ตอนที่ 3,441 : อันดับ 1!
  “น้องฟง แพ้ก็คือแพ้ ท่านชนะก็คือชนะไม่ต้องกล่าวใดอื่น…ข้า ติงฟู่ ถึงแม้จะไม่เชื่อมั่นในการจัดอันดับรายนามจักรพรรดิสวรรค์ของวิหารเฟิงฮ่าว แต่เนื่องจากท่านเอาชนะข้าได้ เช่นนั้นอันดับท่านก็สมควรเหนือกว่าข้าถูกแล้ว”
  ติงฟู่เอ่ยพูดออกมาตรงๆ “หากท่านเหนือกว่าข้า แต่พวกมันจัดอันดับท่านให้น้อยกว่าข้า เช่นนั้นข้าก็จะไปขอให้พวกมันเปลี่ยนแปลงเช่นกัน!”
  ได้ยินคำพูดของติงฟู่ ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะพึ่งเคยพบเจออีกฝ่ายยเป็นครั้งแรก แต่ก็ถูกใจอีกฝ่ายไม่น้อย
  จักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนคนนี้ เห็นชัดว่าเป็นคนตรงๆ
  “เอาล่ะน้องฟงท่านตามข้าเข้าไปด้านในก่อนเถอะ…ครั้งนี้วิหารเฟิงฮ่าวเลือกจัดงานประลองศึกอัจฉริยะที่หยวนสื่อเทียนเรา ข้าเองก็ได้จัดเตรียมสถานที่เอาไว้แล้ว ตอนนี้ผู้ที่มาก่อนไม่ว่าจะพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หรือวิหารเฟิงฮ่าว ก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น”
  ติงฟู่กล่าวชวนฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ “สภาพแวดล้อมที่นั่นก็ไม่เลวเลย แต่แน่นอนว่าน้องฟงท่านไม่จำเป็นต้องไปพักที่นั่นก็ได้ ข้าจะจัดที่พักให้เอง และพอใกล้ถึงเวลาเมื่อใดค่อยไป”
  ติงฟู่แลดูกระตือรือร้นมาก
  เป็นธรรมดาว่า ต้วนหลิงเทียน เมิ่งหลัว และคนอื่นๆก็รู้ดี ว่าที่ไฉนติงฟู่แลดูต้อนรับดีออกหน้าออกตาขนาดนี้ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพราะเห็นแก่หน้าฟงชิงหยาง
  “พี่ติง ท่านไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้”
  ฟงชิงหยางส่ายหัวพลางกล่าว “ผู้อื่นอยู่กันที่ไหน พวกเราก็ไปอยู่ที่นั่นเถอะ…นอกจากนั้นให้พวกเด็กๆได้พบเจออัจฉริยะจากระนาบเทวโลกอื่นๆก่อน ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี”
  “แล้วแต่น้องฟงท่านเลย”
  ติงฟู่ยิ้มรับ ไม่คิดขัดอะไร
  สุดท้ายติงฟู่ก็นำพาฟงชิงหยางกับเมิ่งหลัวไปยังที่พักต่างหาก ส่วนด้านพวกต้วนหลิงเทียนและอัจฉริยะคนอื่นๆก็ถูกพาไปยังสถานที่พักของเหล่าอัจฉริยะที่มาจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ต่างๆ…ส่วนที่พักของคนจากวิหารเฟิงฮ่าวก็จะแยกไปอีกส่วน
  แน่นอนว่าติงฟู่ไม่ได้พาพวกต้วนหลิงเทียนและอัจฉริยะคนอื่นๆไปเข้าที่พักด้วยตัวเอง แต่ให้ศิษย์คนหนึ่งของมันคอยอำนวยความสะดวกและพาไปแทน
  “ท่านคือศิษย์น้องต้วนหลิงเทียนใช่หรือไม่? ท่านอาจารย์กำชับข้ามาว่าให้ดูแลท่านอย่างดี”
  ชายหนุ่มอันเป็นศิษย์ของติงฟู่ที่คอยอำนวยความสะดวกและพาพวกต้วนหลิงเทียนไปยังสถานที่พักของเหล่าอัจฉริยยยะจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ มีรูปร่างผอมบางหน้าตาแลดูธรรมดาๆ อย่างไรก็ตามสองตามันทอประกายสดใสแลดูมีชีวิตชีวาร่าเริงมาก
  แม้ชายหนุ่มร่างผอมบางมาในชุดคลุมสีเทาหลวมไม่พอดีตัว ลักษณะท่าทาแลดูธรรมดา คล้ายไม่มีใดดเด่น
  อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนรู้ว่าพลังฝีมือของอีกฝ่ายต้องอยู่ในระดับจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้ว
  ‘ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนเป็นเทพสงคราม 9 ดารา อีกทั้งศิษย์ทั้ง 2 ของมันก็เป็นถึงเทพสงคราม 7 ดารา พลังฝีมือยังเหนือกว่าจักรพรรดิสวรรค์ระดับล่างๆบางคนด้วยซ้ำ’
  ขณะมองไปยังชายหนุ่มชุดเทาร่างผอมเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ลอบคิดในใจ ย้อนนึกถึงเรื่องราวที่ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกเขาไว้ก่อนหน้า
  “ขอบคุณศิษย์พี่เว่ยฉี”
  เห็นท่าทีกระตือรือร้นมากอัธยาศัยของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ชื่อของอีกฝ่ายเขาก็ได้รู้ตอนที่อีกฝ่ายมาตามคำเรียกหาของติงฟู่
  เว่ยฉี
  จักรพรรดิอมตะกระดูกมังกร
  ต้วนหลิงเทียนยังรับทราบจากผู้เฒ่าหั่วอีกว่า พลังฝีมือของเว่ยฉียังเหนือกว่าผู้เฒ่าหั่วมาก และยยังเหนือกว่าจักรพรรดิอมตะสวรรค์กร่างเมิ่งหลัวเสียอีก ถึงแม้จะเหนือกว่าไม่มากก็ตามที นับว่าเป็จักรพรรดิอมตะสมญานามฝีมือฉกาจคนหนึ่ง
  นอกจากนั้นอีกฝ่ายก็เป็นศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน เช่นนั้นสถานะของอีกฝ่ายในหยยวนสื่อเทียนแห่งนี้ก็กล่าวได้ว่า อยู่ใต้หนึ่งแต่เหนือนับหมื่น!
  แน่นอนว่ามันยังมีศิษย์พี่อีกคน และศิษย์พี่ของมันก็เป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าของเทพสงคราม 7 ดาราอีกด้วย
  “ศิษย์น้องต้วน เท่าที่ข้าทราบมา อาจารย์อาฟงชิงหยาง ตั้งแต่ทานขึ้นมายังระนาบเทวโลกจวบจนได้เป็นจักรพรรดิสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียน ก็ไม่เคยรับผู้ใดเป็นศิษย์มาก่อนเลย…กระทั่งมีอัจฉริยะนับไม่ถ้วนหมายฝากตัวเป็นศิษย์ แต่อาจารย์ลุงฟงก็ไม่เคยคิดจะรับผู้ใดเลย”
  ระหว่างนำไปยังที่พัก เว่ยฉี ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมาด้วยความอยากรู้ “ที่แท้ศิษย์น้องต้วนทำอย่างไรกันแน่ ถึงทำให้อาจารย์ลุงฟงยอมรับเป็นศิษย์ได้”
  ขณะที่เว่ยฉีเอ่ยถามเรื่องนี้ออกมา เหล่าอัจฉริยะอีก 3 คนที่เดินตามมาอยู่ด้านหลัง ก็หูผึ่งขึ้นมาทันที สองตายังมองจ้องไปยังแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนเขม็ง เห็นได้ชัดว่าพวกมันก็อยากรู้คำตอบเรื่องนี้เช่นกัน
  ได้ยินคำถามของเว่ยฉี ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวไปมาพลางยิ้มตอบว่า “พอดีอาจารย์กับข้าล้วนเป็นคนระนาบโลกียะเดียวกัน และข้าก็มีโชคได้รับสืบทอดมรดกที่อาจารย์เหลือทิ้งไว้ในระนาบบ้านเกิดดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ข้ากับท่านอาจารย์ก็ถูกเชื่อมโยงด้วยสาใยแห่งโชคชะตาฉันศิษย์อาจารย์”
  “ระนาบโลกียะหรือ?”
  ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน เว่ยฉี ก็ผงะไปเล็กน้อยก่อนจะกระจ่างได้ทันใด “ที่แท้ศิษย์น้องต้วนก็มีวาสนาเป็นศิษย์ของอาจารย์อาฟงในลักษณะนี้นี่เอง…ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนอาจารย์อาฟงถึงยอมรับท่านเป็นศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียว”
  “ศิษย์น้องต้วน ท่านนับว่าโชคดีมาก”
  เว่ยฉียิ้มกล่าว “ท่านทราบหรือไม่ ว่ามีผู้คนมากมายเท่าใดที่หมายฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารยย์อาฟง…ยิ่งหลังจากที่อาจารย์อาฟงกลับออกมาจากนรกอสุรา และถือครองพลังที่คาดว่าน่าจะทะลวงถึงขอบเขตเทพแล้ว ก็ยิย่งมีผู้คนไปเยือนถึงหน้าประตูมากขึ้น”
  “กระทั่งในระนาบเทวโลกอื่นๆ ก็มีคนของขุมกำลังระดับสวรรค์มากมาย ที่ถูกเหล่าอาวุโสในขุมกำลังพาไปเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนเพื่อเข้าพบอาจารย์อาฟง หมายฝากตัวเป็นศิษย์…แต่ทุกคนล้วนถูกปฏิเสธกลับมาหมด”
  “สุดท้ายอาจารย์อาฟงด้วยเห็นแก่หน้าของสหายที่สนิทสนมกันและคอยช่วยเหลือกันมาในกาลก่อน ก็มีรับศิษย์แต่ในนามอยู่คนสองคน”
  เว่ยฉีกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาอาจารย์อาฟงไม่เคยรับใครเป็นศิษย์ที่แท้จริงเลย…ศิษย์น้องต้วนท่านนับว่าเป็นคนแรก”
  “ใช่ โชคดีจริงๆ”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรมาก
  เขายังจะพูดอะไรได้อีก?
  จะให้เกทับคนที่ถูกอาจารย์เขาปฏิเสธหรือ ใช่เรื่องรึเปล่า?
  “ที่แท้นายน้อยก็กลายเป็นศิษย์ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ในลักษณะนี้”
  สตรีคนเดียวในบรรดาทั้ง 3 ที่เดินตามมาด้านหลังต้วนหลิงเทียนกับเว่ยฉี หลานสาวของสหายเก่าเมิ่งหลัวพลันตระหนักได้ทันที ขณะพึมพำกับตัวเบาๆก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง จางเทียนโย่ว…ข้าคิดว่านายน้อยโชคดีจริงๆ เจ้าเล่า คิดว่าอย่างไร?”
  “ว่างถิง อย่าได้คิดใช้ข้าเป็นมือปืนหน่อยเลย”
  จางเทียนโย่วเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดเสี้ยมให้ข้าประลองกับต้วนหลิงเทียนเพื่อหยั่งตื้นลึกหนาบาง หากข้าชนะ เจ้ามิแคล้วต้องได้ทีไปท้าสู้ผู้อื่นต่อ! แต่เจ้าคิดหรือ…ว่าข้าจางเทียนโย่วโง่งมจนเป็นเบี้ยให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์ได้ง่าย? หากเจ้าอยากรับทราบพลังฝีมือผู้อื่น ก็ไปสู้ของเจ้าเอง!”
  “ถึงแม้หากข้าต้องสู้กับมัน นั่นก็ต้องเป็นบนเวทีประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์เท่านั้น”
  “ปกติแล้ว ทุกคนล้วนมีโอกาสพบกันบนสังเวียนทั้งสิ้น…และต่อให้ไม่มีโอกาสเลย หากผู้อื่นชนะผ่านเข้ารอบไปแล้ว ถึงแม้จะแพ้ ก็ยังมีโอกาสท้าประลองในศึกคืนชีพได้!”
  เห็นได้ชัดว่าจางเทียนโย่ว ล่วงรู้กฏเกณฑ์การประลองของศึกอัจฉริยะสวรรค์อยู่บ้าง
  ว่างถิงไม่คิดว่าจะถูกจางเทียนโย่วมองเจตนาออกแต่แรกแถมอีกฝ่ายยังแฉออกมาตรงๆ ทำให้นางฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจทันที
  “ฮ่าๆๆ…”
  ตอนนี้เองเว่ยฉีที่อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ศิษย์น้องต้วน ดูเหมือนพวกมันอยากรับทราบพลังฝีมือของท่านไม่น้อย ว่าแต่ครั้งีน้ท่านมาเพื่อชมดูเอาสนุกสนาน หรือคิดเข้าร่วมการประลองด้วยเล่า?”
  “อย่างหลังน่ะ”
  สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่งพลางตอบ
  เกี่ยวกับเรื่องที่ว่างถิงและจางเทียนโย่วคุยกัน เขาไม่ได้สนใจอะไรแม้แต่น้อย
  ถึงพลังฝีมือของทั้งคู่จะถือว่าดี แต่ด้วยความก้าวหน้าตลอดระยะเวลา 300 ปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่ใช่มังสวิรัต!
  ตอนนี้ด่านพลังฝึกปรือของเขาก้าวหน้ามาจนถึงช่วงปลายขอบเขตจักรพรรดิอมตะแล้ว บรรลุถึงจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนักเรียบร้อย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงความสำเร็จในกฏมิติที่ได้รับความช่วเหลือจากผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุดเลย
  ในปัจจุบันต่อให้เขาไม่ต้องอาศัยพลังของเทพเบญญจธาตุและกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน แต่คิดฆ่าทั้ง 3 ด้านหลังก็ฌลำบากเพียงยกมือเท่านั้น!
  เขาไม่ใส่ใจคำพูดอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
  เพราะไม่ว่ววาจะว่างถิงก็ดี จางเทียนโย่วก็ดี ในสายตาเขา…พวกมันไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเขาอีกต่อไป!
  ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้อีกด้วย ว่าอัจฉริยะส่วนใหญ่ที่มาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ พลังฝีมือก็อยู่ในระดับเดียวกับพวกวว่างถิงและจางเทียนโย่ว มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ที่มีพลังฝีมือเหนือกว่าทั้งคู่…และคู่ต่อสู้ของเขาก็คือคนส่วนน้อยที่ว่า
  และแน่นอน ว่าต่อให้เป็นคนส่วนน้อยเหล่านั้น เขาก็คิดว่าคงมีไม่กี่คนที่สามารถคุกคามเขาได้
  ‘คราวนี้…อันดับ 1 ในศึกอัจฉริยะสวรรค์ต้องเป็นของข้าต้วนหลิงเทียนแน่!’
  ‘ผลอมตะหยวนปะทุของวิหารเฟิงฮ่าวนั่น ถูกลิขิตให้อยู่ในกระเป๋าของข้าแล้ว!’
  ‘ถึงวิหารเฟิงฮ่าวจะมีไพ่ตายอะไร ข้าก็จะเอาชนะมัน…ต่อให้เป็นสุดยอดอัจฉริยะของวิหารเฟิงฮ่าว ตราบใดที่มีข้าต้วนหลิงเทียนอยู่ ก็อย่าได้หวังว่าจะเป็นคู่แข่งข้าได้’
  การเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ครานี้ในใจต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความมั่นใจ และเปี่ยมล้นไปด้วยความแน่วแน
  พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนได้ยินบทสนทนาของพวกมัน แต่อีกฝ่ายยกลับไม่สนใจใยดีพวกมันเลย ว่างถิง กับจางเทียนโย่วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ และเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าที่แท้นายน้อยพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์คนนี้ที่แท้มีควาวมสามารถจริงๆ หรือแค่โชคดีกันแน่
  สำหรับว่างถิงแล้วหากลุงเมิ่งหลัวของนางบอกว่าพลังฝีมือนายน้อยร้ายกาจจริงๆ นางก็อดไม่ได้ที่จะท้าประลองกับอีกฝ่ายสักตั้ง
  “อย่างหลัง?”
  ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียนสองตาเว่ยฉีก็เป็นประกายขึ้นมาทันที เอ่ยถามออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “แล้วศิษย์น้องต้วนท่าน คาดหวังว่าจะได้อันดับใดในการประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้หรือ?”
  “เท่าที่ข้าทราบมาทุกศึกอัจฉริยะสวรรค์ ล้วนมีอัจฉริยะเข้าร่วมไม่น้อยกว่า 2,000 คน”
  “ในบรรดาอัจฉริยะเหล่านั้น ก็มีลูกหลานเหล่าศิษย์ของสุดยอดฝีมือระดับแนวหน้าในระนาบเทวโลกที่เก็บตัวมากมาย”
  “ข้าได้ยินท่านอาจารย์บอกว่า ในระนาบเทวโลกทั้งมวล มีสุดยอดฝีมือที่เร้นกายมากมาย และบางคนก็ร้ายกาจิ่งกว่าจักรพรรดิสวรรค์เสียอีก…ในบรรดาผู้ที่เร้นกายก็มีระดับเทพสงคราม 7 ดารามากมาย กระทั่งแม้แต่เทพสงคราม 8 ดาราฝีมือพระกาฬก็มีไม่น้อย”
  “และข้ายังได้ยินท่านอาจารย์บอกอีกว่า แม้แต่เทพสงคราม 9 ดาราที่พลังฝีมือเหนือกว่าจักรพรรดิสวรรค์ส่วนใหญ่ ก็อาจส่งศิษย์สืบทอดมาเข้าร่วม”
  ได้ยินเรื่องที่เว่ยฉีพูดแม้ต้วนหลิงเทียนจะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
  ไม่ใช่ยอดฝีมือทุกคนจะสนใจต่อสู้ช่วงชิงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์
  บางคนก็ชอบฝึกฝนอย่างสันโดษ
  และในบรรดาตัวตนเหล่านี้ ก็ไม่ขาดผู้แข็งแกร่ง
  ได้ยินคำถามของเว่ยฉี ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวตอบอันดับที่เขาคาดหวังออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “อันดับ 1”