บทที่ 1091 ไล่ตบตี

บทที่ 1091 ไล่ตบตี

“ฉันคิดแบบนี้ค่ะน้าเซี่ย”

ทุกคนมองเจ้าตัวด้วยความสงสัย

“คุณก็เห็นว่าพวกเราช่วยกันเลี้ยงเสี่ยวเฉ่ามาจนเติบใหญ่ ได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย บุญคุณที่ว่านี้คงไม่ลืมหรอกเนอะ?”

เซี่ยหนานหาเหตุผลมาปฏิเสธไม่ได้เลย

เธอพยักหน้า “เธอพูดถูกแล้วละ ฉันจำได้ค่ะ”

จูหลานฮวาและซูฉางจิ่วก็จำได้เหมือนกัน

แต่เถียนเสี่ยวเหอไม่รู้ว่ายังมีข้อมูลอื่นอีก แต่ต่อให้รู้ก็คงไม่สนใจด้วยซ้ำ

พ่อแม่สามีเป็นคนของเธอ ไม่ว่าเธอหรืออีกคนทั้งสองคิดย่อมไม่ต่างกันอยู่แล้ว

“คุณน้าคงมีหน้ามีตาอยู่ในเมืองหลวงสินะคะ? ตอนนี้เราเองก็ถือว่าเป็นญาติกันแล้ว คงไม่ปล่อยให้เราลำบากใช่ไหม?”

“ฉันไม่ถือว่ามีหน้ามีแต่หรอก แค่คนธรรมดาทั่วไปนี่ละ” เซี่ยหนานรีบตอบ

“แต่ถึงยังไงก็มาจากเมืองหลวงนี่คะ แค่อยากถามว่าช่วยหางานในเมืองหลวงให้ได้ไหม?”

“ฉันไม่ใช่คนพูดอะไรยาก เงื่อนไขไม่ได้มากมาย ขอนั่งอยู่ในห้องทำงาน งานน้อย ๆ แต่ได้เงินเยอะแบบนี้น่ะค่ะ”

“และจะดีมากถ้าเตรียมบ้านไว้ให้ด้วย ได้ยินว่าบ้านในเมืองหลวงได้รับการจัดสรรมาให้ ขอบ้านแบบสามห้องนอนไม่ต้องใหญ่มาก ว่ากันง่าย ๆ เลย ไม่เรื่องเยอะด้วย”

ยิ่งพูดเท่าไร เจ้าตัวก็ยิ่งคิดว่าสิ่งที่พูดมันน่าฟังมากขึ้นเท่านั้น ไม่ได้ทราบเลยว่าฝ่ายคนฟังตกใจไปถึงไหนแล้ว

เพราะไม่คิดว่ากล้าพูดออกมาได้หน้าด้าน ๆ แบบนี้

จูหลานฮวาโกรธจนตัวสั่น มันใช่สิ่งที่คนเขาพูดกันหรือไง?

อยากได้งานที่ไม่ต้องลงแรงมาก แต่ได้เงินเยอะ

บนโลกใบนี้มันมีอะไรสวยงามขนาดนั้นเชียวหรือ?

ขนาดเราทำงานหาเงินในเมืองหลวงได้ ยังลำบากแทบตายเลย!

แล้วจะไปมีของที่ได้อะไรมาง่าย ๆ ด้วยหรือ?

ไหนจะไอ้บ้านสามห้องนอนนั่นอีก คิดว่างานการมันร่วงลงมาจากฟ้าเรอะ หรือคิดว่าเมืองหลวงมีบ้านเยอะจนแจกจ่ายให้หมาให้แมวแบบนี้อยู่ได้?

ซูเสี่ยวเถียนอ้าปากค้าง

พรสวรรค์ชัด ๆ กล้าคิดได้ยังไง!

เซี่ยหนานตอบไม่ถูกเลย คิดว่าตัวเองประสาทหลอน มันจะไปมีคนพูดจาแบบนี้อยู่ได้ยังไงกัน?

แล้วเถียนเสี่ยวเหอคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้ขออะไรแบบนี้ออกมา?

เหมือนเจ้าตัวจะไม่สังเกตเห็นว่าทุกคนมองด้วยสายตาผิดปกติ บางทีอาจจะเห็นแต่ชิน จึงไม่คิดว่ามันมีอะไร

เลยเป็นเหตุผลให้กล้าพูดต่อ

“คุณน้าเซี่ยก็รู้จักซูเสี่ยวเถียนนี่ ครอบครัวเธอเดินทางไปเมืองหลวงอยู่กันสุขสบาย ฉันจะบอกอะไรให้นะคะ เมื่อก่อนพวกเขาลำบากกว่าบ้านเราอีก ถ้าบ้านเราได้ไปบ้างก็คงดีไม่ต่างกันหรอกค่ะ”

“ฉันไม่ได้ขออะไรเยอะเกินไปเลยนะ ขออยู่ดีกินดีแบบพวกเขาก็พอ”

เถียนเสี่ยวเหอรู้ว่าครอบครัวของซูเสี่ยวเถียนสุขสบายเท่านั้น ไม่ได้รู้เรื่องอื่นเลย

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเซี่ยหนานจะไม่รู้เสียหน่อย

ตระกูลซูถือว่าไม่ได้ดีในเมืองหลวงนะ นั่นเป็นวิถีชีวิตของพวกชนชั้นสูงน่ะ

ความเข้าใจของเถียนเสี่ยวเหอไม่มากพอจริง ๆ!

สาวเจ้าพูดพล่ามอยู่นาน พอเห็นไม่มีใครตอบกลับพลันอารมณ์ไม่ดีเท่าไร

รอยยิ้มบนใบหน้าค่อย ๆ จางลง สายตามองเซี่ยหนาน “สรุปแล้วคุณเป็นหนี้บุญคุณบ้านเรา แล้วคำขอของฉันก็ไม่ได้มากมายอะไรด้วย!”

สิ้นประโยค จูหลานฮวาก็ทนไม่ไหวจนใช้ไม้ปัดขนไก่ฟาดใส่หน้าทันที

“ไอ้อีตัวไหนมันให้ความมั่นใจแกพูดจาหน้าด้าน ๆ ออกมาแบบนี้? คิดว่าตัวเองเป็นใคร? ฉันกับพ่อผัวแกเลี้ยงเสี่ยวเฉ่ามาเอง แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับนังหน้าด้านแบบแกไม่ทราบ? ยายแก่จะบอกอะไรให้นะ ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็รีบไสหัวกลับบ้านแม่แกไปไว ๆ ซะ!”

เถียนเสี่ยวเหอที่กำลังเพ้อฝันรีบหลบไม้ปัดขนไก่ทันทีแต่ก็ยังไม่ทัน

มันไม่ได้ฟาดเข้าหัวแต่โดนที่ไหล่แทน

เจ้าตัวรีบผุดลุกขึ้น “แล้วจะมาตีฉันทำไม? ไม่อยากเห็นฉันได้ดีสินะ!”

คำพูดมันไม่ได้มีพิษสงอะไรหรอก แต่สีหน้าท่าทางมันทำให้คนไม่กล้ามองมากกว่า ใบหน้างดงามในตอนนี้น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก

พอเห็นลูกสะใภ้หนีออกไปที่ประตู จูหลานฮวาก็ลงจากเตียงมาใส่รองเท้า แล้วรีบพุ่งตามไปทันที

ฝั่งสะใภ้ที่ตอบสนองได้แล้วจะรอให้โดนตีเพื่อ?

เจ้าตัววิ่งออกมาลานบ้านได้ไม่กี่ก้าว ก็รีบแหกปากลั่น

“ช่วยด้วย แม่ผัวจะตีลูกสะใภ้แล้ว ตอนนี้อยู่ในสังคมใหม่แล้วแท้ ๆ ทำไมแม่ผัวถึงทำตัวเผด็จการเอาแต่ใจและไร้เหตุผลแบบนี้ด้วย พระผู้เป็นเจ้า ทำไมชีวิตฉันถึงน่าสังเวชขนาดนี้?”

“แต่งงานมาตั้งหลายปี หลานชายก็มีให้ ยังโดนโมโหโดนตบตีใส่อยู่เลย ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ตีให้ตาย ๆ ไปเลย เอาเลยซี!”

แม้เถียนเสี่ยวเหอจะพูดแบบนั้นแต่ยังสับเท้าหนีอย่างไว

จูหลานฮวายังมีเรี่ยวแรงอยู่ ยิ่งได้เห็นพฤติกรรมชั่ว ๆ ของลูกสะใภ้ยิ่งไล่ตามไปพร้อมกับไม้ในมือ

ไม่สนใจที่ต้องเสียหน้าด้วยซ้ำ

ที่ห้องหลัก ซูฉางจิ่วกำลังคุยเรื่องทำมาค้าขายกับซูเสี่ยวซื่ออยู่ ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงเถียนเสี่ยวเหอคร่ำครวญอยู่ในลานบ้านจึงรีบออกไปดู

แต่ภาพที่เห็นคือทั้งสองวิ่งตามกันออกไป

“ใครก็ได้ช่วยด้วยค่า แม่ผัวจะตบลูกสะใภ้จนตายแล้ว มีใครเห็นแม่ผัวใจเหี้ยมแบบนี้บ้างไหม?”

เสียงของหญิงสาวดังลั่นราวกับกลัวชาวบ้านไม่ได้ยิน

จูหลานฮวาได้ฟังก็ยิ่งโกรธ

ตนเป็นคนดีมาก ไม่งั้นคงไม่ทำให้เถียนเสี่ยวเหอนิสัยเสียจนกลายเป็นพวกหน้าด้านแบบนี้หรอก

แถมสามีก็ถือเป็นคนมีหน้ามีตา และคิดว่าเขาคงไม่อยากเสียหน้าเลยปิดตาข้างเดียวกับการกระทำของสะใภ้ นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยที่ลงมือกับสะใภ้

แล้วตอนนี้ก็โดนมันฉีกหน้า ตนไม่ใช่พวกยอมเสียเปรียบหรอกนะ

“แกหยุดเดี๋ยวนี้นะ วันนี้ฉันจะพาแกกลับไปหาพ่อแม่ ไปถามซิว่าคลอดนังหน้าด้านแบบแกออกมาได้ยังไง?”

จูหลานฮวาวิ่งไล่ตาม ไวจนเซี่ยหนานและซูเสี่ยวเถียนไม่รู้เลยว่ามันเร็วขนาดนั้นได้ยังไง

และตอนนี้เราก็ทิ้งห่างพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

ทั้งซูฉางจิ่วและซูเสี่ยวซื่อต่างก็วิ่งไล่ตามจนนำหน้าหญิงทั้งสองไป

ฝ่ายซูผิงอันรอข่าวจากภรรยา

เธอเล่าความคิดให้ฟัง ตนก็อยากสุขสบายอยู่ที่เมืองหลวงด้วยเลยตอบตกลง

แต่ไม่อยากออกหน้าสร้างปัญหา เลยให้ภรรยาที่ไม่กลัวอะไรไปแทน ส่วนเราก็ไหลตามน้ำเอา

ซูผิงอันวางแผนดี เขาคิดว่าเซี่ยหนานคงเห็นด้วยแน่ เพราะเขาติดหนี้บุญคุณเราเรื่องเสี่ยวเฉ่า จำต้องตอบแทนกลับมาเท่านั้น

ตอนนั้นเองที่เห็นแม่ไล่ตามภรรยามา

ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ทิ่มแทงใจ ซูผิงอันก็นึกกลัวแล้วว่าภรรยาจะได้รับบทเรียนอันเลวร้ายจากแม่หรือเปล่า

ด้วยความกลัวเธอเสียเปรียบ เลยรีบเข้าไปปกป้องทันที