ตอนที่ 3,455 : จักรพรรดิหยก? ยูไล?
  ณ พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียน
  “บัดซบ!”
  ร่างที่แท้จริงของซือถูฉูชิงที่อยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียนสบถด่าออกมา ที่ไฉนนางถึงมาอยู่ที่นี่ได้เพราะจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียนนั้น ก็เคยเห็นพลังฝีมือของสามีนางมาแล้ว จึงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นตัวตนขอบเขตเทพ
  ในตอนที่พบเจอกับบุรุษดังกล่าว อีกฝ่ายก็ชอบพอนางจนในที่สุดก็ลงเอยกัน
  อย่างไรก็ตามหลังบุรุษผู้นั้นจากไป อีกฝ่ายก็ไม่เคยหวนกลับมาอีกเลย เพราะบุรุษผู้นั้นก็มีครอบครัวอยู่บนระนาบเทพแล้ว นางก็เป็นเพียงดอกไม้ริมทางหนึ่งที่อีกฝ่ายเด็ดดม…
  ที่จักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียนกล้าที่จะรับตัวนางมาพักที่นี่ ก็เพราะรู้ว่านางมีสามีเป็นเทพ จึงคิดสานไมตรีกับนางเพื่อหวังว่าวันหนึ่งจะได้รับความช่วยเหลือ จนทะลวงถึงขอบเขตเทพ…
  อย่างไรก็ตามซือถูฉูชิงไม่คิดไม่ฝันเลย ว่านางที่ใช้ไม้วิเศษอมตะไปเข้าร่วมศึกอัจฉริยะเพื่อกล่าวข่มขู่ฟงชิงหยางเรื่องที่มีสามีเป็นเทพก็แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่กลัวเกรงหรือไว้หน้าแม้แต่น้อย
  พอลงมือก็ฆ่าร่างอวตารที่สร้างขึ้นโดยใชไม้วิเศษอมตะของนางทันที
  “ฟงชิงหยาง เป็นเจ้าบีบคั้นข้า! เป็นเจ้าบีบคั้นข้าเองนะ!!”
  สภาพซือถูฉูชิงในตอนนี้แลดูน่ากลัวนัก สองตานางแดงฉานราวคนคลั่ง ปิ่นปักผมไม่ทาบแตกหักไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เส้นผมฟูฟ่องปานอสรพิษ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันน่ากลัวปะทุออกมาทั่วร่างปานเพลิงงไฟ ชดคลุมโบกกระพือแม้ไร้ลม กล่าวด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟันปานสัตว์ป่า…
  เรียกว่าสารรูปซือถูฉูชิงตอนนี้หมดคราบหญิงงามโดยสิ้นเชิง จะเหลือก็แต่หญิงงบ้าที่คุ้มคลั่งนางหนึ่ง
  “รอให้ช่องทางเชื่อมต่อระนาบเทพกับระนาบเทวโลกเปิดออกเมื่อใดข้าจักขึ้นไปหามัน…ถึงแม้ข้าจักไม่ได้สำคัญอะไรในใจของมันนัก แต่เพื่อเห็นแก่วันวานอันดี อย่างน้อยๆมันก็ต้องแก้แค้นให้ลูกสาวเรา!”
  ในดวงตาของซือถูฉูชิง เปี่ยมล้นไปด้วยความแค้นอย่างถึงที่สุด
  แต่ไม่นานนัก นางก็สงบสติลงได้ มือสะบัดเรียกปิ่นปักผมชิ้นมาก่อนจะรวบผมเป็นมวยแล้วปักไว้ หวนคืนสู่รูปลักษณ์โฉมงามแสนอ่อนโยนอีกครา หาคราบหญิงบ้าคุ้มคลั่งก่อนหน้าไม่เจอ…
  “อวี่เอ๋อ…”
  ครู่ต่อมาซือถูฉูชิงก็ติดต่อไปหา เฟิ่งเจียนอวี่ อดีตธิดาเทพของนิกายลั่วสุ่ยและยังเป็นแฝดสาวคนโต “พวกเราต้องรีบออกจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียนเดี๋ยวนี้ พวกเรามิอาจอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป”
  เนื่องจากจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางเห็นนางมากับจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียน เช่นนั้นอีกฝ่ายสมควรเดาได้แล้วว่านางมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ พอศึกอัจฉริยะสวรรค์จบลงเมื่อไหร่ โอกาสทีอีกฝ่ายจะมาหาตัวนางถึงที่นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี
  หากปล่อยให้ฟงชิงหยางพบร่างที่แท้จริงของนางล่ะก็ นางไม่คิดว่าจะมีปัญญาหนีเอาชีวิตรอดได้
  “อีกแค่ 400 ปี…อีกแค่ 400 ปีเท่านั้น! ข้ารอได้!!”
  “ฟงชิงหยาง ข้าหวังว่าหลังจากนี้ 400 ปี เจ้ายังจะกร่างแบบนี้ได้อยู่!!”
  ตอนที่เดินทางออกจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียนไปพร้อมกับเฟิงเจียนอวี่ ซือถูฉูชิงก็ไม่ทักทายผู้ใดและไม่แจ้งใครไว้ทั้งสิ้น แม้ดูผิวเผินเหมือนนางจะสงบใจเย็น แต่ที่จริงในใจนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความเกลียดชัง!
  ในฐานะที่เป็นถึงจักรพรรดินีสวรรค์คนหนึ่งง ไหนเลยนางจะเต็มใจอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆแบบนี้ๆได้?
  หากนางเป็นคนชอบหลบๆซ่อนๆ นางคงไม่เลือกจะเป็นจักรพรรดินีสวรรค์แต่แรก
  อนิจจาตัวตนอย่างจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง มันสุดที่นางจะต้านทานใดได้ ไม่เพียยงทำให้นางไม่อาจย้อนกลับไปเป็นจักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนได้เท่านั้น กระทั่งจะเปิดเผยตัวเองออกมายังไม่กล้า เพราะหากมีเบาะแสใดเล็ดรอดออกไป ก็กลัวอีกฝ่ายจะตามเจอ…
  …
  ณ หยวนสื่อเทียน มุมหนึ่งของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน
  พื้นที่จัดงานประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์
  ถึงแม้ร่างอวตารจากไม้วิเศษอมตะของซือถูฉูชิงจะยกสามีที่เป็นถึงเทพออกมาข่มขู่ก็แล้ว แต่จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางก็ไม่ได้แยแสใดๆ เลือกจะทำลายร่างอวตารและไม้อมตะวิเศษทิ้งไปทันที
  ฉากเรื่องราวดังกล่าว ทำให้ทุกคนตกใจอยู่บ้าง
  จักรพรรดิสวรรค์ทั้งหลายก็คิดว่าฟงชิงหยางช่างกล้าหาญนัก “จักรพรริสวรรค์ฟงชิงหยางคนนี้ สมแล้วที่สามารถรอดกลับออกมาจากนรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามอันตรายของระนาบเทวโลกได้…แม้จะเผชิญกับคำขู่ที่เกี่วพันถึตัวตนขอบเขตเทพ แต่ก็ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว”
  “ใจอันห้าวหาญเด็ดเดี่ยวของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางทำให้ผู้คนไม่อาจไม่ชื่นชมจริงๆ…บางทีที่ไฉนมันถึงประสบความสำเร็จได้ในเวลาอันสั้นอย่างวันนี้ อาจเป็นเพราะมันมีจิตใจห้าวหาญเด็ดเดี่ยวก็เป็นได้”
  คำว่าไม่กลัวใครๆก็พูดได้ แต่จะมีใครสักคนที่ไม่กลัวจริงๆ?
  ย้อนกลับไปในอดีต ฟงชิงหยางถูกศัตรูไล่ล่าจนต้องหลบหนีเข้าสู่นรกอสุรา…เรื่องนี้พูดไปเหมือนง่าย แต่ถ้าเป็นจักรพรรดิสวรรค์คนอื่นๆ เกรงว่า 8-9 ส่วนคงเลือกที่จะต่อสู้กับศัตรูให้ตายกันไปข้างมากกว่า ไม่กล้าที่จะหลบหนีเข้าสู่นรกอสุราแบบนั้น ไม่เพียงแต่จะไม่มีความกล้าพอ…ทุกคนยังรู้ดีอีกว่าถ้าไม่ใช่เทพ เข้าไปก็มีแต่ตายกับตาย เรียกว่าตายสิบไร้ทางรอด!
  นี่เป็นดั่งกฏเหล็กที่ทุกคนรู้กัน
  กระทั่งต่อให้เป็นตัวตนระดับเทพ คิดจะเข้าสู่นรกอสุรา อย่างดีก็วนเวียนอยู่แถวๆใกล้ๆทางออก ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปลึกนักหรอก หาไม่แล้วก็คงต้องตายไม่รู้ตัว!
  ในตำนานเล่าขานไว้ว่า มีแต่ตัวตนระดับผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น ที่สามารถเข้าออกนรกอสุราได้ตามใจชอบ
  แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตำนาน จริงหรือไม่จริง เกรงว่าคงมีแต่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะรู้ได้
  หลังทำลายร่างอวตารจากไม้วิเศษอมตะของซือถูฉูชิงแล้ว ฟงชิงหยางก็พาเมิ่งหลัวที่ติดตามมาด้านหลังไปยังเกาะลอยฟ้าขนาดเล็กที่ลอยอยู่ใกล้ๆเกาะลอยฟ้าของจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนตามคำชวน
  ก่อนหน้านี้จักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนไม่ได้เชิญใครให้มานั่งข้างๆเลย เพียงชวนก็แต่ฟงชิงหยางเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ามันให้ความสำคัญกับฟงชิงหยางมาก “จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง ปกติข้าติงฟู่ไม่ยอมรับใครง่ายๆ แต่วันนี้ข้ายอมรับนับถือเจ้าแล้ว”
  ติงฟู่กล่าวพลางยกนิ้วโป้งให้ฟงชิงหยางอย่างอดไม่ได้
  เมื่อครู่หากเป็นมันที่พบเจอคำขู่ของซือถูฉูชิง พอล่วงรู้ว่าสามีผู้อื่นเป็นถึงเทพจากระนาบเทพ มันคงไม่กล้าล่วงเกินตอแยอะไรซือถูฉูชิงอีก
  ท้ายที่สุดแล้วช่องทางเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทวโลกกับระนาบเทพก็ไม่ได้ปิดอยู่ตลอด!
  ทุกๆรอบ 10,000 ปี ถึงจะมีการปิดตัวเป็นเวลา 1,000 ปี
  และตอนนี้มันก็ปิดตัวไป เกือบ 600 ปีแล้ว หลังจากนี้อีก 400 ปี ช่องทางเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทพกับระนาบเทวโลกก็จะเปิดออกอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นตัวตนระดับเทพย่อมมาเยือนระนาบเทวโลกได้ตามใจชอบ ส่วนผู้ที่อยู่ในระนาบเทวโลกก็สามารถขึ้นไประนาบเทพได้เช่นกัน
  แต่เป็นธรรมดาว่าปกติแล้วจะตัวตนขอบเขตเทพของระนาบเทพก็ดี หรือเซียนอมตะในระนาบเทวโลกก็ดี ปกติแล้วไม่คิดจะลงมาหรือขึ้นไป…
  นั่นเพราะหากเป็นตัวตนระดับเซียนอมตะ ถ้าไม่มีภูมิหลังอยู่ในระนาบเทพ ท่านจะขึ้นไปทำอะไร? ขึ้นไปเพื่อสัมผัสถึงความต้อยต่ำไร้สำคัญของตัวเองหรือ? แถมขึ้นไปหากพบเจออันตรายใดๆ ก็มีแต่ตายกับตาย!
  และเหล่าเทพเองก็ไม่นิยมมาเยือนระนาบเทวโลกสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังไม่อาจลงมือฆ่าคนได้ตามใจชอบด้วย ดุจเดียวกับตัวตนขอบเขตเทพที่ไม่อาจลงมือกับจักรพรรดิสวรรค์ทั้งหลายหรือคนของวิหารเฟิงฮ่าว…นี่เป็นกฏที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดร่วมกันกำหนดไว้
  หากพบว่ามีเทพจากระนาบเทพคนไหนลงมารังแกผู้คนในระนาบเทวโลก เทพผู้นั้นก็จะถูกผู้แข็งแกร่งที่สุดลงโทษ!
  ในอดีตที่ไฉนข้ารับใช้ของอวิ๋นชิงเหยียนแห่งตระกูลอวิ๋นถึงได้กล้าลงมือกับฟงชิงหยาง เพราะด่านพลังของมันก็มีแค่ครึ่งก้าวเทพเท่านั้น ยังไม่ได้กลายเป็นเทพโดยสมบูรณ์…สถานการณ์ดังกล่าว ไม่ถือว่าขัดต่อกฏที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดตราไว้!
  ก็อยย่างเช่นอวิ๋นชิงเหยียน นายน้อยตระกูลอวิ๋นแห่งดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ ไม่กล้าลงมือจัดการฟงชิงหยางด้วยตัวเอง ได้แต่ส่งข้ารับใช้ที่ต้อยต่ำคนหนึ่งมาเท่านั้น
  ฟงชิงหยางคลี่ยิ้มพลางส่ายยหัว เมื่อได้ฟังคำพูดเยินยอของติงฟู่ “พี่ติงท่านก็กล่าวชมข้าเกินไป”
  จนถึงตอนนี้ฟงชิงหยางก็ยังคงเป็นจุดสนใจของผู้คนไม่เปลี่ยน
  “ต้วนหลิงเทียน ผู้อาวุโสฟงชิงหยางช่างกล้าหาญเหลือเกิน…นับเป็นโชคของเจ้าจริงๆที่ได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโส!”
  ตอนนี้ไม่ใช่แค่ถังซานเป่าที่นั่งอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่มองฟงชิงหยางด้วยสายตาเร่าร้อน กระทั่งซูหลี่เองก็พลอยเป็นไปด้วย
  นอกจากนั้นช่วงที่ผ่านมา มันก็ได้อยู่กับฟงชิงหยางระยะหนึ่ง และด้วยคำชี้แนะของฟงชิงหยาง มันก็ได้เรียนรู้วิถีกระบี่มาไม่น้อย พลังฝีมือเพิ่มพูนขึ้นไม่ใช่น้อย ทำให้รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือแทบทนรอให้ศึกอัจฉริยะสวรรค์เริ่มเพื่อพิสูจน์ตัวเองไม่ไหวแล้ว
  จนกระทั่งจักรพรรดิสวรรค์ที่ติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของรายนามจักรพรรดิสวรรค์คนอื่นมาถึง ความสนใจของุทกคนจึงละออกจากฟงชิงหยางและไปชมดูผู้มาใหม่
  “นั่นก็คือจักรพรรดิหยก จักรพรรดิสวรรค์แห่งอวี้หวงเทียน!!”
  และตอนนี้ผู้ที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปก็คือจักรพรรดิหยก
  ในอวี้หวงเทียนนั้น ไม่ค่อยมีใครเรียกจักรพรรดิหยกด้วยชื่อ อวี้ฮ่าวเทียน สักเท่าไหร่ นิยมเรียกขานว่าจักรพรรดิหยกทั้งนั้น
  “คนผู้นั้นก็คือจักรพรรดิหยกงั้นหรือ?”
  และพอได้ยินคนโพล่งคำจักรพรรดิหยกขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็เร่งหันไปชมดูผู้มาใหม่ทันที ในที่สุดก็ได้เห็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งอวี้หวงเทียน อวี้ฮ่าวเทียน หรือก็คือจักรพรรดิหยก!
  จักรพรรดิสวรรค์อวี้ฮ่าวเทียน มีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนร่างสูง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา คิ้วคมเข้ม ไม่ขาดสง่าราศี
  ในรายนามจักรพรรดิสวรรค์ จักรพรรดิหยกก็รั้งอยู่ในอันดับที่ 8
  สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้วนามจักรพรรดิหยกไม่ใช่นามแปลกหูแต่อย่างใด อีกฝ่ายก็คือตัวตนในตำนานของโลกเก่าเมื่อชาติก่อนเขา อย่างไรก็ตามในตำนานนั้นไม่ค่อยกล่าวถึงพลังของจักรพรรดิหยกเท่าไหร่ จนเหมือนจักรพรรดิหยกไม่ได้มีพลังอำนาจอะไร
  ตัวอย่างก็เช่นใน ไซอิ๋ว ตอนที่ซุนหงอคงไปอาละวาดบนสวรรค์ จักรพรรดิหยกก็ไม่ได้ลงมือ เพียงเชิญพระยูไลมาสบปราบซุนหงอคงเท่านั้น
  อย่างไรก็ตามในเมื่อจักรพรรดิหยกก็คือชนชั้นจักรพรรดิสวรรค์คนหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเป็น ‘หมอนปักลายดอกไม้’ ไปได้
  (หมอนปักลายดอกไม้ = คนที่ภายนอกดูดีแต่ที่แท้ไร้ประโยชน์)
  และตอนนี้จักรพรรดิหยกตัวจริงก็ปรากฏตัวให้เห็นต่อหน้าต่อตา แถมยังอยู่ในอันดับ 8 ของรานามจักรพรรดิสวรรค์อีก สิ่งีน้เผยให้เห็นว่าพลังฝีมือไม่ใช่ชั่วเลยจริงๆ อย่างน้อยๆก็สมควรเหนือกว่าจักรพรรดิเสมอฟ้าดิน ซุนหงอคง แน่นอน!
  “ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังจักรพรรดิหยก ที่มี 3 ตานั่น…ใช่จักรพรรดิอมตะ 3 ตา หยางเจี่ยนกระมัง?”
  ไม่นานก็มีคนสังเกตเห็นชายหนุ่มที่ติดตามอยู่ด้านหลังจักรพรรดิหยกไม่ห่าง มันก็คือจักรพรรดิอมตะ 3 ตา หยางเจี่ยน รุปลักษณ์ของมันเป็นชายหนุ่มมาดนิ่งคนหนึ่ง สวมชุดเกราะเต็มยศสีเงิน สองตาแหลมคมทอประกายวูบวาบ ตาที่ 3 กลางหน้าผากแลดูพิกลนัก
  ‘เทพเอ้อหลาง! หยางเจี่ยน!’
  ใจต้วนหลิงเทียนสั่นไหวไปอย่างอดไม่ได้ ด้วยไม่คิดเลยว่าการมาครั้งนี้จะได้พบตัวตนในตำนานของบ้านเกิดเมื่อชาติที่แล้วบนโลกได้
  ‘ไม่ทราบซุนหงอคงจะมาด้วยรึเปล่า…’
  ‘ว่ากันตามปกติแล้ว…ก็คงไม่มาหรอกกระมัง?’
  ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
  และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเหม่อคิด ก็มีเสียยงอุทานดังงขึ้นไกลๆ ทำให้ลูกตาเขาหดเล็กลงทันที
  “ดูนั่น! เป็นเจ้าวิหารเฟิงฮ่าวสาขาซวนหยวนเทียน ยูไล!”
  พอได้ยินประโยคนี้ ต้วนหลิงเทียนไม่อาจไม่ตกใจได้จริงๆ
  พอหันไปมองดู ในที่สุดก็เห็นภิกษุหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำยำ มาในชุดจีวรสีม่วงทอง กำลังเหินร่างนำภิกษุชราหลายยรูปเหินมาแต่ไกล…ฟังจากเสียงทักของผู้คนเมื่อครู่ เรียกหาว่า ยูไล ไม่ผิดแน่!
  ‘นั่นน่ะเหรอ พระยูไล? ตถาคต?’
  ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย
  และไม่นานก็มีเสียงพูด ไขข้อข้องใจให้เขา “ข้าได้ยินมาว่าจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาซวนหยวนเทียน ยูไล ผู้นี้ แต่เดิมก็เป็นคนใหญ่คนโตในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์อวี้หวงเทียน แต่ได้รับเชิญจากวิหารเฟิงฮ่าวสาขาซวนหยวนเทียนให้ไปเป็นเจ้าวิหาร”
  “ใช่ ข้าก็เคยยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน เห็นว่าที่ได้รับเชิญไปเป็นจ้าววิหารซวนหยวนเทียนก็ไม่ใช่ใดอื่น แต่เป็นเพราะสหายอย่างจักรพรรดิสวรรค์ซวนเหยียนเทียน…เห็นว่าทั้งคู่ยังสนิทกันไม่น้อย”