ตอนที่ 3,459 : รอบที่สองเริ่มต้น
  อันที่จริงแล้วอัจฉริยะที่มาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ ส่วนใหญ่ระดับพลังยังไม่ถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะสมญานาม เพียงแค่เข้าใกล้ขอบเขตจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้วเท่านั้น จึงเตรียมใจกันไว้แต่แรกว่าคงไปได้ไม่ไกล
  พวกมันแค่มาร่วมสนุกและลองดูเท่านั้น
  บางคนก็มาเพื่อชมดูอัจฉริยยะรุ่นเยาว์ที่มีพลังระดับจักรพรดริอมตะสมญานามเพื่อเปิดหูเปิดตาหาแรงบันดาลใจ
  แน่นอนว่ายังมีอีกหลายคนที่มาเพื่อแสวงหาความก้าวหน้า หมายใช้แรงกดดันบีบคั้นศักยภาพตัวเองเพื่อทะลวงผ่าน เพราะพวกมันเคยได้ยินมาว่า ในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งก่อนก็มีผู้ที่เข้าสู่ค่ายกลทดสอบมากมาย ถึงแม้จะตกรอบและไม่ได้รับรางวัลอะไร แต่ก็สามารถทะลวงจุดตีบตันจนบังเกิดความก้าวหน้า และนั่นก็คือรางวัลอันยอดเยี่ยมสำหรับพวกมันแล้ว
  ดังนั้นพออัจฉริยะหายๆคนที่เห็นว่าว่างถิงกับคนอื่นๆสามารถก้าวหน้าได้ในสถานการณ์แบบนี้ จงมีหลายคนบังเกิดความอิจฉาไม่น้อย
  “เฮ่อ ข้าหลงคิดว่าเมื่อครู่ข้าจะทะลวงผ่านได้แล้วเสียอีก แต่ยังขาดอีกนิดหน่อย”
  “ข้าด้วย เมื่อครู่ขออีกแค่ 5 ลมหายใจไม่แน่ข้าอาจจะบังเกิดความก้าวหน้าเช่นกัน น่าเสียดายยิ่ง”
  “3 คนนั้นโชคดีจริงๆ ในช่วงเวลาคับขันกลับบังเกิดความก้าวหน้าได้สำเร็จ จึงผ่านเข้ารอบไปได้ ระดับพลังของพวกมันก็เทียบได้กับจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้ว…ดูทรงแล้วหากพวกมันไม่มาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ คิดจะก้าวหน้าแบบนี้ให้ได้ภายในพันปี ก็คงยากเย็นไม่น้อย”
  …
  อัจฉริยะที่พลังฝีมือใกล้เคียงกับจักรพรรดิอมตะสมญานามหลายคนที่ถูกคัดออก ได้แต่ถอนหายใจกันเฮือกแล้วเฮือกเล่า
  บางคนก็มองจ้องว่างถิงและคนอื่นๆที่บังเกิดความก้าวหน้าด้วยสองตาแดงก่ำ เอ่ยออกด้วยนน้ำเสียงอิจฉาว่า “ฮึ ก้าวหน้าแล้วอย่างไรล่ะ สุดท้ายก็ยังจัดว่าอ่อนแอ ต่อให้จะมีโชคจนผ่านรอบที่ 2 ไปได้ แต่รอบที่ 3 ยังจะมีผ่านหรือ?”
  แน่นอนว่าคนที่กล่าวออกมาแบบนี้ วนแล้วแต่เป็นเพราะอิจฉาทั้งสิ้น เรียกว่าเสียงสูงมาแต่ไกล ไม่มีใครสนใจจะฟัง
  ไม่ทราบหากให้พวกมันเลือกได้ว่าระหว่างก้าวหน้ากับไม่ก้าวหน้า พวกมันจะเลือกอะไร?
  ตอนนี้พอตัวเองทำไม่ได้ แต่เห็นคนอื่นทำได้ ก็พูดแขวะกันใหญ่!
  “ขาขอประกาศว่า ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบแรก สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้”
  ตอนนี้เอง ฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ก็กวาดตามองอัจฉริยะที่เหลืออยู่รอบหนึ่ง ค่อยกล่าวสืบต่อว่า “ตอนนี้ข้าจักให้เวลาพักผ่อนแก่ผู้ผ่านรอบแรกทั้ง 1,000 คนหนึ่งชั่วยาม…หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วข้าจักเริ่มต้นการทดสอบรอบที่ 2 ทันที”
  พอเสียงของฉีคงไห่ดังจบคำ อัจฉริยะ 1,000 คนที่ลอยร่างอยู่ ก็โรยตัวกลับลงมานั่งทันที
  และไม่มีใครกลัวผู้ที่ตกรอบแรกจะตีเนียนเข้าร่วมการทดสอบรอบที่ 2 แม้แต่คเดียว
  เพราะผู้ที่กระทั่งงรอบแรกยังไม่ผ่าน ไหนเลยจะมีความกล้าเข้าร่วมการทดสอบรอบที่ 2…คิดจับปลาน้ำขุ่นในสถานการณ์แบบนี้ เกรงว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเปล่าๆ!
  ในประวัติศาสตร์ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ก็มีบางคนคิดจับปลาน้ำขุ่น ตีเนียนเข้าร่วมรอบอื่นมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ไร้ซึ่งข้อยกเว้นใดๆ ทั้งหมดถูกคนของวิหารเฟิงฮ่าวที่มีหน้าที่จับตาดูการประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์ฆ่าทิ้งทันที ต่อให้เป็นศิษย์ของจักรพรรดิสวรรค์ก็ไร้ทางรอด!
  คิดจับปลาน้ำขุ่นในสถานการณ์แบบนี้ วิหารเฟิงฮ่าวจะถือว่าเป็นการดูหมิ่นพวกมัน!
  ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ผ่านเข้ารอบก็มีแค่ 1,000 คนเท่านั้น กวาดตามองรอบเดียวก็จำได้แล้ว
  หากเป็นคนธรรมดา ให้มาจดจำใบหน้าคนจำนวนพันคน เกรงว่านั่งจ้องเป็นวันก็คงยากจะจำได้
  แต่อาศัยตัวตนระดับเทพ ที่อยู่เหนือขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศเสียอีก เรื่องจดจำคนแค่พันเดียวมันจะยากเย็นอะไร?
  ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ผู้ผ่านเข้ารอบทั้ง 1,000 คนได้ถูกคนของวิหารเฟิงฮ่าวที่คอยดูแลความเรียบร้อยอยู่ข้างสนามจดจำได้เลย ผู้ที่มีหน้าที่คอยบันทึกชื่อของผู้ที่ผ่านเข้ารอบก็ไม่มีทางพลาดโง่ๆอยู่แล้ว
  ถึงแม้จะเป็นอัจฉริยะที่มาจากระนาบเทวโลกทั้งมวล แต่วิหารเฟิงฮ่าวก็มีข้อมูลและรายชื่อครบทุกคน
  อย่างเช่นข้อมูลของต้วนหลิงเทียน จางเทียนโย่ว ว่างถิง ก่อนที่ศึกอัจฉริยะสวรรค์จะเริ่มต้นขึ้น รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวก็ได้มาหาเมิ่งหลัวเพื่อขอข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
  เรียกว่าอัจฉริยะทุกคนที่เข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ วิหารเฟิงงฮ่าวรู้หมดว่าผู้ใดเป็นผู้ใด
  “วิหารเฟิงฮ่าวสาขาจี้เมี่ยเทียนเรา พาคนมาเข้าร่วม 19 คน…รวมกับอีก 4 คนของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนเป็นทั้งสิ้น 23 คน…ตอนนี้มีถึง 13คนที่ผ่านเข้ารอบได้ นับว่าไม่เลวเลย”
  รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาจี้เมี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะหันไปยิ้มกล่าวกับจ้าววิหารข้างๆ
  จ้าววิหารที่ว่าก็พยักหน้าเห็นด้วย “อืม ไม่เลวจริงๆ”
  “อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ทำให้ข้าแปลกใจที่สุดก็คือ ต้วนหลิงเทียน ศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนผู้นั้น…เมื่อครู่ตอนเผชิญกับแรงกดดันพลังของรองจ้าววิหารฉี แต่สีหน้ามันไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เกรงว่าพลังของมันจักมิใช่จักรพรรดิอมตะสมญานามธรรมดาๆ”
  ได้ยินคำของจ้าววิหาร สีหน้ารองจ้าววิหารก็เปลี่ยนเป็นจริงจังทันที “เห็นได้ว่าศิษย์ที่แท้จริงของฟงชิงหยางผู้นี้ อย่างน้อยๆก็มีพลังระดับเทพสงคราม 2ดารา!”
  “ช่างน่าตกใจนัก…อายุเพียง 600 ปีเศษก็มีพลังระดับเทพสงคราม 2 ดาราแล้ว!”
  คำพุดของรองจ้าววิหาร ก็ทำให้จ้าววิหารย่นคิ้วเป็นปม มองต้วนหลิงเทียนไกลๆ พลางกล่าวเสียงหนัก “แถมเจ้าหนุ่มที่อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน ที่เหมือนจะชื่อซูหลี่ผู้นั้น…อย่างน้อยๆมันก็เป็นเทพสงคราม 2ดาราเช่นกัน”
  “ศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ข้าเกรงว่าพวกมัน 2 คนคงมีอายุน้อยที่สุดแล้ว”
  ……
  หนึ่งชั่วยามก็เท่ากับ 2 ชั่วโมง
  เวลาเท่านี้ไม่ทันรู้ตัวก็ผ่านพ้นไปแล้ว
  และเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่อ่อนล้าจากการทดสอบรอบแรก ก็ฟื้นฟูพลังรักษาตัวจนหวนกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมเช่นกัน
  สิ่งที่พวกมันพบเจอมาเมื่อครู่ใช่การต่อสู้แลกชีวิตอะไร เพียงแค่แรงกดดันพลังที่ต้องเร่งเร้าพลังเพื่อต้านทานเท่านั้น ที่สูญเสียไปก็มีแต่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่าง กับความอ่อนล้าทางจิต เพียงแค่เวลา 2 ชั่วโมงหรือ 1 ชั่วยาม แค่เดินพลังฟื้นฟูสักหน่อย ก็พอให้ฟื้นตัวกลับมาอยยู่ในสภาพสมบูรณ์
  กระทั่งบางคนยยังหายดีตั้งแต่ก่อนครบกำหนดเวลาครึ่งชั่วโมง และสนทนากับสหายข้างๆออกรสเรียบร้อย
  “ผู้ที่ผ่านรอบแรกทั้ง 1,000 คนออกมารวมตัวกันตรงกลางด้วย”
  ฉีคงไห่ที่นิ่งเงียบไปเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเหล่าอัจฉริยะที่ผ่านรอบแรกทั้ง 1,000 คนรวมถึงพวกต้วนหลิงเทียน ก็ลุกขึ้นจากอัฒจันทร์ที่นั่ง และเหินร่างไปอยู่บริเวณตรงกลางทันที
  คนหนึ่งพันคนนั้นไม่มาก และก็ไม่น้อย
  และเมื่อทั้ง 1,000 คน เหินร่างมาหยุดลอยบริเวณตรงกลางเหนือเวทีประลอง ฉีคงไห่ก็ยกมือขึ้นโบกสะบัดเบาๆ ปรากฏพลังขุมหนึ่งแผ่ออกไปเร็วไว พริบตาก็ปกคลุมร่างอัจฉริยะทั้งพันคน จากนั้นก็อุบัติม่านพลังสีขาวโปร่งแสงขุมหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากเวทีประลองด้านล่าง ก่อนจะปกคลุมทุกคนเอาไว้ปานโดมแก้ว
  พวกต้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็อยู่ในโดมม่านพลังดังกล่าวเช่นกัน
  เนื่องจากสถานที่จัดงานประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์ค่อนข้างกว้างขวางมาก แม้จะมีคนถึง 1,000 คนก็ไม่แออัด
  จากนั้นเสียงของฉีคงไห่ก็ดังขึ้นสืบต่อ
  “ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 2 มีรูปแบบการประลองเช่นไร หลายๆคนคงทราบดีอยู่แล้ว…แต่ตอนนี้ข้าจักขอกล่าวอีกครั้ง รอบนี้ อัจฉริยะทั้ง 1,000 คนจักทำการประลองกันในรูปแบบอิสระ เมื่อกำจัดอัจฉริยะได้ครบ 700 จนหลงเหลืออัจฉริยะแค่ 300คนเมื่อใด การประลองรอบที่ 2 ก็ถึงกาลยยุติ”
  “จากนี้ไปพวกเจ้าจักได้รับป้ายหยกนี้คนละป้าย ซึ่งมีไว้ให้พวกเจ้าบดขยี้ทำลายในช่วงคับขัน และอาคมในป้ายหยกก็จะส่งตัวพวกเจ้าออกมานอกค่ายกลกั้นเขต”
  กล่าวถึงจุดนี้ฉีคงไห่ก็โบกมืออีกรอบ จากนั้นท่ามกลางความว่างเปล่าเบื้องหน้ามันก็ปรากฏป้ายหยก 1,000 ชิ้น พอสะบัดมืออีกคราป้ายหยกดังกล่าวก็ราวกับเกสรดอกไม้ที่แพร่กระจายออกไปทุกทิศทาง ร่วงตกมาถึงเบื้องหน้าอัจฉณิยะทั้งพันคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนราวมีดวงตางอกเงย จากนั้นอัจฉริยะทั้ง 1,000 ก็คว้าป้ายหยกมากระชับถือไว้แน่น
  เพราะป้ายหยกดังกล่าวคือสิ่งช่วยชีวิตของพวกมัน!
  ถึงแม้ศึกอัจฉริยะสวรรค์ไม่ใช่สนามรบที่ต้องเข่นฆ่าล้างผลาญผู้อื่นให้ตกตายกันไปข้าง แต่ดาบกระบี่ไร้นัยน์ตา แถมก็ไม่มีกฏห้ามฆ่าเอาไว้ เช่นนั้นการเข่นฆ่ากันก็เป็นเรื่องปกติ
  “แน่นอนว่าทันทีที่พวกเจ้าบดขยี้ป้ายยหยกและถูกส่งตัวออกมา ก็เท่ากับพวกเจ้าถูกคัดออก…นอกจากนั้นหากผู้ใดออกจากค่ากลปิดกั้น ก็ถือว่าถูกคัดออกเช่นกัน รวมถึงผู้ที่ถูกผู้อื่นทุบตีจนสลบก็จะถูกส่งตัวออกมาโดยอัตโนมัติและเป็นธรรมดาว่าจะถูกคัดออก”
  ฉีคงไห่กล่าวต่อ
  ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนและอัจฉริยะคนอื่นๆก็หันมองไปยังม่านพลังรอบๆ จกาสัมผัสก็บอกได้ว่าม่านพลังดังกล่าวไม่ได้ทรงพลังอะไร เสมือนแค่ทำมากั้นเขตเฉยๆ เช่นนั้นขอเพียงซัดผู้อื่นให้หลุดนอกเขตก็สามารถกำจัดคู่แข่งได้แล้ว
  “นี่มันจะไม่คับแคบไปหน่อยหรือไร?”
  “ให้ตายเถอะ ให้ผู้คนเป็นพันมาสู้กระจุกกันที่นี่เนี่ยนะ?”
  …
  หลายคนเริ่มบ่น
  แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าบ่นไปก็เท่านั้น เพราะทุกคนก็เจอสภาพเดียวกัน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ
  “คราวนี้พวกเจ้ามีเวลาเตรียมตัว 1 เค่อ”
  เสียงฉีคงไห่ดังขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆตกใจอยู่บ้าง “หลังผ่านไปครบ 1 เค่อ ข้าให้สัญญาณเริ่มการประลองเมื่อใด พวกเจ้าก็สามารถกำจัดคู่แข่งได้ทันที”
  พอสิ้นคำกล่าวของฉีคงไห่ ผู้คนนับพันก็เริ่มปั่นป่วน
  ผู้ที่ไม่มั่นใจในฝีมือก็เร่งหาแนวร่วมเฉพาะกิจเพื่อาร้างกลุ่มทันที
  ‘ฮึ่ม…ไม่ว่าข้าต้องจ่ายเท่าไหร่ ข้าก็ต้องผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 ให้จงได้! ถึงแม้ข้ารู้ดีว่าถึงผ่านไปรอบที่ 3ข้าก็คงสู้ใครไม่ได้ก็ตามที!!’
  ชายหนุ่มในชุดคลุมขนสัตว์หรูหรามาดคุณชายผู้หนึ่งกัดฟันกล่าวพึมพำ “มีสหายยอดฝีมือท่านใดคิดปกป้องดูแลข้าบ้าง ขอเพียงเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามข้ายินดีจ่ายราคาให้อย่างงาม! ข้าไม่ได้คิดแข่งขันอะไร ข้าแค่อยากผ่านเข้ารอบที่ 3 แล้วเอาไปคุยอวดสหายเท่านั้น! และหากข้าผ่านเข้าสู่รอบ 3 ได้จริง ข้าก็มีเรื่องให้คุยไปชั่วชีวิตแล้ว!!”
  “สุดท้ายการตกรอบ 2 กับตกรอบ 3 ก็เป็นสองเรื่องที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง!!”
  สิ้นคำประกาศก็มีคนสนใจมันไม่น้อย และไม่ใช่ชายหนุ่มมาดคุณชายคนนี้แค่คนเดียว ยังมีคนที่คิดเหมือนมันอีกหลายคน
  เช่นนั้นพวกมันจึงมองหาคนช่วยไปทั่ว และตราบใดที่สามารถช่วยให้พวกมันผ่านเข้ารอบที่ 3 ได้ พวกมันก็ยินดีจ่ายราคางาม!
  อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคนตระเวนหาคนช่วยเหลือพอสมควร แต่ไม่มีใครเฉียดเข้าใกล้ต้วนหลิงเทียนเลย สิ่งนี้อดไม่ได้ที่จะทำให้ต้วนหลิงเทียนสงสัย…ไฉนพวกนี้ไม่มาหาเขาบ้างล่ะ?
  ไม่ต้องถามถึงเรื่องที่เขาจะช่วยหรือไม่ช่วย…แต่ก็น่าจะมีมาถามบ้างไม่ใช่รึไง?
  เพราะกระทั่งถงถู ศิษย์ที่แท้จริงลำดับที่ 4 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียนยังมีคุณชายนายน้อยไปถามหลายต่อหลายคนว่าจะยินดีช่วยเหลือหรือไม่ แต่ไฉนไม่มีใครมาถามเขาที่ยืนหัวโด่เลยสักคน?
  แต่เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนก็พอเข้าใจได้ว่าไฉนมีหลายคนไปถามหาถงถู ไม่พ้นต้องคิดพึ่งใบบุญอวี๋ตงฟางข้างๆถงถูแน่นอน
  เพราะอวี๋ตงฟางผู้นั้น ต้องผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 ได้แน่นอน
  “เจ้าต้วน…ดูเหมือนจะไม่มีใครดูดีพวกเราเลย”
  ซูหลี่คลี่ยิ้มแห้งๆพลางส่ายหัวไปมา มันเองก็มองออกว่าเหล่าอัจฉริยะที่ยังไม่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามนั้น แม้อาจจะรู้แล้วว่ามันกับต้วนหลิงเทียนเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่ก็ไม่มีใครมาคุยเรื่องให้ช่วยเลย ราวกับมันและต้วนหลิงเทียนเป็นตัวอันตรายอย่างไรอย่างนั้น
  สุดท้ายก็มีคนเข้ามาถามคนหนึ่ง แต่มันกลับไปถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!
  และคนที่เข้ามาถามหาความช่วยเหลือที่ว่า ก็เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาวว์จากระนาบเฟิงชิงเทียน และยังมาพร้อมกับวิหารเฟิงฮ่าวสาขาเฟิงชิงเทียนอีกด้วย ทั้งหมดเพราะมันรู้พลังฝีมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!
  อย่างไรก็ตาม หลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นปฏิเสธไป จวบจนครบ 1 เค่อ ก็ไม่มีใครมาหาความช่วยเหลือจากพวกต้วนหลิงเทียนอีกเลย
  “การประลองรอบที่ 2 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ เริ่มได้!”
  ทันใดนั้นเอง เสียงของฉีคงไห่พลันดังขึ้นตามกำหนดเวลา และเป็นเสียงที่บาดหูใครหลายๆคน!