“ใต้เท้าทั้ง 3 ข้า…”
แรงกดดันจากตัวตนขุนนางอมตะทั้ง 3 นั้น แม้แต่หลงตงผิง ฮ่องเต้ประเทศอมตะเถิงหลงที่เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ ก็แทบต้านทานไม่ไหว และตอนนี้มันก็คิดกล่าวความลำบากใจของมันออกมาตรงๆ…
ความลำบากใจที่ว่าก็คือเรื่องฐานะของต้วนหลิงเทียน!
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังคิดจะบอกทั้ง 3 ออกไปตามตรง ว่ากระทั่งศิษย์ปิดสำนักของประมุขนิกายอมตะเชียนจีรุ่นก่อน โจวฉู่ชิง ศิษย์น้องหญิงคนเล็กของประมุขนากยมอตะเชียนจีในปัจจุบัน ยังไม่กล้าที่จะแตะต้องต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ
มันเชื่อว่าหากมันกล่าวถึงเรื่องนี้ออกไป ต่อให้ทั้ง 3 คนเบื้องหน้าจะไม่ถึงขั้นตัดใจจากสตรีงาม แต่อย่างน้อยๆก็คงไม่คิดบีบคั้นให้มันส่งคนออกไปอีก!
“นั่นองค์ชาย 13!”
หลงตงผิงที่คิดจะพูด ไม่ทันที่จะได้เอ่ยคำใด ก็ถูกเสียงตะโกนจากผู้คนรอบๆขัดคำไว้ก่อน สายตาหลายคนยังหันไปมองด้านหลังขุนนางอมตะทั้ง 3
หลงตงผิงที่ถูกขัดคำก็ไม่พูดอะไรออกมา เลือกที่จะมองตามไปทันที
ปรากฏคน 5 คนเปิดประตูก้าวอาดๆออกมายังลานรวม
ด้านหน้ามีคน 4 คน เป็นชายหนุ่มในชุดสีม่วง ชายหนุ่มในชุดคลุมสีทอง ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียว และสตรีในชุดคลุมสีขาว
คนของประเทศอมตะเถิงหลงที่มามุงชมย่อมจดจำคนในชุดคลุมสีทองได้ตั้งแต่แรกเห็น เพราะนั่นคือองค์ชาย 13 ของพวกมัน หลงเฟยอวิ๋น!
“นั่นมัน…”
อย่างไรก็ตามหลังจากทุกคนแลเห็นหลงเฟยอวิ๋นแล้ว สายตาของทั้งหมดก็ไปหยุดยังร่างสตรีชุดขาวปานต้องมนตร์
นั่นเพราะสตรีชุดขาวนางนี้เฉิดฉันท์เกินไป ประหนึ่งไข่มุกราตรีที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด เปลี่ยนโลกแห่งความมืดให้กลายป็นสว่างไสวในทันใด!
คิ้วโค้งดั่งกิ่งหลิวนั่น ยังมีดวงตากระจ่างใสปานสายชล พร้อมด้วยใบหน้าเรียวได้รูป มาในชุดคลุมสีขาวตอบรับกับผิวพรรณอันขาวกระจ่างนุ่มนวล ทั้งกลิ่นอายเย็นชาที่แผ่ซ่านออกมาทั่วร่างเป็นธรรมชาติ หนุนเสริมให้นางไม่คล้ายผู้คน แต่เป็นเทพธิดาอันสูงส่งแสนบริสุทธิ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวงพักตร์งามพิลาศประหนึ่งทวยเทพบรรจงสร้างนั่น ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใดๆก็ไร้ซึ่งข้อตำหนิติเตียน
“เป็นสตรีในภาพเหมือน!”
“ไร้ที่ติ…ช่างงดงามได้ไร้ที่ตินัก! กระทั่งข้าว่าตัวจริงนางยังงดงามยิ่งกว่าในรูปเหมือนเสียอีก!!”
“มิผิด รูปเหมือนแม้จะงดงามเพียงใดแต่ก็ไร้ชีวิตชีวา ไหนเลยจะเทียบกับผู้คนเป็นๆได้…สวรรค์ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าใต้หล้ากลับมีสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้ดำรงอยู่ ข้าเกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้วจริงๆ ที่ได้เห็นสตรีงามขนาดนี้กับตา!”
“ข้าเคยเห็นนางหลายครั้งแล้ว กระทั่งยังเคยเดินสวนกันในวังหลวงด้วยซ้ำ…แต่ตอนนั้นนางปิดหน้าปิดตาเอาไว้ไม่เผยรูปโฉม ข้าจึงมิอาจแลเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง…ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าใต้ผ้าปิดปากกับหมวกงอบนั่น ที่แท้จะมีความงามอันประเสริฐหนึ่งเดียวไม่มีเหมือนซุกซ่อนอยู่!”
…
สตรีที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปในพริบตา ก็คือ ฮ่วนเอ๋อ
ในเมื่อตอนนี้ภาพเหมือนของฮ่วนเอ๋อได้แพร่ไปทั้งเมืองไท่อีแล้ว ผ้าปิดปากกับหมวกงอบคลุมหน้าจึงไร้ความหมายเป็นธรรมดา เช่นนั้นก่อนที่จะออกมาต้วนหลิงเทียนจึงบอกให้ฮ่วนเอ๋อถอดหมวกกับผ้าปิดปากออกได้
ฮ่วนเอ๋อที่ได้ยินเรื่องนี้นางก็แลดูยินดีมีความสุขนัก ราวกับไม่ได้ตระหนักถึงวิกฤตการณ์เบื้องหน้าเลย
ฮ่วนเอ๋อเกาะแขนข้างหนึ่งของต้วนหลิงเทียนเอาไว้ยังเอียงตัวไปใกล้ชิดต้วนหลิงเทียนเดินมาอย่างสนิทสนม ด้วยรูปโฉมงดงามของนางกับใบหน้าหล่อเหลาของต้วนหลิงเทียน พาลให้ผู้คนที่แลเห็นรู้สึกเสมือนพบเจอ กิ่งทองใบหยก
และต้วนหลิงเทียนที่เดินออกมาจากบ้าน ก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่แหลมคมปานมีดดาบแทบจะทันทีที่ก้าวออกจากประตู
เรียกว่าหากสายตาเหล่านี้กลายเป็นมีดดาบของจริง น่ากลัวร่างเขาคงถูกหั่นเป็นหมื่นชิ้นไปแล้ว…
โดยเฉพาะสายตา 3 คู่ ที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความรู้สึกกดดันไม่น้อย หน้าอกรู้สึกแน่นราวมีขุนเขากดทับ เป็นแรงกดดันที่หมายสะกดปราบเขา!
“ผู้ดูแลอาวุโสนิกายอมตะไท่อี หวงเชา…ผู้คุมกฏนิกายอมตะเชียนจี เชวียลั่ง และผู้อาวุโสของนิกายอมตะหวู่หลง เถิงชิ่ง…”
ต้วนหลิวเทียนค่อยๆกวาดตามองคนทั้ง 3 ด้วยสีหน้าแวววตาสงบ ไม่ว่าสายตาของทั้ง 3 จะดุร้ายเอาเรื่องขนาดไหน หากแต่ทีท่าของเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
ข้างๆต้วนหลิงเทียนนอกจากฮ่วนเอ๋อแล้ว ยังมีหลงเฟยอวิ๋นกับฉินอวี่อีกด้วย
ส่วนด้านหลังทั้ง 4 ก็ปรากฏร่างชิวหลิงเดินตามมาติดๆ
อย่างไรก็ตาม ชิวหลิงแม้จะเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ ทว่ามันไม่อาจไม่กลัว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะทั้ง 3 พร้อมๆกัน!
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มันยังเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ ไม่ใช่ขั้นสุดยอดเลย…ต่อให้เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสุดยอด มันก็ไม่กล้าหยิ่งผยองต่อหน้าขุนนางอมตะ!
แม้จะเป็นแค่ขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิด ก็ทรงพลังสุดที่ยอดเซียนอมตะขั้นสุดยอดจะทาบติด!
“พวกเจ้าทั้งคู่…ตอนนี้ในเมื่อโฉมงามก็ปรากฏกายแล้ว พวกเราสมควรหารือกันหน่อยไหม ว่าผู้ใดจะได้นางไปก่อน?”
หลังผู้ดูแลอาวุโสของนิกายอมตะไท่อี หวงเชา ถอนสายตาที่คมปานมีดดาบออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียน มันก็หันไปมองเชวียลั่ง ผู้คุมกฏนิกายอมตะเชียนจี และ เถิงชิ่ง ผู้อาวุโสของนิกายอมตะหวู่หลง ด้วยสีหน้าแววตามากราคะ
เรียกว่าตอนนี้หวงเชาไม่ได้เหลือบมองต้วนหลิงเทียนอีกเลย ราวกับมันไม่เห็นต้วนหลิงเทียนอยู่ในสายตา
ไม่ใช่แค่หวงเชาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเชวียลั่งหรือเถิงชิ่งก็ไม่ได้แยแสต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย พวกมันทำเหมือนต้วนหลิงเทียนไร้ตัวตน…
และอันที่จริงพวกมันก็ไม่ได้เห็นต้วนหลิงเทียนอยู่ในสายตาตั้งแต่แรก!
เพราะในสายตาของพวกมันนั้น ต้วนหลิงเทียนก็แค่มดตัวกระจ้อยไร้ชื่อเสียงเรียงนาม แม้จะมีคววามสัมพันธ์อันดีกับองค์ชาย 13 ของประเทศอมตะเถิงหลง แต่นั่นก็ไม่คู่ควรให้ยกมากล่าว…
สำหรับพวกมันแล้วตัวตนกระจ้อยร่อยอย่างองค์ชาย 13 ของประเทศอมตะเถิงหลง พวกมันจะเข่นฆ่าเมื่อไหร่ตอนไหนก็ทำได้ตามอำเภอใจ! และต่อให้พวกมันเข่นฆ่าองค์ชายทั้งหมดทิ้ง น่ากลัวว่าฮ่องเต้ของประเทศอมตะเถิงหลงไม่เพียงแต่จะไม่โกรธ ยังต้องกล่าววาจาขอบคุณ…ซ้ำพูดทำนองว่าบุตรชายของตัวสมควรตายแล้วแน่แท้…
นี่คืออำนาจสะกดข่มของตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ!
“ข้าก็คิดเหมือนอาวุโสหวงเชา..”
ผู้คุมกฏนิกายอมตะเชียนจี เชวียลั่ง เห็นด้วยกับคำของหวงเชา ก่อนที่จะหันมองไปทางเถิงชิ่ง เพื่อดูว่าอีกฝ่ายจะเอาอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นหวงเชาหรือเชวียลั่งก็ล้วนเป็นขุนนางอมตะ 2 ยศ ด้วยกันทั้งคู่ และรู้แกวกันดี
เช่นนั้นพวกมันจึงรู้ตัวดีว่าหากคิดปะทะกันเพื่อแย่งชิงโฉมงาม ไม่พ้นต้องเจ็บกันทั้ง 2 ฝ่าย สุดท้ายโฉมงามไม่พ้นโดนมือที่สามคาบไปรับประทาน
นั่นไม่ใช่อะไรที่พวกมันอยากจะเห็นเลย
นอกจากนี้พวกมันยังรับทราบเรื่องราวของเถิงชิ่ง อาวุโสของนิกายอมตะหวู่หลงมาไม่น้อย และรู้ว่าเถิงชิ่งก็เป็นขุนนางอมตะ 2 ยศเหมือนกันกับพวกมัน เช่นนั้นพวกมันจึงทำได้แค่ต้องหารือกันก่อนว่าโฉมงามจะตกเป็นของใคร
“ข้าไม่สนใจ!”
ทว่าในขณะที่หวงเชาและเชวียลังคิดว่าเถิงชิ่งก็คงคิดเหมือนกันกับพวกมัน และต้องหารือถึงทางออกที่ดีที่สุดนั้นเอง ไม่คิดเลยว่าอยู่ๆอีกฝ่ายจะปฏิเสธออกมาโต้งๆ ไม่คิดหารือเรื่องแบ่งโฉมงามอะไรทั้งสิ้น!
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคิดอะไรกันอยู่…มิพ้นเรื่องจักแบ่งปันโฉมงามนางนี้กันอย่างไรใช่หรือไม่?”
“แต่ขออภัย…สตรีที่ข้าเถิงชิ่งต้องการ ข้าไม่มีวันแบ่งปันกับผู้ใด!!”
“หลังจากวันนี้เป็นต้นไป…นางเป็นได้แค่สตรีของข้า เถิงชิ่ง ผู้เดียวเท่านั้น!”
เถิงช่งเหลือบมองไปยังหวงเชาและเชวียลั่งผ่านๆ และเมื่อสายตาของมันไปตกลงบนร่างฮ่วนเอ๋ออีกครั้ง ใบหน้าท่าทีของมันก็เผยความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของออกมาชัดเจน ราวกับเห็นฮ่วนเอ๋อเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของมันแล้ว!
“เถิงชิ่ง!”
สีหน้าของหวงเชากับเชวียลั่งเปลี่ยนไปทันใด ต่างพากันมองจ้องเถิงชิ่งด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “เถิงชิ่ง…เจ้าคิดว่าพวกเราสองคนไร้ตัวตนหรือไร?”
“ล้วนแล้วเป็นขุนนางอมตะ 2 ยศดุจเดียวกันทั้งสิ้น ถึงต่อให้พลังฝีมือเจ้าอาจะเหนือกว่าพวกเราเล็กน้อย…แต่เจ้าคิดหรือว่าหากพวกเราทั้งคู่ร่วมมือกัน เจ้าเถิงชิ่งยังจะต่อกรได้?”
ระหว่างกล่าวคำ ทั้งหวงเชาและเชวียลั่งก็มองเถิงชิ่งด้วยสายตาทำราวกับมองตัวโง่งม ต่างคิดไปว่าเถิงชิ่งจะมั่นหน้าเกินไปแล้ว!
“ขุนนางอมตะ 2 ยศ?”
เถิงชิ่งแสยะยิ้มร่า สองตาทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง มองหวงเชากับเชวียลั่งอีกครั้งแววตาก็ฉายความเย็นชาเล็กน้อย “พวกเจ้าจะลองดูก็ได้”
รอยยิ้มแสยะร่าของเถิงชิ่ง แน่นอนว่าตกอยู่ในสาตาหวงเชาและเชวียลั่งชัดเจน แม้จะทำให้พวกมันทั้งคู่รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ แต่หลังจากที่หันมามองสบตากันแล้ว พวกมันทั้งคู่ก็คิดจะลงมือกำราบเถิงชิ่งสักครา! ต่างปะทุพลังอย่างพร้อมเพรียง ร่างแยกย้ายกันโจนทะยานเข้าใส่เถิงชิ่งโดยพลัน!!
แม้ความมั่นใจของเถิงชิ่งจะทำให้พวกมันหวั่นๆอยู่บ้าง แต่เรื่องเช่นนี้หากไม่ต่อยตีกันเพื่อทดสอบให้รู้สูงต่ำกันไป ไหนเลยจะสรุปผลได้!
“เฮอะ!”
เถิงชิ่งไม่ได้แปลกใจอะไรกับการปะทุพลังลงมือในฉับพลันอย่างพร้อมเพรียงของทั้งคู่ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างของมันพลันระเบิดปะทุออกมาอย่างรุนแรง เสียงพลังยังประหนึ่งมังกรพิโรธกำลังคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด!
และหากมองไปให้ดีจะพบว่า…
ในขณะที่หวงเชากับเชวียลั่งปะทุพลังลงมือนั้น ในพลังเซียนต้นกำเนิดของพวกมันทั้งคู่ ปรากฏกระแสพลังลี้ลับปานอสรพิษแหวกว่ายวนเวียนคนละ 2 สาย กลับกันทางด้านของเถิงชิ่งในพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมัน กลับมีกระแสพลังงลี้ลับถึง 3 สาย!
และพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ปะทุออกมาทั่วร่างของเถิงชิ่งอันมีกระแสพลังลี้ลับดั่งอสรพิษสามตัวนั้น ก็เผยพลังอานุภาพสะกดข่มพลังของหวงเชาและเชวียลั่งได้อย่างชัดเจน!!
ปงงงง!!
ไม่ทันที่ทุกคนโดยรอบจะทันได้ตอบสนองเรื่อราวอะไร เถิงชิ่งก็ปะทะพลังกับหวงเชาและเชวียลั่งที่ร่วมมือกันเสียแล้ว เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นขึ้นในบัดดล!
ยามเมื่อเสียงดังสนั่นลั่นขึ้น คลื่นกระแทกอันน่าพรั่นพรึงจากการปะทะกันของพลังทั้ง 3 ขุม ก็ระเบิดขึ้นในลานรวมของคฤหาสน์อย่างรุนแรง!
ตูมมมม!!
ครืนนนน!!
…
ลานรวมของคฤหาสน์ที่ประเทศอมตะเถิงหลงได้รับการจัดแจกเข้าพัก บัดนี้ย่อยยับหาสภาพเดิมไม่เจอ บนพื้นปรากฏหลุมระเบิดปานหลุมอุกาบาต ทั้งมีรอบหลุมยังมีรอยแตกร้าวปานธรณีแยกกำจายออกไปทั่วสารทิศ พริบตาทั้งคฤหาสน์และบ้านแถวโดยรอบก็สั่นสะเทือนราวจะพังทลายลง อีกทั้งรอยแยกดังกล่าวยังแผ่ออกไปนอกเขตคฤหาสน์ที่พักของประเทศอมตะเถิงหลงด้วยซ้ำ!
พื้นที่นอกคฤหาสน์หลังเขื่องยังสั่นสะเทือนไปอย่างรุนแรง
เกิดอะไรขึ้น!?
“ช่างเป็นคลื่นพลังอันรุนแรงอะไรจะขนาดนี้! ทิศทางนั่นมัน…มิใช่คฤหาสน์ที่พักของประเทศอมตะเถิงหลงที่ทางนิกายอมตะไท่อีจัดให้รึไง?”
“ด้านในเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ใช่เป็นเพราะสตรีในภาพเหมือนหรือไม่?”
“สิบในสิบสมควรเป็นเรื่องนั้น…หากแต่ความเคลื่อนไหวใหญ่โตแบบนี้ มันมิใช่อะไรที่ตัวตนยอดเซียนอมตะจะกระทำได้มิใช่หรือ? เพราะต่อให้ตัวตนยอดเซียนอมตะขั้นสุดยอดประมือกัน ก็คงไม่ก่อให้เกิดคลื่นพลังสะท้อนระดับนี้กระมัง?”
…
ไม่ว่าจะผู้คนที่บังเอิญเดินผ่านมาใกล้ๆคฤหาสน์หลังเขื่องของประเทศอมตะเถิงหลง หรือจะเป็นผู้ที่อยู่ในคฤหาสน์หลังเขื่องในละแวกเดียวกัน ก็สัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนของปฐพี และคลื่นสั่นสะเทือนในบรรยากาศได้ชัดเจน ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะแตกตื่นตกใจทั้งสงสัยขึ้นมา
ขณะเดียวกันกับที่ภายนอกกำลังแตกตื่นกับความเคลื่อนไหวเอิกเกริกดังกล่าว ตอนนี้ภายในเขตคฤหาสน์ที่พักสำหรับประเทศอมตะเถิงหลงก็วินาศสันตะโร ประหนึ่งเผชิญกับภัยธรรมชาติครั้งยิ่งใหญ่มาหมาดๆ…