ถ้าเขาให้แล้วก็เก็บไว้เถอะ ที่ไม่ได้บอกคงกลัวเราปฏิเสธไงละ ถ้าทำแบบนี้ก็เอากลับคืนไม่ได้แล้ว” ซูฉางจิ่วเอ่ยเสียงเรียบ

มันคือความรู้สึกขอบคุณของคนเป็นแม่ ถ้าไม่รีบให้ไว้อาจารย์อาจจะเสียใจกว่าเก่าก็ได้

ภรรยาฉางจิ่วทำได้แค่ยอมรับเอาไว้ พวกเสื้อผ้าเหมือนจะเป็นของพวกเขาสองคนนะ

“เราเก็บไว้เป็นสินสอดเสี่ยวเฉ่าไหม?”

“ถ้าเธอว่างั้นก็ได้อยู่แล้ว พวกเราตั้งใจทำงานแล้วก็ประหยัดเงินหน่อยเถอะ ไว้ลูกแต่งงานค่อยซื้อจักรยานให้สักคัน”

“ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้ใช้สินสอดเป็นโทรทัศน์กันด้วยนะ!”

ซูฉางจิ่วมอง “คงทำไม่ได้หรอก”

“แพงมากเลยหรือ?”

“แพงอยู่ เครื่องละสามร้อยห้าสิบหยวนน่ะ ถ้าตั้งใจเก็บเงินก็ซื้อไว้ แต่ปัญหาคือเราซื้อไม่ได้น่ะ”

“บ้านซูมีอยู่เครื่องหนึ่ง ฉันได้ยินว่าเสี่ยวซื่อได้มาจากทางใต้นู่น”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอก็รู้สึกว่าไร้ความหวัง

แต่หลังจากนั้นภรรยาฉางจิ่วกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

“ให้จู้จื่อช่วยไหม อาจจะทำได้นะ?” แววตาเธอเป็นประกาย

ซูฉางจิ่วได้ฟังจึงเห็นด้วย

“ไว้กลับไปค่อยถามเขาแล้วกัน เผื่อมีหนทาง”

ลูกสาวทำงานในเมือง กับเงินที่แม่แท้ ๆ ทิ้งไว้ให้อีกสองร้อย เมื่อรวมกับเงินค่าจักรยานที่เก็บเอาไว้แค่นี้คงพอแล้ว

ทางฝั่งเสี่ยวเถียนหอบของพะรุงพะรังขึ้นรถ

บนรถคนเยอะมาก เหลือที่ว่างอยู่สองที่ท้ายแถว

ด้วยความที่เส้นทางเป็นหลุมเป็นบ่อ กอปรกับคนเยอะเลยทำให้เซี่ยหนานเริ่มเมารถ

โชคดีที่มาถึงตัวอำเภอแล้ว

เจ้าตัวลงจากรถด้วยใบหน้าซีดเผือด หมดแรงจะกินข้าวต้มด้วยซ้ำ

รอบรถไฟคือหกโมงเย็น เหลือเวลาอีกสามชั่วโมง เสี่ยวเถียนเห็นสภาพของเซี่ยหนานจึงรู้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ไหวจริง ๆ

“อาจารย์เซี่ย ในอำเภอมีบ้านอาหนูอยู่ค่ะ ไปพักที่นั่นกัน”

เซี่ยหนานพยักหน้ารับ

จากนั้นก็พากันไปร้านของภรรยาหลี่จู้จื่อ

ตอนแรกมันยังเป็นร้านเล็ก ๆ อยู่เลย แต่ในตอนนี้อาสะใภ้สี่ได้ซื้อร้านข้าง ๆ ไว้ขยายร้านใหญ่มาก

ท่านกับแม่รองมีความคิดต่างกันตรงที่แม่รองเปิดสี่สาขาแต่ร้านไม่ใหญ่ ส่วนอาสะใภ้สี่เปิดร้านเดียว แต่ขนาดใหญ่มาก

——————————————————-