บทที่ 984 โล่งใจ

ชายคนนั้นส่งเด็กให้หญิงวัยกลางคน

ด้วยความที่ยืนใกล้ประตูที่สุด ตนตั้งใจว่าจะลงทันทีที่ประตูเปิดออก

แม้จะยังทำข้อตกลงไม่เสร็จ แต่หากภูเขายังคงเขียวขจี ก็อย่าได้กลัวไม่มีฟืนให้เผา*[1]

พวกเขาต้องถอยออกมาก่อนเพื่อความปลอดภัย เพราะยังคงมีโอกาสหน้า

ส่วนฝ่ายชายได้ตัดสินใจจะแย่งเด็กกลับมาแล้ว เขาคาดหวังมากเลยว่าจะเอาตัวเด็กกลับมาได้

พอรถไฟจอดสนิทเจ้าหน้าที่ผู้หญิงก็เดินเข้ามา

เธอแปลกใจที่ได้ยินความโกลาหลของตู้นี้ แม้จะอยากแทรกตัวเข้าไป แต่แรงไม่มากพอ

ส่งผลให้ประตูเปิดช้าตามไปด้วย

โชคดีที่รถไฟจอดที่สถานีนานถึงหกนาที

คนบางส่วนเห็นว่าคงไปไม่ได้เลยหาประตูอื่นแทน

บางคนที่ไม่ได้รีบร้อนก็ยืนดูสถานการณ์ต่อ

ฝ่ายชายพุ่งเข้าไปหาหมายจะคว้าเด็ก และในขณะเดียวกันก็เตะเสี่ยวเถียนเด็กจอมจุ้นไปด้วย

แต่จังหวะที่เคลื่อนเข้าใกล้ เสี่ยวเถียนตวัดขาเสียก่อน

เธอฝึกมาแต่เด็ก ต่อให้เป็นผู้หญิงก็ยังแข็งแกร่งกว่า

แค่ลูกเตะครั้งเดียวก็ทำชายคนนั้นล้มทันที

ทั้งยังเกือบชนคนรอบ ๆ แล้วด้วยซ้ำ

หญิงวัยกลางคนไม่คิดว่าเสี่ยวเถียนจะแรงเยอะขนาดนี้

เธอคิดจะวิ่งหนี

ยังไงก็อุ้มเด็กอีกคนอยู่ เธอยังทำกำไรได้

แต่เสี่ยวเถียนจะปล่อยไปง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ?

เจ้าตัวพุ่งเข้าไปแย่งเด็กกลับคืน

คนรอบข้างตื่นตกใจ

เด็กสาวแรงเยอะขนาดนี้เลยหรือ? หรือผู้ใหญ่สองคนนี้ไร้ประโยชน์เอง?

เสี่ยวเถียนอุ้มเด็กด้วยสองมือ

บอกตรง ๆ ว่าหนัก

แต่เธอไม่สะดวกจะให้ใครอุ้มแทนทั้งนั้นจึงทนเอาไว้

ผู้โดยสารเริ่มสงสัยกันแล้ว

พวกเขาคิดว่าเสี่ยวเถียนต่างหากที่เป็นคนมาจับกลุ่มค้ามนุษย์

เด็กสาววานหญิงชราช่วยเอาผ้าออกจากตัวเด็ก

เด็กน้อยหลับสนิท เหงื่อท่วมตัว

หน้าตาไม่เหมือนกันเลย น่าจะมาจากคนละครอบครัว

เสี่ยวเถียนร้องเหอะ “พวกแกคิดว่าตัวเองเก่งถึงขนาดคลอดลูกให้หน้าต่างกันขนาดนี้ได้ในปีเดียวเลยหรือ?”

หญิงชราที่ให้ความช่วยเหลือรู้ได้ในทันทีเช่นกัน

ตอนนั้นเองที่ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมา

“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ทั้งสามคนนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าเจ้าหน้าที่จะมาถึง”

ทุกคนล้วนเห็นพ้องต้องกัน

คนอื่น ๆ เข้ามาขวางกันไว้

ทำให้เจ้าหน้าที่เดินเข้ามาได้ในที่สุด

เธอรับรู้ได้ทันทีว่าหนึ่งในกลุ่มผู้โดยสารมีพวกค้ามนุษย์

ถ้าเป็นแบบนั้นประตูจะไม่สามารถเปิดได้

เกิดพวกมันหนีลงไปจะทำยังไง?

แต่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ หากไม่เปิดประตูให้ตนจะถูกลงโทษ

“เรียนผู้โดยสารทุกท่าน ด้วยเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้น ทางเราจึงไม่สามารถเปิดประตูได้ในขณะนี้ รบกวนทุกท่านลงจากตู้ด้านหน้าหรือตู้ด้านหลังแทนนะคะ” เจ้าหน้าที่บอกผู้โดยสารที่จะลงสถานีนี้

การสื่อสารเป็นทางเลือกที่สุดที่สุดแล้ว หากไม่สำเร็จก็ต้องเสี่ยงเปิดประตู

โชคดีที่คนส่วนใหญ่รู้ความ และบางคนก็ไม่อยากโดนเอี่ยวจึงยอมทำตามที่เจ้าหน้าที่ร้องขอ

ไม่นานคนส่วนใหญ่ก็ทยอยกันลงไป เหลือสามคนตรงหน้าที่โดนคนที่เหลือล้อมเอาไว้

เสี่ยวเถียนอุ้มเด็ก ๆ ด้วยท่าทีสงบ ระมัดระวังมากว่าจะเผลอทำเด็กตก

ส่วนอีกสองคนกำลังหาทางหนีทีไล่

แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถหาเหตุผลขอแยกตัวออกมาก่อนได้

คนสมัยนี้ให้ความช่วยเหลือได้ดีกว่าคนยุคหลัง ๆ อีกนะ

พวกเขาจับตามองอย่างใกล้ชิด และพยายามปิดล้อมเอาไว้

ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีบางคนอาสาไปแจ้งตำรวจมาด้วย

สุดท้ายทุกคนก็กระจ่าง ในบรรดาคนทั้งสาม เสี่ยวเถียนเป็นคนดี

มีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณมากนะสาวน้อย เจ้าพวกคนเลวมันเกือบพาเด็กไปแล้ว”

เสี่ยวเถียนแย้มยิ้มบาง ไม่ได้พูดอะไร

สองชายหญิงยืนรอทั้งที่เหงื่ออาบท่วมร่าง

ทำยังไงกันดี? ถ้าตำรวจมาเราไปไหนไม่ได้แน่ ๆ

พวกเขาขยิบตาหมายจะหนี

แต่คนที่จับตามองมีหรือจะปล่อยไปได้ง่าย?

ตอนนั้นไม่รู้ใครถือเชือกออกมา

เมื่อเห็นคนร้ายคิดหนีเลยมัดพวกเขาเอาไว้

สองชายหญิงไม่คิดเลยว่าวันนี้จะทำพลาดเสียแล้ว

พวกเขาเคยก่อเรื่องมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยโดนจับได้มาก่อน

แล้วไอ้เด็กบ้านี่มันมาจากไหน?

ทว่ายังไม่ทันได้รู้คำตอบ ตำรวจก็กำลังวิ่งเหยาะ ๆ มาหาแล้ว

อุณหภูมิบนรถไฟสูงขึ้นหรือเขาเพิ่งวิ่งมานะ ถึงได้เหงื่อแตกขนาดนี้

คนโดนมัดเห็นตำรวจจึงถือโอกาสตะโกนพูดก่อน

“คุณตำรวจมาแล้ว พวกคุณต้องช่วยพวกเราตัดสินใจนะ เด็กคนนี้รังแกพวกเรา”

“พวกเราเป็นคนดีนะ เป็นครอบครัวชาวนาไม่เคยทำเรื่องชั่วร้าย แล้วทำไมต้องขโมยลูกเราไปด้วยล่ะ?”

“คุณตำรวจ ไอ้เด็กบ้านี่มันหลอกล่อคนอื่นเก่งมากเลย ไม่ใช่แค่เอาลูกเราไปนะ แต่ยังบอกให้คนอื่นมามัดเราไว้อีก”

ทั้งสองคนแย่งกันพูดเสียงดังลั่น

ตอนนั้นเองที่รถไฟเริ่มออกตัวช้า ๆ

ความผิดหวังแวบเข้ามาในแววตาสองคู่นั้น หมดหนทางหนีแล้ว สถานีถัดไปอยู่ห่างไปเกือบสองชั่วโมง พวกเราจะทำยังไงกันดี?

ส่วนซูเสี่ยวเถียนไม่พูดอะไร เธออุ้มเด็กไว้แน่นกระทั่งรถไฟออกตัว สุดท้ายถึงค่อยโล่งอก

ตำรวจมองทั้งสามคนก่อนจะสอบถามเจ้าหน้าที่บนรถไฟ

[1] หากภูเขายังคงเขียวขจี ก็อย่าได้กลัวไม่มีฟืนให้เผา เปรียบว่าหากได้ริเริ่มสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว หรือมีมันอยู่แต่เดิม ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะล้มเหลว