WSSTH ตอนที่ 2735 : องค์ชาย 7 หลงฉิงอวิ๋น!

“ข้าเคยได้ยินเรื่องนางมาบ้าง”

ได้ยินคำพูดของ หลงเฟยอวิ๋น องค์ชาย 13 ต้วนหลิงเทียนเอ่ยต่อว่า “นางเป็นคุณหนู 3 ของสกุลโจว พี่สาวของ โจวชู่ตง คุณหนู 4 สกุลโจว…แต่ไม่ใช่ว่านางออกเดินทางไปพร้อมกับอาจารย์เมื่อไม่กี่ปีก่อนหรือ?”

ไม่กี่วันก่อน ตอนที่ไปนั่งหาข่าวในเหลาอาหาร ต้วนหลิงเทียนก็เคยได้ยินเรื่องราวของคุณหนู 3 สกุลโจว โจวฉู่ชิง มาบ้าง และได้รู้ว่าอีกฝ่ายคืออัจฉริยะในรอบพันปีของประเทศเถิงหลง และถูกอดีตประมุขรุ่นก่อนของนิกายอมตะเชียนจีรับไปเป็นศิษย์

เมื่ออายุได้ร้อยปีเศษ ด่านพลังฝึกปรือของนางก็สามารถบรรลุถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียนได้แล้ว

และบัดนี้นางก็ได้บรรลุด่านพลังยอดเซียนอมตะเรียบร้อย ที่สำคัญยังไม่ใช่ยอดเซียนอมตะธรรมดาๆ

ด้วยความที่อาจารย์ของนาง หรืออดีตประมุขนิกายอมตะเชียนจีตอนนี้ก็ได้วางมือจากเรื่องราวภายในนิกาย และถอยไปอยู่เบื้องหลัง ทำให้ศิษย์พี่ของนางก็ได้กลายเป็นประมุขนิกายที่มีอำนาจที่สุด!

ตอนที่ได้ยินเรื่องราวของโจวฉู่ชิวครั้งแรก ต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกหวั่นเกรงนางไม่น้อย

อย่างไรก็ตามพอหลังจากนั้นเขาได้ยินว่า นางได้ติดตามอาจารย์ของนางออกเดินทางไกล ก็เลยไม่ได้คิดสนใจอะไรนางอีก

เพราะสุดท้ายแล้วกว่าโจวฉู่ชิงจะกลับมา เผลอๆเขาคงออกจากประเทศอมตะเถิงหลงแห่งนี้ หรือกระทั่งออกจากพื้นที่แดนร้างไปแล้วก็เป็นได้

“นางออกเดินทางไปนอกแดนร้างจริงๆ”

หลงเฟยอวิ๋นกล่าวตอบ “แต่ครึ่งเดือนก่อนนางพึ่งกลับมาถึง…เท่าที่ข้ารู้ เรื่องนี้น่าจะเป็นเพราะการประลองครั้งใหญ่ในแดนร้าง ข้ารู้สึกได้ว่าการประลองใหญ่คราวนี้ 3 นิกายอมตะใหญ่ทั้ง 3 ต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างแน่…”

“เพราะการประลองใหญ่เช่นนี้ 3 นิกายอมตะไม่ได้พึ่งจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรก…ทว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกมันกำหนดเงื่อนไขของผู้เข้าร่วมการประลอง ว่าต้องมีอายุไม่เกิน 100 ปี…”

“ทำให้ข้ารู้สึกมาโดยตลอด…ว่างานประลองใหญ่ครานี้มิได้ง่ายดายอย่างที่ตาเห็น”

หลงเฟยอวิ๋นกล่าวออกมารวดเดียวจบ

“หืม? ก่อนหน้านี้…การประลองใหญ่ที่แดนร้างไม่มีจำกัดอายุ?”

ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้น

“ไม่มี”

หลงเฟยอวิ๋นส่ายหน้าไปมา “ในการประลองใหญ่แดนร้างครั้งที่แล้ว ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ช่าง ขอเพียงมีพลังฝีมือสูงพอก็สามารถเข้าร่วมการประลองได้ และตราบใดที่สร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นก็สามารถเข้าร่วม 3 นิกายอมตะใหญ่ในแดนร้างในฐานะศิษย์สายนอกได้…และใน 3 นิกายอมตะใหญ่ทั้ง 3 ศิษย์สายนอกบางคนจะมีอายุหลายพันปี หรือเกือบหมื่นปีก็มีไม่นับว่าแปลกอะไร…”

“แต่ศิษย์นอกทุกคน หากอายุครบหมื่นปีแล้วแต่ไม่อาจผ่านการทดสอบเข้าเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการได้ ก็จะถูกนิกายขับออกทันที”

หลงเฟยอวิ๋นกล่าวต่อ

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวย้อนไปเรื่องเก่า “ในเมื่อโจวฉู่ชิงกลับมาแล้วแบบนี้ เช่นนั้นข้ากับสหายก็คงต้องไปรบกวนวังองค์ชาย 13 แล้ว”

โจวฉู่ชิง ไม่ได้รับมือง่ายอย่างองค์ชาย 4 ลูกพี่ลูกน้องของโจวชู่ติง

นั่นเพราะโจวฉู่ชิงเป็นถึงศิษย์ปิดสำนักของอดีตประมุขนิกายอมตะเชียนจี และเป็นศิษย์น้องหญิงคนเล็กของประมุขในปัจจุบัน!

หากนางคิดมาหาเรื่องเขาจริง เขากับฮ่วนเอ๋อก็ตกอยู่ในอันตรายครั้งใหญ่

แต่หากเข้าไปพักอยู่ในวังขององค์ชาย 13 ล่ะก็ อย่างน้อยๆก็ลดความเสี่ยงไปได้เปราะหนึ่ง เพราะเขาก็พอมองออก

ว่าองค์ชาย 13 ต้องปกป้องเขาเต็มกำลังแน่

ยิ่งไปกว่านั้นดูท่าแล้วองค์ชาย 13 ยังมั่นใจมาก

แต่เขาก็เข้าใจว่าไฉนองค์ชาย 13 จึงมั่นใจแบบนี้

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ถึงแม้เขาจะมีเรื่องมีราวกับคุณหนู 4 สกุลโจว แต่อย่างไรที่ฆ่าไปก็แค่อาวุโสคนหนึ่งของสกุลโจวกับสัตว์อสูรเท่านั้น…เช่นนั้นด้วยมีองค์ชาย 13 ออกหน้า เรื่องนี้ก็จบลงง่ายๆ

และกับองค์ชาย 13 ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้บอกว่าฮ่วนเอ๋อเป็นศิษย์น้องหญิงอะไร เพียงกล่าวบอกว่าเป็น ‘สหาย’ เท่านั้น

ท้ายที่สุดจากการทำข้อตกลงนี้กับองค์ชาย 13 อีกฝ่ายก็คงพอจะมองออกว่าเขาไม่ได้มาจากขุมกำลังยิ่งใหญ่อะไร

“รบกวนอันใดเล่า…ตลอดปีหลังจากนี้ น้องต้วนมาพักอยู่กับข้าได้อย่างสบายใจ”

หลงเฟยอวิ๋นยิ้ม

“เช่นนั้นพวกเราไปกันเลยดีหรือไม่…พวกข้าจะตามไปรับสหายของน้องต้วนด้วยกัน”

หลงเฟยอวิ๋นลุกขึ้นยืน ค่อยเอ่ยชวนต้วนหลิงเทียน

“เอาสิ”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับค่อยลุกขึ้นยืน หลังจากนั้นเขากับหลงเฟยอวิ๋นก็พากันเดินออกจากห้องปฐพีหมายเลข 1 ไปพร้อมกัน

ชายวัยกลางคนนาม ชิวหลิง เองก็เดินออกจากห้อปฐพีหมาย 1 มาด้วยกัน ติดตามอยู่ด้านหลังองค์ชาย 13 ไม่ห่าง

“ฮ่าๆๆ…น้อง 13 การประมูลยังไม่จบ ไฉนเจ้ารีบกลับนักเล่า?”

ทั้ง 3 พึ่งเดินออกจกาห้องปฐพีหมายเลข 1 และมาถึงหน้าโรงประมูลสกุลเหนียนได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้นจากปลายถนน

จากนั้นพอหันไปต้วนหลิงเทียนก็พบว่า

มีชายหนุ่มร่างสูงในชุดคลุมสีเขียวดิ้นทอง กำลังเดินเข้ามาทางนี้โดยมีคนของโรงประมูลติดตามอยู่ด้านหลัง ที่สำคัญยังมีชายในชุดคลุมสีดำประกบไม่ห่าง อีกฝ่ายฉีกยิ้มเดินเข้ามา ทักทายหลงเฟยอวิ๋นอย่างอารมณ์ดี

ได้ยินคำเรียกหาหลงเฟยอวิ๋นของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็พอจะคาดเดาฐานะอีกฝ่ายได้ทันที

องค์ชาย 7 หลงฉิงอวิ๋น!

“พี่ 7 …”

และคำทักตอบอีกฝ่ายของหลงเฟยอวิ๋น ก็ยืนยันว่าเขาเดาถูก

“น้องต้วน หากข้าเดาไม่ผิด…พี่ 7 มาหาข้าคราวนี้ ไม่พ้นเป็นเพราะชิวหลิง”

เสียงผ่านพลังของหลงเฟยอวิ๋นดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนชัดถ้อยชัดคำ “ผู้ดูโรงประมูลสกุลเหนียน สมควรมองออกว่าชิวหลงมีด่านพลังฝึกปรือยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์…และเรื่องที่ข้ามียอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์คอยติดตามแบบนี้ สำหรับพี่ 7 แล้วไม่ใช่เรื่องดีเลย”

กล่าวถึงท้ายประโยคน้ำเสียงของหลงเฟยอวิ๋นก็เผยความสนุกสนานประการหนึ่ง

“น้องชายท่านนี้ ตั้งแต่ที่พี่ 4 กล่าวถึงท่าน ข้าเองก็คิดจะไปเยี่ยมท่านที่โรงเตี๊ยมหลิวเหนียนเหมือนกัน แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้พบเจอกับน้องชายที่นี่ก่อน”

ตอนนี้เอง องค์ชาย 7 หลงฉิงอวิ๋นที่เดินมาถึงเบื้องหน้ากลุ่มต้วนหลิงเทียนแล้ว ก็ได้หันมามองทักต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม แลดูสนอกสนใจเขาไม่น้อย

เพราะสุดท้ายแล้วในสายตาอีกฝ่าย

ต้วนหลิงเทียนก็คือศิษย์จากขุมกำลังใหญ่นอกแดนร้าง

ตัวตนระดับนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะสู้ไหว กระทั่งไม่กล้าล่วงเกินให้ขุ่นเคืองหมางใจด้วยซ้ำ!

สำหรับวาจาที่มันกล่าวออก ว่าคิดไปเยี่ยมต้วนหลิงเทียนนั้น เป็นเพียงวาจาสุภาพตามประสาเท่านั้น หากมันคิดจะไปเยี่ยมต้วนหลิงเทียนจริงคงไปหาเขาแต่แรกแล้ว แต่มันไม่อยากเป็นแบบพี่ 4 ของมัน ที่ไปสืบเสาะหาความอะไรจากผู้อื่น

อย่างไรเสียคนๆนี้ก็ไม่ได้มีเรื่องมีราวอะไรกับมัน

“องค์ชาย 7”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักเสียงเบา สีหน้าเฉยเมย

สิ่งนี้ทำให้หลงฉิงอวิ๋นมั่นใจมากขึ้น

ว่านี่สมควรเป็นศิษย์อัจฉริยะจากขุมกำลังใหญ่ไม่ผิดแน่ เพราะมีความทะนงและถือดีในตัว ไม่เห็นว่าองค์ชายเช่นมันสลักสำคัญอะไร

“น้อง 13 ว่าแต่ที่ติดตามอยู่ด้านหลังเจ้าเป็นผู้ใดหรือ…เราผู้พี่พึ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก”

หลงฉิงอวิ๋นพยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง จากนั้นก็ละสายตาไปมองถามหลงเฟยอวิ๋น ก่อนที่จะเหลือบไปมองชิวหลิงด้านหลังหลงเฟยอวิ๋น กล่าวถามออกมาเสียงเข้มว่า “คนผู้นี้ดูเหมือนจะมิใช่ยอดเซียนอมตะขั้นปฐพี ที่เสด็จพ่อส่งมาคุ้มครองเจ้านี่นา?”

กล่าวถึงท้ายประโยคน้ำเสียงของหลงฉิงอวิ๋นก็จงใจจิกกัดไม่น้อย

เพราะมันกับองค์ชาย 4 นั้นได้รับยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์มาคอยติดตามคุ้มครอง…

ทว่ากับองค์ชาย 13 นั้น แม้ความสามารถทุกด้านจะไม่ได้ด้อยกว่าพวกมัน แต่บิดาของพวกมันก็ปฏิบัติกับองค์ชาย 13 ต่างจากพวกมันมาก ผู้ดูแลที่ส่งมาก็เป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นปฐพีที่ฝีมือทั่วๆไปไม่ได้ร้ายกาจอะไรมากมาย

“เขาเรียกว่า ชิวหลิง เป็นยอดฝีมือที่ข้ารับตัวมาจากด้านนอก”

หลงเฟยอวิ๋นกล่าว

และแทบจะทันทีที่หลงเฟยอวิ๋นกล่าวจบคำ หลงฉิงอวิ๋นก็ชักสายตาดุร้ายเอาเรื่องหันไปมองจ้องชิวหลิงกล่างกล่าวเสียงแข็งออกมาว่า “เจ้าที่แท้ก็เป็นแค่คนนอกจริงๆ แล้วนี่เจ้ามีความเป็นมาอย่างไรกันแน่! ไฉนถึงได้มาแทรกซึมอยู่ข้างกายน้อง 13 ของข้า เจ้ามาสืบหาหรือต้องการอะไร!?”

“องค์ชาย 13 คนนอกไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้ อยู่ๆมาพักพิงข้างกายท่าน ข้าเชื่อว่ามันคิดร้ายมากกว่าดี!”

ขณะเดียวกันชายชราในชุดคลุมลมดำที่เดินอยู่ด้านหลังหลงฉิงอวิ๋น ก็เงยหน้าขึ้นมาเผยสายตาเยียบเย็นมองจ้องไปยังชิวหลิงด้านหลังหลงเฟยอวิ๋นเขม็ง และพูดจบมันก็ไม่รอช้าอะไร คนคล้ายกลับกลายเป็นอัสนีสายหนึ่ง ฟาดผ่าไปทางชิวหลิงทันที!!

“เช่นนั้นให้ข้าน้อยฆ่ามันเสีย เพื่อป้องกันมิให้มันมีโอกาสทำร้ายองค์ชาย 13 ได้!!”

ชายในชุดดำที่โจนทะยานออกไปทางชิวหลิงปานฟ้าผ่า ได้แจกแจงเหตุผลในการลงมือออกมาอย่างชอบธรรม!

ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!

กว่าที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้รู้สึกตัว ชายในชุดคลุมลมดำก็ได้ประมือกับชิวหลิงแล้ว เสียงระเบิดพลังดังปงๆ ประหนึ่งกลองศึกลั่นขึ้นข้างหูต้วนหลิงงเทียน

อย่างไรก็ตาม แม้ทั้งคู่จะพุ่งเข้าใส่รบรันพันตูกัน ทว่าแต่ละคนกลับแบ่งพลังส่วนหนึ่งออกมาสร้างม่านพลังห้อมล้อมโดยยรอบไม่ต่างสร้างสังเวียน ทั้งหมดเพื่อมิให้คนสำคัญข้างกายโดนลูกหลง!

เปรี๊ยง!!

ตูมมม!!

พอต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆตอบสนองเรื่องราว พอมองไปจึงพบว่า

ห่างไม่ไกลจากพวกเขา บัดนี้ชายในชุดคลุมลำดำกับชิวหลิงได้ประมือกันเรียบร้อย

อาศัยสายตาของพวกเขา ย่อมไม่อาจมองเห็นความเคลื่อนไหวของทั้งคู่ได้ มองเห็นเพียงประกายแสงระเบิดวูบวาบตรงนี้ทีตรงนั้นที เพียงมองก็รู้ว่ามีมวลพลังมหาศาล 2 กำลังปะทะหักหาญกันอย่างดุร้าย!

ราวๆ 1 เค่อต่อมา

เปรี๊ยงงง!!

เสียงพลังปะทุดังขึ้นสนั่นจ้า

จากนั้นต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆจึงได้เห็นว่า

ม่านพลังที่ทั้งคู่ร่วมกันสร้างปานกลมแก้วพิศดาร บัดนี้บังเกิดรอยปริร้าวดั่งใยแมงมุม และรอยร้าวดังกล่าวก็แผ่ขยายกระจายมากขึ้นทุกขณะ สุดท้ายก็แตกกระจายออก ปรากฏสายลมแรงพัดกรรโชกออกไปโดรอบจนธุลีคลีคละคลุ้ง

ฟุ่บบบ!!

ทันใดนั้นเองเสียงแหวกสายลมฉับไวหนึ่งพลันดังขึ้นเสียดหูทุกคน เป็นชิวหลิงที่บดนี้สภาพร่างแลดูสะบักสะบอมเล็กน้อย ได้วูบร่างมาหยุดอยู่เบื้องหลังองค์ชาย 13 ปานภูตผี!

ฟิ้ววว!!

ส่วนอีกด้านนั้น ปรากฏร่างในชุดคลุมลมดำปลิดปลิวกระเด็นไปดั่งเส้นแสงสีดำหนึ่ง ปลิวข้ามถนนไปกระแทกผนังอาคารริมถนนอีกฝั่งดังโครม! สภาพแลดูไม่ได้!!

ชายชราในชุดคลุมลมดำค่อยๆแงะตัวออกมาจากผนัง ก่อนที่จะเปล่งพลังระเบิดข้าวของที่ทับตัว ก่อนจะกลับมาหยุดอยู่ด้านหลังหลฉิงอวิ๋นด้วยสภาพน่าสังเวช

สีหน้าหลงฉิงอิ๋นบัดนี้ก็บิดเบี้ยวไปราวคนถ่ายไม่ออกมาสามเดือนนั่งส้วม…

มันไม่คิดไม่ฝันเลย

ว่ายอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ที่ติดตามรับใช้ข้างกายองค์ชาย 13 จะมีพลังฝีมือกล้าแข็งกว่ายอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ที่บิดามันมอบให้เล็กน้อย!

“ผู้เฒ่าอู๋ ด้วยพลังฝีมือของชิวหลิงหากคิดร้ายอะไรข้า ข้าคงตกตายไปนานแล้ว…เขาอยู่กับข้ามานานปีแต่ไม่มีปัญหาอะไร เช่นนั้นเรื่องความปลอดภัยของข้า ยังไม่ต้องรบกวนท่าน”

หลงเฟยอวิ๋นหันไปมองกล่าวกับชายชราในชุดคลุมลมดำด้านหลังหลงฉิงอวิ๋นเสียงหนัก

“หึ!”

ชายชราในชุดคลุมลมดำแค่นเสียงสบถเย็นชา แต่มันก็ไม่กล้าลงมือเคลื่อนไหวอะไรอีก

แม้ว่าองค์ชาย 13 จะไม่ใช่คนที่ฮ่องเต้ทรงโปรด แต่มันก็ไม่อาจลงมือทำอะไรอีกฝ่ายได้

ยิ่งไปกว่านั้นถึงมันคิดจะลงมือทำอะไรองค์ชาย 13 จริง เกรงว่ามันก็คงทำอะไรไม่ได้

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ข้างกายองค์ชาย 13 ก็แข็งแกร่งกว่ามัน!