ตอนที่ 3,457 : รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก
ในระนาบเทวโลกทั้งหลาย มีคนที่ทุกคนรู้กันดีว่าบรรลุถึงขอบเขตเทแล้วไม่กี่คน
ก่อนวันนี้ จักรพรรดิสวรรค์ในรายนามจักรพรรดิสวรรค์นั้น ผู้ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าบรรลุถึงขอบเขตเทพก็มีแค่ จักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียน จี้โยว คนเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จักรพรรดิสวรรค์ในรายนามจักรพรรดิสวรรค์ที่ผู้คนยืนยันแล้วว่าบรรลุถึงขอบเขตเทพ จะไม่ได้มีแต่จักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียนคนเดียว แต่ยังมีจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ฟงชิงหยาง อีกคน!
นอกเหนือจากรายนามจักรพรรดิสวรรค์แล้ว ยังมีตัวตนที่ทุกคนคาดว่าน่าจะบรรลุถึงขอบเขตเทพอยู่อีก และนั่นก็คือคนของวิหารเฟิงฮ่าว ที่สำคัญไม่น่าจะมีแค่คนสองคน มิเช่นนั้นในสายธารประวัติศาสตร์อันยาวนานของระนาบเทวโลก พวกมันจะรักษาตำแหน่งขุมกำลังที่ทรงพลังและลึกลับที่สุดในระนาบเทวโลกมาได้อย่างไร?
วันนี้หลังจากจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ฟงชิงหยาง เปิดเผยพลังเทพบ่งบอกด่านพลังฝึกปรือว่าบรรลุถึงเทพออกมาไม่ทันไร จ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาซวนหยวนเทียน จักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไล ก็ได้กล่าวท้าทายออกมาตรงๆ!
และยังเป็นดั่งธรรมเนียมปฏิบัติของวิหารเฟิงฮ่าว…
มันคิดขับไล่ ฟงชิงหยาง จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่เทียนให้หลุดพ้นตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์
ปกติแล้ววิหารเฟิงฮ่าวจะไม่ยอมให้มีตัวตนขอบเขตเทพนั่งบัลลังก์จักรพรรดิสวรรค์
ในเมื่อบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว เช่นนั้นก็สมควรขึ้นไปยังแดนเทพ ไม่สมควรมาเอ้อระเหยอยู่ในระนาบเทวโลกสืบไป และถ้าหากอยากจะอยู่ในระนาบเทวโลกจริงๆ ก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่อย่างสงบเสงี่ยม!
นี่คือสิ่งที่วิหารเฟิงฮ่าวทำมาตลอด
“วิหารเฟิงฮ่าวคิดจะบีบให้จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางสละตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนจริงๆ…ปกติแล้วพววกมันไม่เคยอนุญาตให้ผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตนั่งตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์…เห็นว่านี่เป็นหนึ่งในภารกิจหลักของวิหารเฟิงฮ่าวก็ว่าได้!”
ในบรรดาเหล่าอัจฉริยะก็มีผู้ที่รู้เรื่องราวทำนองนี้อยู่ด้วย
แต่เป็นธรรมดาว่าเรื่องราวเหล่านี้ คนจำนวนมากไม่เคยรู้มาก่อนเลย “เอ๋? หากเป็นเช่นนั้น แล้วไฉนจักรพรรดิสวรรค์โยวยังดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้ฟ่านเทียนได้เล่า? ไฉนวิหารเฟิงฮ่าวไม่ขับไล่ไปล่ะ? ทำไมปล่อยให้ครองอันดับ 1 ในรายนามจักรพรรดิสวรรค์แบบบนี้?”
“นั่นสิ! ข้าจำได้ว่าจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียนนั้นถูกผู้คนยืนยันว่าบรรลุถึงขอบเขตเทพก็เนิ่นนานมาแล้ว ไฉนถึงนั่งตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ได้อย่างมั่นคง? แต่ฟงชิงหยางที่พึ่งเปิดเผยว่าบรรลุถึงเทพกลับถูกท้าทายให้สละตำแหน่ง…ไฉนถึงเลือกปฏิบัติเล่า? ไม่ยุติธรรมเลย!”
“อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ยุติธรรม ตามที่อาจารย์ของข้าบอกมา เห็นว่าจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียนนั้น ก็เคยถูกเทพของวิหารเฟิงฮ่าวมาท้าประลองแล้ว แถมยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว…แต่เทพเหล่านั้นมิอาจเอาชนะจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียนได้ ก็เลยไม่อาจบีบคั้นหรือทำอะไรผู้คนได้ สุดท้ายก็จำต้องปล่อยให้จักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียนดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์อยู่เช่นนั้น”
“จริงหรือหรอก? อาจารย์ของเจ้าเป็นผู้ใดกัน?”
“อาจารย์ของข้าก็คือจักรพรรดิสวรรค์แห่งฮว่าอวี้เทียน”
“โอ ที่แท้พี่ท่านเป็นศิษย์ของจักรพรรดิสวรรค์ฮว่าอวี่เทียน ข้าเสียมารยาทแล้ว”
นอกจากจะมีคนที่ล่วงรู้เรื่องดังกล่าวแล้วเอ่ยขึ้นมาแล้ว ยังมีบางคนที่รู้เรื่องอื่นด้วย “ข้าเองก็ได้ยินมาว่าที่ไฉนจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียนสามารถดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์อยู่ได้ เป็นเพราะมีขาใหญ่อยู่เบื้องหลัง! เห็นว่าขาใหญ่ดังกล่าวยังเป็นถึงผู้แข็งแกร่งที่สุด!!”
“อะไร? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยเหรอ?!”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง จะดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์อยู่ได้แมจะบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้วก็ไม่แปลกอะไร”
“จริง ก็เหมือนจักรพรรดิสวรรค์แห่งว่านโช่วเทียน หากบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว วิหารเฟิงฮ่าวก็คงไม่กล้ามาวอแวแน่นอน…สุดท้ายเรื่องที่จักรพรรดิสวรรค์ว่านโช่วเทียนมีผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่เบื้องหลังก็ไม่ใช่ความลับอะไร”
…
หลายคนก็พากันกล่าวสิ่งที่รู้ออกมา
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
สุดท้ายแล้ว จี้โยว จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้ฟ่านเทียน ก็สามารถดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์อยู่ได้แม้จะบรรลุถึงขอบเขตเทพไปแล้ว ไม่มีคนของวิหารเฟิงฮ่าวสามารถไปบีบให้มันสละตำแหน่งได้
“ต่อไปก็ขึ้นอยยู่กับจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนแล้วล่ะ ว่าจะสามารถสร้างตำนานได้อีกบท นั่งตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนได้อย่างมั่นคงหรือไม่?”
“น่าเสียดายที่การประลองกับจักรพรรดิอมตะมหาสุริยันยูไลนั่น คงเป็นการประลองลับๆไม่ให้ผู้อื่นชมดู”
“เหอะๆ หากข้าสามารถชมดูการประลองของทั้งคู่ด้วยสองตาข้าได้ แม้จะบั่นทอนพลังฝึกปรือข้าไปสักร้อยปี ข้าก็ยอม…สุดท้ายหากด่านพลังฝึกปรือถดถอยไปก็ยังพอฝึกกลับมาได้ใหม่ แต่การประลองดังกล่าวหากพลาดแล้วก็พลาดเลย คงต้องเสียดายไปชั่วชีวิตแน่!”
“ข้าด้วย ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะมีอายุ 800 กว่าปีแล้ว แต่ถ้าสามารถแลกเปลี่ยนพลังฝึกปรือเพื่อชมดูการประลองได้จริงๆ…ข้ายินดีสละเวลา 200-300 ปีเลยเอ้า!”
…
เสียงกล่าวทำนองเดียวกันของเหล่าอัจฉริยะที่มาร่วมกรำศึกอัจฉริยะสวรรค์ดังขึ้นระงม
อัจฉริยะเหล่านี้อากชมดูการประลองดังกล่าวจริงๆ เพราะมันคือการประมือกันของตัวตนขอบเขตเทพ!ถึงแม้ว่าเอาเข้าจริงต่อให้ไปชมดูก็อาจจะมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆก็ตาม สุดท้ายเอาแค่ได้เห็นว่าใครแพ้ใครชนะ แล้วผลลัพธ์เป็นเช่นไรก็พอใจแล้ว
เพราะสุดท้ายขอแค่ได้เห็นการปะทะกันของตัวตนขอบเขตเทพ และเผลอๆอาจจะได้เห็นเทพร่วงหล่น ก็มากพอให้พวกมันเอาไปคุยได้ชั่วชีวิต!
“ท่านอาจารย์…”
หว่างคิ้วต้วนหลิงเทียนขมวดย่นยู่ ถึงแม้เขาจะมั่นใจในพลังฝีมือของฟงชิงหยางผู้เป็นอาจารย์ แต่จักรพรดริอมตะมหาสุริยันยูไลนั่น ในเมื่อกล้ากล่าวท้าออกมาแบบนี้ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน!
‘พระยูไล…ในตำนานของโลกเก่า แทบจะเป็นตัวตนที่อยู่ยงงคงกระพัน ไร้ผู้ใดต่อกรด้วยได้…’
‘นอกจากนั้น มองจากใบหน้าที่สงบไม่ยินดียินร้ายของมันตอนกล่าวท้าท่านอาจารย์…ก็เผยให้รู้ว่ามันมั่นใจในตัวเองไม่น้อย’
พริบตานี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคิดมาก
ศึกอัจฉริยะครั้งนี้ นับว่าเกิดเรื่องราวหลายอย่างที่ทำให้ผู้คนกล่าวถึงได้อีกนาน
ตอนแรกก็มีจักรพรรดิสวรรค์คนหนึ่งเผยด่านพลังฝึกปรือขอบเขตเทพออกมา และครอบงำตัวตนที่ได้อันดับ 5 ของรายนามจักรพรรดิสวรรค์ ด้วยกระบวนท่าเดียว นำพาความตกใจมาสู่ผู้คนครั้งใหญ่
หลังจากนั้นก็ทำลายร่างอวตารกฏจากต้นไม้วิเศษอมตะของจักรพรรดิสวรรค์อีกคน
ต่อมาก็มีจักรพรรดิอมตะคนหนึ่งีท่เดิมทีผู้คนไม่เคยรับทราบว่าบรรลุถึงขอบเขตเทพมาก่อนหรือไม่ ก็กล่าวข่มขู่ว่าจะไปท้าประลองจักรพรรดิสวรรค์ที่บรรลุถึงขอบเขตแล้วถึงหน้าประตูในอนาคต จึงเป็นการเปิดเผยพลังฝึกปรือของตัวเองออกมา!
จักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ฟงชิงหยาง!
จักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไล
เรียกว่าไม่ทันที่ศึกอัจฉริยะสวรรค์จะเริ่ม ทั้ง 2 คนก็ได้ปล้นชิงแสงไฟไปจากเหล่าอัจฉริยะจากทั่วทุกระนาบเทวโลกหมดสิ้น!
“พวกเจ้าเล่าอัจฉริยะจากระนาบเทวโลกทั้งหลาย จังเตรียมตัวเตรียมใจเสีย…หลังจากนี้อีก 2 เค่อ ศึกอัจฉริยะสวรรค์จะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ”
ผู้ที่รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการประลองงครั้งนี้ เป็นรองเจ้าววิหารเฟิงฮ่าวคนหนึ่ง
แน่นอนว่าไม่ใช่รองจ้าววิหารสาขาย่อย แต่เป็นรองเจ้าวิหารของวิหารเฟิงฮ่าวหลัก!
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าโถงหลักของงวิหารเฟิงฮ่าวตั้งอยู่ที่ไหน บางคนบอกว่าอยู่ที่ไหนสักแห่งในระนาบเทวโลก แตค่บบางคนก็บอกว่าซุกซ่อนอยู่ในระนาบโลกียะ บ้างก็ถึงกับบอกว่าอู่ในระนาบเทพ และยังมีคนกล่าวกันว่าเป็นระนาบอิสระที่ถูกเปิดสร้างโดยผู้แข็งแกร่งที่สุด!
ในระนาบเทวโลกทั้งหลาย วิหารเฟิงฮ่าวที่ผู้คนไปเยือนเพื่อทดสอบรับสมญานามนั้นเป็นแค่วิหารเฟิงฮ่าวสาขาย่อยประจำระนาบเทวโลกนั้นๆเฉยๆ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าสถานที่ตั้งของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก!
ยิ่งไปกว่านั้นยังลือกันอีกว่า ต่อให้เป็นจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาย่อย ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิหารเฟิงฮ่าวหลักตั้งอยู่ที่ไหน!
ถึงแม้พวกมันอาจจะเคยไปวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักมาแล้ว แต่นั่นก็เป็นการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกเฉพาะของวิหารเฟิงฮ่าวส่งตัวไปถึงที่ทันที…
“ข้าคือรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าว ฉีคงไห่”
ฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก มีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มที่มีเส้นผมเป็นสีดอกเลา ใบหน้าแลดูเกลี้ยงเกลาผิวดั่งทารก ด้วยคิ้วคมเข้มปานดาบสีขาวพร้อมหว่างคิ้วที่แผ่พุ่งความไม่ธรรมดาออกมา แม้คนจะลอยล่องกลางฟ้าอย่างเงียบงัน แต่อาศัยสายตาที่กวาดมองมาก็มีพลานุภาพทำให้ผู้คนพร้อมใจกันเงียบงันแล้ว
“รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักรึ?”
“ที่แท้ข่าวลือก็เป็นความจริง…ทุกครั้งที่จัดงานประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์ วิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักจะส่งคนมาเป็นประธาน!”
“ข้าได้ยินมาว่า วิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ตัวตนขอบเขตเทพก็ประหนึ่งก้อนเมฆบนฟ้า…ไม่ต้องกล่าวถึงจ้าววิหารกับรองจ้าววิหาร เอาแค่ชนชั้นผู้อาวุโสที่นั่น ก็มีพลังฝีมือไม่ด้อยไปกว่าจ้าววิหารสาขาย่อยแล้ว!”
“ใต้เท้าฉีผู้นี้ สิบในสิบก็สมควรเป็นเทพเช่นกัน!”
…
เหล่าอัจฉริยะมองไปยังฉีคงไห่ด้วยสายตาเร่าร้อน นั่นคือตัวตลึกลับยากพบพานของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ปกติแล้วทุกคนที่มีโอกาสพบเจอก็เห็นจะมีแต่จ้าววิหารและรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาย่อยไม่กี่คนเท่านั้น คนอื่นยากจะพบพานตัวตนระดับนี้
กระทั่งผู้ที่เคยเห็น ปกติแล้วก็มักจะเป็นจักรพรรดิสวรรค์ที่ดำรงอยู่มาเนิ่นนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม พอฉุกคิดได้ว่าเหลืออีกแค่ 2 เค่อการประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์ก็จะเริ่มขึ้นแล้ว เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายก็ถอนสายตาออกจากร่างฉีคงไห่ทันที
หลายคนเริ่มหลับตาเพื่อสงบจิตสงบใจ เตรียมความพร้อม
อัจฉริยะที่มาเข้าร่ววมศึกอัจฉริยะสวรรค์ สุ่มชี้คนไหนก็ล้วนแล้วแต่เป็นสุดอดอัจฉริยะของระนาบเทวโลกทั้งสิ้น แม้พวกมันจะพบเจอเรื่องตื่นเต้นใดๆ แต่อาศัยยการสงบจิตสำรวมใจเล็กน้อยก็สามารถดึงอารมร์ให้กลับมาสู่ความสงบ และอยู่ในสภาพพร้อมรบที่สุดไม่ยาก
แน่นอนว่ายังมีอัจฉริยะบางคนที่ยังคงคุยกับผู้อื่นอยู่
“เจ้าต้วน หากข้าจำไม่ผิดเห็นว่ารอบแรกของศึกอัจฉริยะ จะเป็นการคัดอัจฉริยะที่เข้าร่วมออกทีเดียวพันกว่าคน…และเหลือไว้ราวๆพันคนเพื่อเข้าสู้รอบที่ 2”
ฟังจากคำพูดของซูหลี่ เห็นได้ชัดวาทำการบ้านมาดี “ส่วนคนที่เหลือราวๆพันคนนั่น จะถูกคัดออกในรอบที่ 2 ถึง 7 ส่วน เหลือผู้เข้ารอบ 3 แค่ 300 คนเท่านั้น”
“อย่างไรก็ตาม แม้จะมี 300 คนได้ผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 แคก็ไม่ใช่ว่า 700 คนที่ถูกคัดออกจะหมดโอกาสใดๆ แต่ละคนมีโอกาส 3 ครั้งในการท้าทาย คนใดคนหนึ่งในบรรดา 300 คนที่ผ่านเข้ารอบ 3 ไปก่อน…และช่วงท้าทายที่ว่าก็นับเป็นช่วงเวลาที่บีบหัวใจผู้เข้ารอบในรอบที่ 2 มากที่สุด!”
“ท้ายที่สุดแล้ว 700 คนที่ถูกคัดออกไปก่อนก็ไม่ใช่ว่าจะมีพลังฝีมืออ่อนด้อยกว่า 300 คนที่เข้ารอบ…เพียงแค่ในบรรดาผู้ที่ผ่านเข้ารอบ 3 ไปก่อน 300 คน อาจผ่านเข้าไปเพราะมีคนช่วย”
“การท้าทายในรอบที่ 3 มีไว้เพื่อกำจัดผู้ที่ฉวยโอกาสผ่านเข้ารอบเพราะยืมมือผู้อื่น!”
ซูหลี่กล่าว
“ข้าเองก็พอได้ยินมาบ้าง”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็ได้ยินฟงชิงหยางกล่าวอธิบายไว้ก่อนหน้านี้ จึงรู้ว่ารอบที่ 3 นั้น จะเป็นการคัดอัจฉริยะที่แข็งแกร่งีท่สุด 300 คนของระนาบเทวโลก เพื่อเข้าสู่รอบที่ 4 เป็นรอบที่มีการประลองดุเดือดไม่น้อย
300 คนที่ผ่านเข้ารอบไป ก็จะได้รับการจัดอันดับคร่าวๆ
และเนื่องจาก รางวัลของ 300 อันดับแตกต่างกัน ยิ่งอันดับสูงก็ยิ่งได้รับรางวัลมาก
สำหรับพันกว่าคนที่ถูกคัดออกไปจะไม่ได้รับรางวัลใดๆทั้งสิ้น เพราะถึงจะมีรางวัลให้แต่ก็คงไม่ได้ดีเด่อะไร คงไม่อยู่ในสายตาของพวกมัน
เวลา 2 เค่อก็ผ่านพ้นไปในพริบตา
“ข้าขอประกาศว่า…บัดนี้ ศึกอัจฉริยะสวรรค์ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ!”
ฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ซึ่งเป็นประธานในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ กล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่ได้ดังอะไรมากมาย หากทว่าคล้ายมีมนตร์วิเศษส่งตรงถึงหูเหล่าอัจฉริยะทุกคน ให้ได้ยินกันชัดถ้อยชัดคำ!