ประเทศอมตะเถิงหลง ด้วยความที่เป็นประเทศอมตะระดับสูง ทำให้ทางนิกายอมตะไท่อีจัดมอบคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางเหนือกว่าที่ประเทศอมตะระดับกลางและระดับต่ำให้ อำนวยความสะดวกให้แก่ฮ่องเต้เถิงหลงและคนที่ติดตามมาทั้งหมด
กล่าวได้ว่าลานรวมกลางของคฤหาสน์หลังเขื่องนี้ มันกว้างใหญ่ไพศาลนัก พื้นที่ของมันใหญ่มากพอให้ยกเขตคฤหาสน์ที่พักของประเทศอมตะระดับต่ำนำมาตั้งไว้ได้สบายๆ…
ทว่าตอนนี้ไม่เพียงแต่ในลานจะปรากฏหลุมมหึมาปานมีอุกกาบาตถล่ม สภาพโดยรอบยังวินาศสันตะโร ต้นไม้ใบหญ้าบุปผาอันใดพานพบชะตาอนาถหมดสิ้น แถมบ้านพักที่เรียงรายโดยรอบ ไม่เว้นบ้านพักต้วนหลิงเทียนที่อยู่ใกล้ที่สุดก็กลับกลายเป็นซากปรักหักพัง
“นี่น่ะเหรอพลังอำนาจของตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ!”
“ฟังจากคำพูดของผู้ดูแลนิกายอมตะไท่อีหวงเชาเมื่อครู่ มิว่าจะเป็นมันหรือผู้คุมกฏของนิกายอมตะเชียนจี และอาวุโศของนิกายอมตะหวู่หลงหวงเชา ล้วนแล้วแต่เป็นขุนนางอมตะ 2 ยศด้วยกันทั้งสิ้น!”
“ขุนนางอมตะนั้นแบ่งย่อยได้อีก 10 ขั้นพลัง ในบรรดา 10 ขั้นพลังดังกล่าว ขั้น 1 ต้นกำเนิดย่อมอ่อนด้อยที่สุด…สำหรับ 2 ยศนั้นแข็งแกร่งกว่าขั้นหนึ่ง!”
“การปะทะกันของขุนนางอมตะ 2 ยศ จะสร้างความเสียหายลุกลามใหญ่โตเช่นนี้ก็ไม่แปลก”
“พวกเจ้าว่าหรือไม่ แม้พวกเราจะอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางการปะทะไม่ไกล แต่พลังสะท้อนคล้ายไม่ทำร้ายพวกเราเลย ราวกับจะหลีกเลี่ยงพวกเราไปอย่างไรอย่างนั้น”
“ใช่ ข้าเองก็ยังแปลกใจว่าไฉนพวกเราถึงรอดตายมาได้…”
…
หลังจากคลื่นพลังปั่นป่วนที่ระเบิดขึ้นจากการปะทะค่อยๆสงบลง ภายในลานที่มีสภาพวินาศสันตะโร เหล่าคนของประเทศอมตะเถิงหลง ที่จำต้องเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าเพื่อลี้ภัย ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจเมื่อพบว่า…
ผลพวงจากการปะทะกันของพลัง 3 ขุม กลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพวกมันเลย…
ราวกับคลื่นกระแทกมหาประลัยจากการปะทะกันของยอดฝีมือทั้ง 3 จงใจหลีกเลี่ยงพวกมันไป!
และอันที่จริงก็เป็นเช่นนั้น การปะทะกันของพวกหวงเชา เชวียลั่ง และเถิงชิ่งนั้น ไม่ว่าใครก็พากันแบ่งพลังส่วนหนึ่งไปควบคุมคลื่นพลังสะท้อน ให้เบี่ยงเบนออกไปอย่างแยบคาย คุ้มครองคนของประเทศอมตะเถิงหลงเอาไว้ไม่ให้ใครได้รับบาดเจ็บ
เหตุผลที่พวกมันทำแบบนี้ส่วนหนึ่งเลย ก็เพื่อไม่ให้โฉมงามที่หมายป้องได้รับผลกระทบจนกลายเป็นบุปผาบอบช้ำ อีกอย่างคือพวกมันไม่อยากพลั้งมือทำร้ายอัจริยะรุ่นเยาว์ของประเทศอมตะเถิงหลง เพราะทุกคนนั้นมาเพื่อเข้าร่วมการประลองใหญ่ในแดนร้างโดยเฉพาะ หากเกิดเรื่องใดกับอัจฉริยะเหล่านี้ ประมุขนิกายของพวกมันได้เฉ่งหัวพวกมันแน่!
ในขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันด้วยความประหลาดใจ ไม่นานฝุ่นควันโขมงโฉงเฉงก็เริ่มๆสงบซาลง เปิดเผยฉากเรื่องราวเบื้องล่างให้พวกมันเห็นชัด…
มองไปเบื้องล่าง ก็พบเจอแต่ซากปรักหักพัง คฤหาสน์ที่พักที่ทางนิกายอมตะไท่อีจัดให้ประเทศอมตะเถิงหลงของพวกมัน บัดนี้พังพินาศหมดสิ้น…
“อะ…”
เมื่อทุกคนเห็นฉากวินาศสันตะโร และสรรพสิ่งยับเยินแหลกลาญ ต่างก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดอาการเสียวสันหลัง กระทั่งหลงตงผิง ฮ่องเต้ของประเทศอมตะเถิงหลงเองก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับพลังทำลายมหาประลัยจากการประมือของทั้ง 3 ขุนนางอมตะ!
พลังทำลายล้างช่างน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน!
ต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ และอีก 3 คนบัดนี้ก็ลอยร่างอยู่กลางอากาศ และพากันมองลงไปยังพื้นดินเบื้องล่าง
ต้วนหลิงเทียนเพียงมองฉากความพินาศเบื้องล่างด้วยความเฉยเมย ผิดกับหลงเฟยอวิ๋น ฉินอวี่และชิวหลิงนัก เพราะบัดนี้ทั้ง 3 แลดูหน้าซีดขวัญเสียไม่น้อย สำหรับฮ่วนเอ๋อที่เกาะแขนเขาอยู่ก็ยังคงแย้มยิ้มไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเหมือนเดิม เอาแต่มองจ้องต้วนหลิงเทียนตาแป๋ว ราวกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนางเลย
“ขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์?”
ไม่นานสายตาต้วนหลิงเทียนก็ไปตกลงบนร่างสูงใหญ่กำยำท่ามกลางซากปรักหักพัง
เจ้าของร่างกายกำยำสูงใหญ่แลดูดิบเถื่อนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น มันคือเถิงชิ่ง อาวุโสของนิกายอมตะหวู่หลง! คนยืนตระหง่านท่ามกลางเศษซากปรักหักพังอย่างไม่รู้สึกรู้สา กระทั่งจุดยืนของมันยังไม่เปลี่ยนไปจากตอนแรกแม้ครึ่งก้าว ทำราวกับคลื่นพลังทำลายทั้งหลายไม่อาจส่งผลกระทบใดๆกับมันได้เลย
ส่วนห่างออกไปจากเถิงชิ่งราวๆร้อยหมี่ ปรากฏร่างสะบักสะบอมแลดูยักแย่ยักยัน 2 ร่างยืนอยู่ในลานอันยับเยิน เป็นหวงเชาผู้ดูแลอาวุโสของนิกายอมตะไท่อี และผู้คุมกกฏของนิกายอมตะเชียนจี เชวียลั่ง!
“อ๊อค!”
“อั๊ค–!”
ราวกับนัดกันมาตั้งแต่เมื่อวาน ทั้งคู่พลันกระอักโลหิตออกมาอย่างพร้อมเพรียง ทั่วร่างสั่นสะท้าน สีหน้าซีดเซียวไปราวกระดาษ หาสีเลือดไม่เจอ
ครู่ต่อมาทั้งคู่ก็หันมามองสบตากันพักหนึ่ง ราวกับจะสื่อสายตาอะไรบางอย่าง จากนั้นพอหันไปมองเถิงชิ่งอีกครั้ง ในแววตาก็ฉายชัดถึงความตกใจทั้งไม่อยากจะเชื่อ…
“เถิงชิ่ง…นี่เจ้าประสบความก้าวหน้า ทะลวงถึงขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์แล้วหรือ?”
ทั้งสองยังอุทานถามออกมาเป็นเสียงเดียวกัน คล้ายจะเป็นสหายที่รู้ใจกันถึงแก่น!
“ขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์!?”
พอหวงเชากับเชวียลั่งพร้อมใจกันโพล่งออกมาด้วยความตกใจ ทุกๆคนที่ได้ยิน ยกเว้นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็อดไม่ได้ที่จะชักสีหน้าหวาดกลัวออกมาทันที!
ขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์!
นั่นคือตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะที่อู่เหนือขั้น 1 ต้นกำเนิด และขั้น 2 ยศ! นับว่าเป็นยอดฝีมือของแดนร้างแล้ว!
เพราะต่อให้กวาดตามองไปทั่ว 3 นิกายอมตะในแดนร้าง ตัวตนที่บรรลุถึงขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ขึ้นไป ก็มีไม่ถึง 20 คน!
“ฟังจากที่ผู้ดูแลอาวุโสของนิกายอมตะไท่อี หวงเชา กับผู้คุมกฏนิกายอมตะเชียนจี เชวียลั่ง กล่าวแล้ว…ดูเหมือนผู้อาวุโสเถิงช่งแห่งนิกายอมตะหวู่หลงจะพึ่งบรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์เมื่อไม่นานมานี้!”
หลายคนตระหนักได้ถึงเรื่องดังกล่าว
“เช่นนั้นก็มิน่าแปลกใจเลยที่อาวุโสเถิงชิ่งแห่งนิกายอมตะหวู่หลง จะมั่นใจว่าสามารถยึดครองโฉมงามมาครอบครองแต่ผู้เดียว…ที่แท้ก็บรรลุถึงขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์แล้วนี่เอง! อาศัยผู้ดูแลอาวุโสหวงเชากับผู้คุมกฏเชวียลั่ง 2 คนย่อมมิอาจต้านทานรับมือได้!”
“ดูเหมือนว่า…วันนี้โฉมงามพิลาศล้ำนางนั้นจักตกเป็นของผู้อาวุโสเถิงชิ่งแน่นอนแล้ว”
…
ในขณะที่เหล่าคนของประเทศอมตะเถิงหลงกล่าวสนทนาซุบซิบกัน สายตาของพวกมันก็อดไม่ได้ที่จะหันมองไปยังฮ่วนเอ๋อที่ลอยร่างข้างกายต้วนหลิงเทียน ด้วยความเวทนาสงสาร เจือความเสียดายเอาไว้สุดแสน
ราวกับแต่ละคนได้เห็นฉากโฉมงามร่างบางอย่างฮ่วนเอ๋อ ต้องตกเป็นของเถิ่งชิ่งที่ตัวใหญ่บึกบึนราวอสูรเถื่อน!
“พวกเจ้าทั้งคู่…ยังคิดจะสู้กับข้าอยู่อีกไหม?”
ภายใต้สายตาของทุกคน เถิงชิ่งก็เหลือบมองไปยังหวงเชาและเชวียลั่ง พลางเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงไร้แยแส
หลังได้ยินคำถามดังกล่าว หวงเชากับเชวียลั่งก็ได้แต่หันมามองหน้าสบตากันพักหนึ่งด้วยสีหน้ามืดมน หากแต่ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาแม้ครึ่งคำ
เนื่องเพราะพวกมันรู้ดีแก่ใจ ว่าเมื่อเถิงชิ่งทะลวงถึงขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์แล้วเช่นนี้ ให้พวกมันสองคนผนึกกำลังกันสู้ตาย ก็เกรงว่าจะไม่ใช่คู่มือเถิงชิ่ง เช่นนั้นพวกมันที่แม้ในใจจะไม่ยินยอมเพียงใด แต่ก็ไร้พลังจะต่อกรช่วงชิง ได้แต่เฝ้ามองโฉมตรูในฝันหลุดลอยไปเป็นของผู้อื่นอย่างคับแค้นจนใจ
“ฮ่าๆๆ! เช่นนั้นโฉมงามนางนี้บิดาจักรับตัวไปดูแลเอง!”
พอเห็นว่าหวงเชากับเชวียลั่งไร้คำจะพูด เถิงชิ่งก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่าอย่างสะใจ จากนั้นคนก็คล้ายหมอกควันลางเลือนสายหนึ่ง วูบร่างไปหาฮ่วนเอ๋อไม่ช้าไม่เร็ว ท่ามกลางสายตาของทุกคน
เหล่าคนของประเทศอมตะเถิงหลงที่รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนมีความเป็นมาไม่ธรรมดา บัดนี้ก็เอาแต่มองไปยังต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกัน อยากรู้ว่าเขาจะจัดการกับเรื่องราวครานี้อย่างไร
ทุกคนอยากรู้นัก
ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ต้วนหลิงเทียนจะมีปัญญาสามารถปกป้องสตรีข้างกายได้หรือไม่?
เพราะในสายตาของพวกมัน
จังหวะนี้หากต้วนหลิงเทียนคิดจะปกป้องสตรีข้างกาย เช่นนั้นก็มีแต่ต้องเปิดเผยตัวตนออกมา อาศัยภูมิหลังอันแข็งแกร่งกดดันให้เถิงชิ่งล้มเลิกความตั้งใจไปเสีย!
เพราะสุดท้ายแล้ว ด้วยพลังฝึกปรือขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ของเถิงชิ่ง ก็เกินมือเขาที่จะจัดการด้วยกำลัง!
ฟุ่บ!
เมื่อร่างเถิงชิ่งเหินขึ้นมาใกล้บรรลุถึงเบื้องหน้าฮ่วนเอ๋อ ร่างสีม่วงก็วูบมาหยุดบังขวางเบื้องหน้าฮ่วนเอ๋อปานภูตผี ปิดกั้นสายตามากราคะอันเปี่ยมล้นไปด้วยความหื่นกระหายของเถิงชิ่งเอาไว้ ไม่ให้ฮ่วนเอ๋อต้องรู้สึกรังเกียจสะอิดสะเอียน
และสิ่งนี้ก็ทำให้สีหน้าเถิงชิ่งมืดดำคล้ำลงทันที
“สารเลวน้อย! เจ้าเบื่อชีวิตนักหรือ!?”
สองตาเถิงชิ่งหันไปมองจ้องสบตาต้วนหลิงเทียนเขม็ง แววตายังฉายประกายแหลมคมเยียบเย็น ทั่วร่างปรากฏไอพลังลุกโชนขึ้นมาเร่าๆ ปานพร้อมลงมือเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนได้ทุกเวลา
“ข้าจะให้โอกาสเจ้า…”
หากทว่าในขณะที่แววตาของเถิงชิ่งเริ่มฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟัน ราวกับคิดจะลงมือเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนแล้วนั้น ทางด้านต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย สองตากระจ่างปานสระสงบยังมองเถิงชิ่งไม่วาง “ภายใน 3 ลมหายใจเจ้ารีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเสีย…เช่นนั้น เรื่องราวในวันนี้ข้าจะลืมมันไป”
“มิฉะนั้น…”
ต้วนหลิงเทียนยังพูดไม่ทันจบคำ เถิงชิ่งก็กล่าวขัดออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“มิฉะนั้นอันใด?”
สายตาที่เถิงชิ่งใช้มองต้วนหลิงเทียนตอนนี้เต็มไปด้วยความดูแคลนหยามหยัน หน้ายังเชิดขึ้น แสยะยิ้มกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงปรามาส “เจ้ามันก็แค่มดตัวกระจ้อยจากประเทศอมตะระดับสูงในแดนร้าง ยังหาญกล้ากล่าววาจาโอหังต่อหน้าข้าผู้นี้? ข้าเถิงชิ่งขอกล่าวเอาไว้ตรงนี้…หากวันนี้ข้ามิอาจบดบี้มดปลวกเช่นเจ้าให้แหลก ข้าเถิงชิ่งมิขอบากหน้าอยู่ในแดนร้างให้อับอายสืบไป!!”
พอกล่าวจบคำ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเถิงช่งก็ปะทุออกมาท่วมร่างดั่งเพลิงไฟ มองปังคล้ายอสูรกายอัคคีตัวเขื่อง พร้อมอ้าปากกระหายเลือดกลืนร่างต้วนหลิงเทียนในหนึ่งคำ
“ดั่งคำกล่าว มังกรให้กำเนิดมังกร นกหงส์ให้กำเนิดนกหงส์…ข้าต้องบอกเลยว่าการคงอยู่ของเจ้า ทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังนิกายอมตะหวู่หลงมากจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองเถิงชิ่งผ่านๆ พลางกล่าวออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
และพอกล่าววาจากับเถิงชิ่งจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปเหลือบมองหลงเฟยอวิ๋นข้างๆ ค่อยเอ่ยออกอีกครั้งว่า “องค์ชาย 13 ข้าเกรงว่าคงไม่อาจรักษาสัญญาเรื่องเข้าร่วมกับนิกายอมตะหู่หลงได้แล้ว…อย่างไรก็ตาม ‘เป้าหมาย’ ของท่าน แม้ข้าจะไม่ได้เข้าร่วมนิกายอมตะหวู่หลง แต่ข้าจะช่วยให้ท่านบรรลุมันให้จงได้! เรื่องนี้ขอท่านมั่นใจได้เลย…”
วาจาที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยกับหลงเฟยอวิ๋นนั้น คงมีเพียงหลงเฟยยอวิ๋นคนเดียวเท่านั้นที่รู้ความ
ความนัยวาจาต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีอะไรมากมาย เพียงแค่ถึงเขาจะไม่ได้เข้านิกายอมตะหวู่หลง แต่เขาก็จะช่วยให้หลงเฟยอวิ๋นขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรของประเทศอมตะเถิงหลงให้จงได้!
และก่อนที่หลงเฟยอวิ๋นจะทันได้ตอบรับคำของต้วนหลิงเทียนแต่อย่างใด ทันใดนั้นพลันอุบัติเสียงหัวเราะร่าดังสนั่นลั่นขึ้นอีกรอบ!
“ฮ่าๆๆๆๆ…!!!”
เป็นเถิงชิ่งที่พึ่งลอยขึ้นมาอยู่ในเพดานบินเดียวกันกับต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อ ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่นปานพึ่งได้ยินเรื่องขำขันที่สุดในใต้หล้า ขณะเดียวกันสายตาที่ใช้มองไปยังต้วนหลิงเทียน ก็ทำราวกับสายตาที่ใช้มองตัวโง่งม!
“ผิดหวังกับนิกายอมตะหวู่หลงมากหรือ?”
“ไม่คิดเข้านิกายอมตะหวู่หลงแล้ว?”
หลังจากนั้นไม่นานเสียงหัวเราะดังลั่นของเถิงชิ่งก็ค่อยหยุดลง คนเชิดหน้ามองต้วนหลิงเทียน พลางกล่าวประชดประชันออกมาว่า “ไอ้หนู นี่เจ้าคิดจริงๆหรือว่านิกายอมตะหวู่หลงของข้า…ผู้ใดคิดจะเข้าร่วมก็เข้าร่วมได้?”
“ไอ้หนู ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว…เดิมทีข้าเพียงคิดจะทุบตีเจ้าให้กระดูกแหลกเพื่อสั่งสอนเจ้าให้รู้สำนึกเท่านั้น แต่บัดนี้เจ้าหาญกล้าดูหมิ่นนิกายอมตะหวู่หลงของข้า เช่นนั้นข้าจักค่อยๆทรมานเจ้าให้รู้สึกอยู่ไม่สู้ตาย! ทรมานจนกว่าเจ้าจะวิงวอนร้องขอความตายจากข้า!!”