ตอนที่ 3,321 : จักรพรรดิอมตะหยกรุ้ง
ในฐานะที่เป็นขุมกําลังของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ได้ลอยล่องอยู่บนเวิ่งฟ้าอันลี้ลับแห่งหนึ่ง หากเป็นคนที่ไม่เคยมาเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ ปกติแล้วย่อมไม่อาจหาสถานที่ตั้งของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ได้พบ
อย่างไรก็ตาม เมอ่งห่าวซวนในฐานะที่เป็นศิษย์ของขุนเขากระบี่ฟ้า แม้ตอนติดตามอาจาย์มามันจะไม่ได้เข้าไปในตัวพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ แต่อย่างน้อยๆก็ได้มายืนเฝ้ารอด้านหน้า
“มีคนมากมายที่เป็นเหมือนข้า ได้แค่หยุดมองพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ไกลๆ…อย่าไรก็ตามแค่ได้มองพวกเราก็รู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์และความยิ่งใหญ่แล้ว”
เมื่อใกล้จะถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ เมิ่งห่าวชวนก็หันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียน ในแววตาเผยให้เห็นถึงความตื่นเต้นชัดเจน
เพราะในสายตาของมือกระบี่ทั้งหลายของจี้เมี่ยเทียน พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์นั้นไม่ต่างอะไรจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลย
เนื่องเพราะนี่คือสถานที่ๆ จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนเซียนกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดพำนักอยู่!
“อ่า”
ได้ยินคําพูดของเมิ่งห่าวชวนต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับทราบ ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในวังเทียนฉือ เขาก็ได้รับทราบแล้วว่าอาวุโสฟงชิงหยางไม่เพียงแต่จะเป็นจักรพรรดิสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียนเท่านั้น แต่อีกฝ่ายยังเป็นจุดศูนย์รวมความศรัทธาของเหล่ามือกระบี่ทั้งหลายอีกด้วย
ปกติแล้วตัวตนที่ทําให้เหล่าเซียนยอมตะทั้งหลายศรัทธาได้ก็มีแต่ตัวตนระดับเทพเท่านั้น
แต่ฟงชิงหยางนับเป็นตัวตนที่หาได้ยากนัก เพราะก่อนที่จะบรรลุถึงขอบเขตเทพ ก็ทําให้ผู้คนกว่าครึ่งของระนาบจี้เมี่ยเทียนศรัทธาได้แล้ว
มีจักรพรรดิสวรรค์น้อยคนนักในระนาบเทวโลกทั้งมวลที่สามารถเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชากรในระนาบเทวโลกของตัวเองกว่าครึ่งได้
ทว่าฟงชิงหยางเป็นหนึ่งในน้อยคนดังกล่าว
“น้องต้วน ก่อนจะไปถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ข้าอยากจะเตือนอะไรท่านสักคํา..ท่านไม่แน่ว่าจะได้เข้าไปในวังจักรพรรดิสวรรค์ด้วยซ้ำ”
ก่อนจะเดินทางถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ เมิ่งห่าวชวนก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสีงท่าทางจริงจัง “เจ้ากับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์อาจถือว่ามีสายสัมพันธ์กันก็จริง”
“อย่างไรก็ตามพื้นฐานของสายสัมพันธ์ที่ว่ามันอยู่ในระนาบโลกียะ…แม้ระนาบโลกียะจะเป็นดั่งรากฐานหลักที่ทําให้ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ก้าวมาถึงจุดนี้ได้ แต่เพราะเรื่อง ราวที่เกิดขึ้นในระนาบโลกียะมันห่างไกลเกินไปราวกับห่างกันคนละโลก…”
“นอกจากนี้ฟังจากที่ท่านพูดแล้ว สิ่งที่ท่านได้รับก็เป็นแค่มรดกที่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์เหลือทิ้งไว้สมัยยังอยู่ในระนาบโลกียะเท่านั้น”
“มรดกที่เหลือทิ้งไว้ในระนาบโลกียะ…บัดนี้มันไม่อาจนับเป็นอะไรได้แล้ว”
ระหว่างเดินทางเมิ่งห่าวชวนก็ได้รับทราบเรื่องราวเพิ่มเติมจากปากต้วนหลิงเทียน ว่ามีความเกี่ยวข้องกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของมันอย่างไร ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ได้หวังอะไรไว้มากมาย
ทว่าต้วนหลิงเทียนยังยืนกรานว่าจะลองมันก็ได้แต่พาต้วนหลิงเทียนมาลองดูเท่านั้น
“ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ทั้งหมดดีแก่ใจ”
ต้วนหลิงเทียนย่อมคาดเดาได้ไม่ยากว่าเมิ่งห่าวชวนกําลังกังวลเรื่องอะไร และรู้ว่าอีกฝ่ายก็แค่หวังดี เขาจึงได้แต่ตอบคํากลับไปด้วยรอยยิ้มเท่านั้น
เป็นธรรมดาว่าลึกลงไปในแววตาเขาก็ฉายชัดถึงความกังวลให้เห็นเช่นกัน
ถึงแม้การมาพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งเมี่ยเทียนคราวนี้ เขาจะหวังไว้ว่าผู้อาวุโสฟงชิงหยางยินดีออกหน้าช่วยเขาสักครั้ง อย่างไรก็ตามเขาได้เตรียมใจรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว
เมื่อไม่อาจได้รับความช่วยเหลือจากอาวุโสฟงชิงหยาง เช่นนั้นเขาก็ทําได้แค่พี่งพาตัวเองเรื่องช่วยบิดามารดาของส่วนเอ๋อเท่านั้น
แน่นอนว่าก่อนจะลงมือเขาก็ยยังต้องไปตระเตรียมอะไรอีกหลายอย่าง
…….
“ด้านหน้าก็คือพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แล้ว”
พอเสียงของเมิ่งห่าวซวนดังขึ้นอีกครั้ง ก็ดึงสติต้วนหลิงเทียนที่เหม่อคิดกลับคืน พอเขามองตามสายตาของเติ้งห่าวชวนไป ก็แลเห็นเกาะที่มีลักษณ์ดังขุนเขามหึมาลอยล่องกลางหาว ตัวเกาะยังแลคล้ายปลายกระบี่คว่ําลง
และรอบเกาะสูงตระหง่านคล้ายปลายกระบี่ปักลงนั้น ก็มีเกาะลอยเล็กๆลอยล่องอยู่โดยรอบ มากมายปานดาวล้อมเดือน
“ลือกันว่า สถานที่พักบ่มเพาะของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ไม่ได้อยู่บนเกาะหลัก แต่เป็นหนึ่งในเกาะลอยเล็กๆที่อยู่รอบเกาะหลักเช่นกัน…”
เมิ่งห่าวชวนมองจ้องไปยังเกาะลอยเบื้องหน้าด้วยสายตาร้อนแรงราวมีเปลวเพลิงลุกโชน ใบหน้าฉายชัดถึงความคลั่งไคล้ แม้มันจะเคยมาที่นี่แล้วแต่อารมณ์ของมันก็ยังคงฮึกเหิมราวกับมาครั้งแรก
และตอนนี้ในอากาศก็มีร่างคนหลายร่างลอยอยู่โดยรอบเว้นระยะห่างมากพอสมควร
คนเหล่านั้นก็ไม่ได้ทําอะไร เพียงหยุดร่างลงกลางหาวมองพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จากที่ไกลๆเท่านั้น
“กลิ่นอายนี่มัน…คุ้นนัก”
ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างข้างเมิ่งห่าวซวน และมองจองไปยังเกาะที่ลอยตระหวาานปานกระบี่ก็สัมผัสได้ถึงปราณกระบี่สายหนึ่งที่พุ่งเข้ามาหาเขา
และปราณกระบี่สายนี้กลับทําให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกจนพอนึกๆอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เข้าใจว่าไฉนมันถึงคุ้นเคยนัก
“กลิ่นอายปราณกระบี่นี่มัน…กับกลิ่นอายยอดใจกระบี่ที่ผู้อาวุโสฟงชิงหยางเหลือทิ้งไว้เป็นมรดก กลับคล้ายกันมาก…แค่กลิ่นอายของปราณกระบี่ที่นี่มันทั้งรุนแรงคมกล้าและบริสุทธิ์มากกว่า”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ สองตาต้วนหลิงเทียนก็เผยให้เห็นถึงสีสันอันร้อนแรงเล็กน้อย
“ไปที่ประตูหน้ากันเถอะ”
เมิ่งห่าวซวนกล่าวชวนต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็พาต้วนหลิงเทียนเห็นร่างไปยังประตูหน้าของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน
ต้องทราบด้วยว่าในอดีตตอนเมิ่งห่าวชวนมาเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ ยังไม่เค ยมาถึงประตูหน้าแค่ชมดูจากไกลๆเท่านั้น
วันนี้นับเป็นครั้งแรกที่มันมาถึงหน้าประตูพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวชวนเหินร่างเข้าใกล้ก็ปรากฏร่างผู้คนมากมายขึ้นในอากาศปานภูตผีบังขวางเอาไว้
“ที่นี่คือพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องห้ามเข้า!”
เป็นหน่วยองครักษ์สวรรค์หน่วยหนึ่งที่ลาดตระเวนอยู่แถวๆนี้ พอเห็นทั้งคู่เดินเข้าใกล้จึงเข้ามาขวางทางเอาไว้
สมแล้วที่เป็นพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์..แม้แต่หน่วยลาดตระเวนก็เป็นถึงจักรพรรดิอมตะ
ต้วนหลิงเทียนลอบถอนหายใจ
ก่อนที่จะมาถึงนี้ เขาก็ได้รับทราบจากเมิ่งห่าวซวนแล้วว่าในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ นอกจากจักรพรรดิอมตะสมญานามกับศิษย์ที่ได้ผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี ภายในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จะไม่มีศิษย์สาวกธรรมดาๆเหมือนกับขุมกําลังอื่น นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว ก็จะเป็นองครักษ์สวรรค์เท่านั้น
องครักษ์สวรรค์ ก็เป็นชื่อย่อมาจากองครักษ์พิทักษ์จักรพรรดิสวรรค์
องครักษ์สวรรค์เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เข้าร่วมกับพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ด้วยความสมัครใจและขอเพียงผ่านการทดสอบที่เหมาะสม ก็สามารถกลายเป็นองครักษ์สวรรค์ได้
และเมื่อได้เป็นองครักษ์สวรรค์ของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แล้ว ก็ต้องทํางานรับใช้จักรพรรดิสวรรค์เป็นเวลานานอย่างน้อยๆก็ต้อง 1,000 ปี!
บางคนที่ต้องการหลบหนีภัยพิบัติและศัตรูร้ายโดยการเป็นองครักษ์สวรรค์ ก็เต็มใจลงนามในสัญญารับใช้ว่าจะอยู่ที่นี้เป็นเวลาอย่างน้อยหมื่นปี!
เพาะหากไปร่อนเร่อยู่ด้านนอก ก็อาจหนีความตายไม่พ้น
แต่หากเข้าร่วมกับพระราชวังจักรพรรดิสววรรค์ จนกลายเป็นหนึ่งในองครักษ์สวรรค์แล้วล่ะก็จะได้รับการคุ้มครองจากองครักษ์สวรรค์ด้วยกัน รวมถึงจักรพรรดิอมตะสมญานามในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ทั้งหลาย ไม่ต้องหวาดกลัวและกังวลว่าจะมีอันตรายถึงตายใดๆอีก
หากอยากได้บางสิ่งที่ต้องจ่ายราคาบางอย่าง
นี่เป็นสัจธรรมที่ดํารงอยู่มาตั้งแต่โบราณ
“ท่านองครักษ์สวรรค์ พวกเรามีเรื่องขอเข้าพบใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์”
เมิ่งห่าวชวนคลี่ยิ้มกล่าวคํากับองครักษ์สวรรค์ที่ทําหน้าที่ลาดตระเวนเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงสุภาพ ถึงแม้องครักษ์สวรรค์เหล่านี้จะไม่มีใครเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่ก็ไม่ใช่จักรพรรดอมตะที่มีพลังฝีมืออ่อนด้อย
จักรพรรดิอมตะทั่วไป จะกล้าสร้างปัญหาใหญ่หลวงได้อย่างไร สุดท้ายยังต้องหลบหนีเภทภัยมาพึ่งบารมีของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แบบนี้?
“มาขอพบใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์”
องค์รักสวรรค์ในหน่วยลาดตระเวนหลายคนก็ตกใจอยู่บ้างเมื่อได้ยินเรื่องราว จากนั้นพวกมันก็เริ่มมองสํารวจต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวชวนสักพัก ก่อนองครักษ์สวรรค์คนแรกที่เข้ามาทักจะมองกล่าวกับทั้งสองว่า “พวกเจ้าติดตามข้าไปประตูหน้าพระราชวัง
พอกล่าวจบองครักษ์สวรรค์คนดังกล่าวก็เห็นร่างนําไปทันที ส่วนองครักษ์สวรรค์ที่ทําหน้าที่ลาดตระเวนคนอื่นๆ ก็ไปเห็นร่างเพื่อลาดตระเวนตรวจตราสืบต่อ
ระหว่างที่เห็นร่างนำทางองครักษ์สวรรค์ที่นาทางไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คําเดียว พอพา พวกต้วนหลิงเทียนมาส่งถึงด้านหน้าประตูพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แล้ว มันก็เห็นร่างจากไปทันที
แต่ก่อนจะจากไป มันก็มีหันไปกล่าวคํากับองครักษ์สวรรค์ทั้ง 4 คนที่ทําหน้าที่เฝ้าประตูว่า “ทั้งคู่บอกว่าจะมาขอเข้าพบใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์….พวกเจ้ารับช่วงต่อเถอะ”
หลังองครักษ์สวรรค์ในหน่วยลาดตระเวนเหินร่างจากไป สายตาองครักษ์สวรรค์ทั้ง 4 ที่ทําหน้าที่เฝ้าประตูก็หันมาจับจ้องมองสํารวจตัวนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนทันที
จังหวะนี้ด้านตัวนหลิงเทียนก็มองสํารวจประตูหน้าพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์เบื้องหน้าด้วย มันช่างยิ่งใหญ่ตระการตาเหนือกว่าประตูหน้าของนิกายกระบี่หมื่นหายนะที่เขาเคยเห็น ยังน่าเกรงขามยิ่งกว่าประตูหน้าของวังเทียนฉือหลายขุม!
“พวกเจ้ามาขอพบใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์หรือ?”
หนึ่งในองครักษ์สวรรค์ที่เฝ้าประตูเอ่ยยถามออกมาด้วยน้ำเสียงสีหน้าจริงจัง ในเมื่อเป็นคนที่มาขอพบใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมันได้ เช่นนั้นก็ต้องไม่ธรรมดาพอตัวอาศัยมันย่อมไม่กล้าล่วงเกินอีกฝ่าย
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ไม่ทราบพวกเจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์เช่นนั้นหรือ?”
องครักษ์สวรรค์คนเดิมเอ่ยถาม
เมิ่งห่าวชวนหันไปมองต้วนหลิงเทียน ส่วนต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมากับองครักษ์สวรรค์ตรงๆ “อาวุโสฟงชิงหยางเคยทิ้งมรดกไว้ในบ้านเกิด และข้าคือผู้ที่ได้รับสืบทอดมรดกดังกล่าวมา”
“โอ้?”
ได้ยินคําพูดของต้วนหลิงเทียนองครักษ์สวรรค์ดังกล่าวก็หดเล็กลง เพราะเท่าที่มันทราบนั้น ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของมันยังไม่มีลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ เคยมีก็แต่ศิษย์ในนามเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น แต่ทั้งคู่ก็เลิกล้มออกไปกลางคัน
นอกจากนั้นแล้ว มันก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของมันไปสร้าง มรดกตกทอดไว้ที่ไหนอีก
“คุณชาย ข้าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่?”
องครักษ์สวรรค์เอ่ยถามออกมา น้ำเสียงท่าทางยังสุภาพนอบน้อมขึ้นหลายส่วน เพราะหากอีกฝ่ายได้รับสืบทอดมรดกจากใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมันจริงๆ ต่อให้จะเป็นมรกจากระนาบโลกียะมันก็ไม่กล้าดูเบาละเลยอีกฝ่าย
“ต้วนหลิงเทียน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“แล้วมิทราบคุณชายต้วน มาขอพบใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ด้วยกิจอันใดหรือ?”
องครักษ์สวรรค์เอ่ยยถามอีกครั้ง
“เรื่องมันยาว..รบกวนท่านแจ้งไปยังอาวุโสฟงชิงหยางว่าข้ามาขอพบก็พอหากกอาวุโสฟงชิงหยางยินดีพบข้า ข้าค่อยบอกกล่าวกับอาวุโสทีเดียว แต่หากอาวุโสไม่อยากพบข้า เช่นนั้นข้าพูดไปตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์”
ตัวนหลิงเทียนกล่าว
และหลังจากพูดออกไปแล้ว ในใจต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเต็มไปด้วยความกังวล
ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่แน่ใจเลยว่าอาวุโสฟงชิงหยางจะเต็มใจออกหน้าช่วยเหลือเขาหรือไม่ต่อให้อีกฝ่ายจะยอมพบเจอแต่กับเรื่องนี้เขาก็ไม่แน่ใจจริงๆ
ด้วยสถานะของอีกฝ่ายในปัจจุบัน กับผู้สืบทอดมรดกที่เหลือทิ้งไว้ในระนาบโลกียะอย่างเขายังจะสลักสําคัญมากพอให้อีกฝ่ายสนใจหรือไม่?
“ก็ได้ ข้าจะไปแจ้งเรื่องราวให้ท่าน”
องครักษ์สวรรค์พยักหน้า จากนั้นมันก็เดินเข้าประตูใหญ่ หายไปจากสายตาของต้วนหลิงเทียนและเมิ่งห่าวซวน
ต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวชวนก็ได้แต่รอเงียบๆ
ราวๆ 1 เค่อต่อมา ในสายตาของต้วนหลิงเทียน ร่างองครักษ์สวรรค์คนดังกล่าวก็กลับมาพร้อมชายคนหนึ่ง เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเขียว รูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดา
กล่าวได้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ หากมองผ่านๆก็ไม่ต่างอะไรจากคนทั่วๆไป
อย่างไรก็ตามหากดูจากท่าที่เคารพนอบน้อมขององครักษ์สวรรค์ที่เดินตามหลังต้อยๆแล้ว ก็ไม่ยากที่จะบอกได้ว่าฐานะของอีกฝ่ายในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งนี้ต้องไม่ใช่ชั่วแน่!
“ท่านผู้นี้คือ จักรพรรดิอมตะหยกรุ้ง ของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์เรา”
องครักษ์สวรรค์คนเดิมที่ยืนอยู่ด้านหลังชายวัยกลางคน ก็กล่าวแนะนําชายวัยกลางคนให้ด้วนหลิงเทียนรู้จัก “ท่านเป็น 1 ในจักรพรรดิอมตะสมญานามของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ที่สามารถติดต่อกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ได้โดยตรง”
“เจ้าหนุ่ม เจ้าบอกว่าเจ้าคือผู้ได้รับสืบทอดมรดกของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ในระนาบโลกียะรึ?”
ชายวัยกลางคนที่องครักษ์สววรรค์เรียกหาว่า จักรพรรดิอมตะหยกรุ้ง มองต้วนหลิงเทียนด้วย สายตาราวมีสายฟ้าฟาด และคนแต่เดิมที่ให้ความรู้สึกเหมือนชายวัยกลางคนธรรมดาๆ อยู่ๆทั่วร่างก็แผ่กลิ่นอายอันไม่ธรรมดาออกมา!