บทที่ 1154 ความคิดถึง

ในฐานะคนได้กลับมาเกิดใหม่ เธอจะไม่รู้ได้ยังไงว่ามันจะกลายเป็นอาหารยอดนิยมในอีกสิบปีข้างหน้า

โรงงานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขนาดใหญ่จะทำเงินได้มหาศาล

ขอแค่สร้างขึ้นและจัดการอย่างระมัดระวัง ยังไงก็หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำอยู่ดี

“ตาแหลมมากเลย”

“แค่ลองน่ะ”

ซูเสี่ยวเถียนวางแผนงานไว้บนโต๊ะ ก่อนรินน้ำให้เพื่อน

“ชื่อโรงงานคือหมู่บ้านหนานหลิ่งหรือ เธอจะเปิดเพิ่มอีกแห่งหรือ?”

ชื่อค่อนข้างดูดีนะ

แต่ตระกูลซูย้ายมาเมืองหลวงแล้วเนี่ยสิ เสี่ยวเถียนก็มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ว่ากันตามหลักแล้วตั้งในเมืองหลวงเหมาะกว่านะ

ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้า

“ก็จริงนะ แต่หนานหลิ่งเป็นบ้านเกิดเราน่ะ ปู่บอกว่าไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็อย่าลืมรากเหง้าตัวเอง”

“หลายปีมานี้ฉันเห็นปู่ย่าคิดถึงบ้านเกิดตลอด แต่ถ้าให้กลับไปกันสองคนก็ไม่วางใจอีก”

“เลยคิดว่าถ้าทำให้คนในหมู่บ้านมีชีวิตที่ดีได้ ปู่ย่าจะได้มีชีวิตมั่นคงขึ้นสักหน่อย”

เธอได้ยินพวกท่านพูดถึงสมัยที่ยังลำบากในหมู่บ้าน

แต่ความจริงคือชีวิตในหนานหลิ่งตอนนี้ดีกว่าหมู่บ้านโดยรอบมาก

เพราะมีฟาร์มเพาะพันธุ์และโรงงานแปรรูปอาหาร หมู่บ้านร่ำรวยได้เพราะคนงานได้เงินเดือนน่ะ

ไม่เหมือนกับคนในหมู่บ้านอื่น ๆ

“ไม่แปลกใจที่ปู่ย่ารักเธอขนาดนี้ กตัญญูมากเลยนะ ซื่อเลี่ยงยังคิดไม่ได้ขนาดนี้เลย” หลี่เจี้ยนหงทอดถอนใจ

เขาเป็นจิตรกร ไม่มีทางนึกเรื่องแบบนี้ได้หรอก

ซูเสี่ยวเถียนรีบเอ่ย “ไว้รอว่าที่พี่สะใภ้แต่งเข้าบ้านเมื่อไรก็ช่วยพี่รองคิดแล้วกันนะ”

หลี่เจี้ยนหงหน้าแดง

ต่อให้เราคุยกันแล้ว ผู้ใหญ่รู้แล้วแต่เธอยังเขินอยู่ดีเวลาพูดออกมาโต้ง ๆ แบบนี้

“พูดไปเรื่อยเลยนะ”

หญิงสาวว่าจบก็ไม่พูดอะไรต่อ

“ก็จริง ๆ ฉันผิดเองเข้าใจไหม?” ซูเสี่ยวเถียนแสร้งทำเป็นรับผิดแล้วเอ่ยขอโทษ

จากนั้นก็หัวเราะกันครืน

คุณปู่คุณย่าซูได้ยิน พวกท่านก็แย้มยิ้มออกมา

“เวลาเด็ก ๆ อยู่ด้วยกันถึงจะมีความสุขเนอะ” หญิงชราว่า

ว่าไป หลานสาวเธอฉลาดมากเลย ไม่ว่าจะทำอะไรมักนำหน้าคนรุ่นเดียวกันเสมอ จึงไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันเลย

ไม่แปลกที่เธอจะโดดเดี่ยวขนาดนี้!

“ส่วนเจ้าเหลือขอเสี่ยวปาเสี่ยวจิ่วไม่รู้ยุ่งอะไรนัก บ้านช่องไม่กลับ ถ้าตอนนี้อยู่ด้วยจะได้คุยกับน้องมันบ้าง”

คุณย่าชอบใจที่สามีพูดมาก

เจ้าสองคนนั้นอายุไล่ ๆ กับเสี่ยวเถียนเลย ไปโรงเรียนด้วยกันตลอด

ตอนนั้นเห็นรักน้องนักหนา ตอนนี้ไม่เห็นหัวสักคน

คุณปู่ลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้บอกเอาไว้ว่า เด็ก ๆ มีชีวิตเป็นของตัวเอง

ซูเสี่ยวปาและซูเสี่ยวจิ่วเองก็เริ่มฝึกงานแล้ว

ซูเสี่ยวจิ่วเรียนแพทย์ เขาคิดว่าตัวเองเรียนเก่งแล้ว ถ้าได้ทำงานในโรงพยาบาลคงได้เป็นหมอที่ดีแน่

แต่พอได้ไปจริง ๆ กลับพบช่องว่างขนาดใหญ่ เก่งแต่ทฤษฎี

เขาตระหนักได้ถึงข้อบกพร่องของตนเองจึงใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลทั้งวัน หวังว่าจะใช้เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อหาประสบการณ์และความรู้เพิ่มเติม

เขาคิดว่าต้องเรียนต่อด้วย เส้นทางแพทย์ไม่ได้ง่ายนัก ต้องเรียนรู้และเรียนอย่างต่อเนื่อง!

ส่วนซูเสี่ยวปาเรียนกฎหมาย ตอนนี้ระบบกฎหมายบ้านเรายังไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งคนก็ไม่ค่อยตระหนักรู้กันเท่าไร

เขาเลยต้องเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกลเพื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับกฎหมาย

ส่วนใหญ่จะเป็นที่ซึ่งสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่และล้าหลัง ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย

แต่เขาไม่มีข้อแย้งเรื่องนี้

กลับรู้สึกว่าเจอหนทางสำหรับความพยายามของตัวเองแล้ว

สองสาวหัวเราะเสร็จก็จำได้ว่านัดกับเฉียนเสี่ยวเป่ยไว้ด้วย

“จากเวลาเสี่ยวเป่ยน่าจะใกล้มาถึงแล้วนะ”

หลี่เจี้ยนหงมองนาฬิกาบนข้อมือ

มันคือนาฬิกายี่ห้อ Titoni ถ้าเป็นสมัยเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเธอไม่กล้าซื้อนะ

แต่ตอนนี้มีเงิน อนาคตมั่นคงเลยยินดีซื้อใส่

“ตั้งแต่ฝึกงานก็ไม่ได้เจอกันเลย ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง!”

“เธองานยุ่งนี่ ส่วนคนอื่นฉันได้เจอมาบ้างนะ ก็สบายดี เทียบกับตอนเรียนแล้วไม่ได้ต่างเท่าไร!”

พอเข้าสู่สังคมแล้วก็เติบโตไวขึ้น แค่ช่วงเวลาอันสั้นก็ได้สลัดความเป็นเด็กและเติบโตเป็นผู้ใหญ่

“หลังจากนี้คงมีเวลาเจอกันน้อยลงแล้ว!” ซูเสี่ยวเถียนถอนหายใจ

ตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็อยากเรียนจบไว ๆ

แต่พอจบจริงดันไม่อยากจากไปอีก

แต่เรายังไม่จบเพราะฝึกงานกันอยู่ พอรับปริญญาแล้วก็ต้องแยกย้ายกันไป ไม่รู้จะได้เจออีกเมื่อไรด้วย

“ก็จริงนะ ตอนเข้าเรียนแรก ๆ เหมือนเพิ่งเมื่อวานเองพริบตาเดียวก็จบแล้ว เวลาผ่านไปไวจัง”

จู่ ๆ หลี่เจี้ยนหงก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“เสี่ยวเถียน เธอจำอิ่นหรูอวิ๋นได้ไหม”

คนที่ไม่ลงรอยกับพวกเราน่ะ

แค่นึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่าย เจ้าตัวก็เศร้าใจ

“จำได้สิ เคยเจอบนรถไฟครั้งหนึ่งน่ะ!”

“ก่อนหน้านี้ฉันเจอครอบครัวของเธอด้วยนะ”

“รู้ได้ยังไงหรือ?” ซูเสี่ยวเถียนสงสัย

“ตอนนั้นฉันติดตามผู้นำของสมาพันธ์สตรีไปศึกษาดูงานน่ะ แล้วก็บังเอิญเจอผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอาละวาดในสำนักงาน”

“หน้าตาเหมือนอิ่นหรูอวิ๋นประมาณหนึ่งน่ะ แต่แก่กว่า แล้วก็เอาแต่พูดชื่ออิ่นหรูอวิ๋นด้วย”

“หลังฝ่ายนั้นจากไป เธอก็ไปสอบถามเจ้าหน้าที่มาได้ความว่า เธอเป็นแม่ของอิ่นหรูอวิ๋น ไม่แปลกใจที่เจ้าตัวชีวิตทนทุกข์ แม่เขาเป็นเอามากเลย”

ซูเสี่ยวเถียนอดสงสัยไม่ได้ หลี่เจี้ยนหงเจอเรื่องแบบไหนมาถึงขนาดพูดแบบนี้ออกมาได้

“เป็นเอามากยังไงหรือ?”