ตอนที่ 3,460 : หลิงเจวี๋ยอวิ๋นลงมือ!
  “การประลองรอบที่ 2 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ เริ่มได้!”
  เรียกว่าก่อนที่ฉีคงไห่จะประกาศคำนี้ออกมา อัจฉริยะหลายคนก็ตั้งท่าพร้อมรบเรียบร้อย สองตากวาดมองรอบตัวอย่างระแวงด้วยกกลัวจะมีใครลอบทำร้าย!
  แน่นอนล่ะว่ายังมีหลายคนที่เฉยๆ แลดูสงบใจเย็น
  ในบรรดากลุ่มคนที่อยู่ใกล้ๆต้วนหลิงเทียน นอกจากสีหน้าจางเทียนโย่วกับว่างถิงที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดแล้ว ไม่ว่าจะตัวต้วนหลิงเทียนเอง ซูหลี่ หลิงเจวี๋ยอวิ๋น หรือแม้แต่ถังซานเป่าท่าทีก็แลดูสงบมาก ราวกับเดินชมสวนหลังบ้านอย่างไรอย่างนั้น
  และแทบจะทันทีที่สิ้นคำกล่าวของฉีคงไห่ สถานการณ์โดยรอบก็กลายเป็นปั่นป่วนวุ่นวายทันที
  พลังหลากสีสันปะทุออกมาส่องแสงจ้าปกคลุมทั้งโดมม่านพลัง!
  การต่อสู้อิสระเริ่มต้นขึ้น!
  ต้วนหลิงเทียนกับพวกก็ยืนอยู่มุมหนึ่งนิ่งๆ ทำราวกับความวุ่นวายโดยรอบไม่เกี่ยวกับตัว
  เพียงเวลาชั่วพริบตา ก็มีการปะทะกันรุนแรงเกิดขึ้นทุกแห่งหน หลายคนก็เร่งรุดบดขยี้ป้ายหยกกันกใหญ่ด้วยกลัวจะโดนลูกหลงตายตก ถูกอาคมส่งตัวออกไปเร็วไว
  เรียกว่าไม่ถึง 10 ลมหายใจ ก็มีผู้คนถอนตัวออกไปอย่างน้อยๆ 20 กว่าคน!
  “อย่าทำข้า—”
  เป็นธรรมดาว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะบดขี้ป้ายหยกได้ทัน เพราะความโลภหวังว่าจะอยู่ต่อได้อีกนิด ฉวยโอกาสเอาตัวรอดได้อีกหนน่อย ก็เป็นอันต้องถูกเข่นฆ่าทิ้งไปเสียฉิบ
  ตอนแรกก็มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ถูกฆ่าตาย
  ทว่าราวกับจุดชนวนความตายก็ไม่ปาน พริบตาต่อมาก็มีผู้คนทยอยกันถูกฆ่าตายติดๆกัน
  และคล้ายเพราะความตายของคนเหล่านี้ ทำให้ผู้ที่ไม่มั่นใจในพลังขอตัวเองและไร้คนคุ้มกัน ก็ไม่กล้าประมาทดูเบาสถานการณ์หรือละโมบโลภหวังใดสืบต่อ เร่งบดขยี้ป้ายหยกหนีเอาตัวรอดไปทันที
  ด้วยเหตุนี้ จึงมีคนตายลดน้อยลงเรื่องๆ
  “ดูเหมือนจักมีคนเพ่งเล็งมาที่พวกเรา”
  จางเทียนโย่วที่ยืนอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนอย่างระแวดระวังเอ่ยขึ้นเสียงหนัก หลังสังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่ง
  ตอนนี้ไม่ว่าจะจางเทียนโย่วหรือว่างถิง ถึงแม้จะไม่ได้พูดเรื่องขอความช่วยเหลือจากต้วนหลิงเทียนย แต่พวกมันก็เผยท่าทีออกชัดว่าคิดเกาะต้วนหลิงเทียน และพอไม่เห็นต้วนหลิงเทียนพูดอะไร พวกมันก็วางใจไปเปราะหนึ่งและพยายามทำตัวมีประโยชน์ทันที
  ทั้ง 2 คอยมองรอบๆอย่างระแวดระวัง
  หากมีความเคลื่อนไหวผิดปกติ หรือส่อเค้าจะเป็นภัย จางเทียนโย่วจะเร่งกล่าวเตือนทันที ดุจเดียวกับตอนนี้…
  และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่จางเทียนโย่วกล่าวจบคำ ก็มีกลุ่มคน 7 คนเหินร่างมาทางต้วนหลิงเทียน และคนแรกที่เหินนำทั้ง 6 มาก็มีพลังฝีมือเทียบได้กับเทพสงคราม 1 ดารา และพึ่งฆ่าคนไปหยกๆหนึ่งคน
  “ศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง…หากข้าเขี่ยเจ้าตกรอบที่ 2 ได้ วันหน้าข้าก็คุยโม้ได้ชั่วชีวิตแล้ว!”
  ผู้ที่นำมายังเป็นชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาธรรมดา รอบกายเต็มไปด้วยเส้นสายอัสนีแลบลั่นราวกับเทพสายฟ้า และสายฟ้าที่แลบลั่นรอบกายก็แผ่กลิ่นอายพลังไม่ใช่ชั่ว ทุกครั้งที่ฟาดลั่น บรรยากาศโดยรอบยังสั่นไหวไม่น้อย
  ฟังจากวาจาของมัน เห็นได้ชัดว่าคิดเล่นงานต้วนหลิงเทียนเป็นพิเศษ!
  อีก 6 คนด้านหลัง ก็ไร้ซึ่งข้อยกเว้นใด พลังฝีมือของพวกมันล้วนแล้วแต่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งสิ้น!
  กระทั่ง 2 คนในนั้น จากกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมา ยังบอกให้รู้ว่าพลังฝีมือมันไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วๆไป
  “ศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง…อายุไม่ถึง 600 ปีแต่กลับมีพลังทัดเทียมจักรพรรดิอมตะสมญานาม…วันนี้ให้ข้าหลิวเว่ยรับทราบพลังฝีมือของเจ้าหน่อยเถอะ!”
  ชาหนุ่มผู้นำที่ประกาศนามว่าหลิวเว่ย กล่าวจบก็สะบัดมือเรียกค้อนอันเขื่องออกมา จากนั้นรอบตัวค้อนก็เต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้าแลบลั่นแปลบปลาบ ราวกับอัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาล ไม่พูดไม่จามันก็ง้างค้อนฟาดทุบบมาทางต้วนหลิงเทียนทันที และพอฟาดค้อนออก ก็อุบัติคลื่นพลังสายฟ้าขุมหนึ่งกวาดสะท้านมาฉับไว อานุภาพพลังปานจะย้อมสีสันโลกหล้าให้แปรเปลี่ยน!
  และเมื่อมันออกกระบวนท่าลงมือมาแบบนี้ ก็ม่ากที่ต้วนหลิงเทียนจะหยั่งตื้นลึกหนาบางมันออก
  ต้วนหลิงเทียนจึงเห็นได้ไม่ยาก
  ว่าอย่างน้อยๆชายหนุ่มผู้นี้ก็ถือว่าเป็นเทพสงคราม 2 ดาราที่มีพลังฝีมือพอตัว!
  และสมควรแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนทั้ง 7!
  ยิ่งไปกว่านั้นดูจากการโจมตีซึ่งหน้าๆไร้ลูกเล่นใดๆอาศัยพลังเข้าว่า เห็นได้ชัดว่าคิดจะกำจัดเขาด้วยการลงมือส่งๆ หมายสร้างชื่อให้ตัวเอง
  จังหวะนี้ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้สนใจอะไรมันมากมาย แต่มุมปากก็ยังอดยกโค้งขึ้นมาไม่ได้…ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขา ต้วนหลิงเทียน กลายเป็นพลับสุกนุ่มนิ่มในสายตาคนอื่น?
  “หึ!”
  ทว่าก่อนที่กระบวนท่าของหลิวเว่ยจะทันได้เข้าใกล้ต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนก็พ่นลมเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นสองตาก็กลายเป็นเยียบเย็น ทั่วร่างปะทุไอพลังน่ากลัวขุมหนึ่ง ก่อนจะมีร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกคนเดินแยกออกมา…เป็นร่างแยกของกฏแห่งความตาย!
  ‘หลิงเจวี๋ยอวิ๋น’ อีกคนมีสองตาแดงฉานปานก้อนเลือด พอก้าวแยกออกมาจากร่างต้น มันก็พุ่งทะยานออกไปราวอุกกาบาตสีเลือดลัดฟ้ายามคืนค่ำ จี้เข้าหาหลิวเว่ยกับอีก 6 คนเร็วไว ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายพลังชั่วร้ายชวนสยองออกมาล้นปรี่!
  “หาที่ตาย!!”
  หลิวเว่ยแสยะยิ้ม เป้าหมายของมันตอนนี้คือต้วนหลิงเทียน ไม่ว่าผู้ใดหาญกล้าขวางทาง มันจะทุบเสียให้สิ้น!!
  “ร่างแยกแห่งความตายแล้วอย่างไร? บิดาจะทุบให้แหลกในค้อนเดียว!!”
  ค้อนอันเขื่องในมือหลิวเว่ยที่ทุบฟาดซัดคลื่นพลังไปก่อนหน้า พริบตาก็บรรจุพลังสายฟ้าเข้าไปอีกขุม ก่อนจะง้างทุบไปยังร่างแยกแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอย่างดุดัน พลังสายฟ้าแลบลั่นออกมาห่าใหญ่ ประหนึ่งอัสนีสวรรค์ที่ฟาดผ่าลงมาจาก 9 ชั้นฟ้า เข่นฆ่าไปยังร่างแยกแห่งความตายหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยอำมหิต!
  ตูมมมม!!
  เปรี๊ยงงงง!!
  …
  ความเร็วในการฟาดทุบของค้อนไม่ใช่ชั่วจริงๆ ห้วงอากาศถึงกับแตกระเบิดส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว งดังยิ่งกว่าฟ้าผ่าเสียอีก!
  พอเห็นว่าค้อนอันเขื่องเจียนฟาดทุบลงบนร่างแยกแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น อยู่ๆร่างแยกแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ระเบิดพลังโลหิตออกมาอย่างน่ากลัว ความเร็วยังทวีเพิ่มเป็น 2 เท่าในฉับพลัน! หลีกหลบค้อนอันเขื่องได้อย่างง่ายดาย และพริบตาก็บรรลุถึงเบื้องหน้าหลิวเว่ยที่พึ่งได้สติ พาลให้สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนไปใหญ่หลวง!!
  หลิวเว่ยที่พบว่าเรื่องราวผิดท่าก็คิดจะเรียกป้ายหยกขึ้นมาบดขยี้ทำลาย แต่ทว่ามือของร่างแยกแห่งความตายหลิงเจวี๋ยอวิ๋นข้างหนึ่งพลันจับศีรษะมันแน่น อีกข้างก็จับไว้ที่ไหล่เสียก่อน!
  “ไม่—!!”
  และแทบจะพร้อมๆกันกับที่เสียงหลิวเว่ยร้องดังด้วยความหวาดกลัว ป้ายหยกพึ่งจะผุดจากความว่างเข้ามือได้ไม่ทันไร…
  ควากก!!
  เสียงบางสิ่งถูกฉีกดังขึ้น เป็นร่างแยกแห่งความตายยของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกระชากหัวหลิวเว่ยออกมาด้วยมือเปล่า ศีรษะพร้อมไขสันหลังแกว่งไกว หลุดออกจากร่างอย่างสยดสยองในพริบตา!
  จากนั้นร่างคนที่หัวถูกกระชาก ดั่งตอน้ำพุสีเลือดก็ไม่ปาน ฉีดพุ่งโลหิตแดงฉานออกมาเป็นสาย!
  จังหวะนี้กระทั่งผู้คนโดยรอบก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความตกใจกับการลงมือดังกล่าวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ทั้งหมดพากันหยุดมือและหันไปชมมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยความหวาดกลัว
  “สหายท่าน! พวกเราไม่สู้แล้ว! พวกเราไปเดี๋ยวนี้ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้!!”
  คนที่อยู่เบื้องหลังหลิวเว่ยทั้ง 6 พอเห็นหลิวเว่ยที่แข็งแกร่งที่สุดถูกกระชากหัวออกมาในชั่วพริบตา ก็ไม่กล้าอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว เร่งกล่าวคำถอนตัวอย่างเสียขวัญ และคิดไปหาเป้าหมายอื่นทันที
  อย่างไรก็ตามร่างแยกแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่สนใจคำพูดของพวกมัน มือที่ถือหัวหลิวเว่ยพลันกอบกุมบดขยี้ศีรษะหลิวเว่ยจนแหลกเหลวสมองกระจาย จากนั้นก็วูบร่างไปหาทั้ง 6 ด้วยความเร็วปานภูตผี! สองมือขยับดั่งเงาพราย พริบตาก็กระชากหัวไปอีก 2 คน!
  ฉากชวนสยองดังกล่าวทำให้อีก 4 คนที่เหลือหน้าเปลี่ยนสี ไม่กล้าเสี่ยงโชคอีกต่อไป เร่งบดขยี้ป้ายหยกถอนตัวหลบหนีทันที!
  เป็นธรรมดาว่าก่อนจะบดขยี้ป้ายหยก สีหน้าของพวกมันทั้ง 4 ก็เปี่ยมล้นไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ!
  สุดท้ายแล้วพวกมันทั้ง 4 ก็มีพลังระดับจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่กลับถูกคนๆเดียวบีบให้ถอนตัว!
  อย่างไรก็ตามพอคิดถึงสหายร่วมกลุ่มเฉพาะกิจที่พริบตาก็ตกตายไปถึง 3 พวกมันก็รู้สึกโชคดีอย่างยิ่ง โชคดีที่ตัวอำมหิตเมื่อครู่ไม่เลือกพวกมันเป็นเป้าหมาย! หาไม่แล้วคนที่ถูกกระชากหัวหลุดอาจไม่ใช่ 2 คนเมื่อครู่ แต่เป็นพวกมัน!!
  หลังจากทั้ง 4 หลบหนีออกมาแล้ว พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองชายหนุ่มชุดเทาข้างต้วนหลิงเทียนที่เป็นศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางผ่านม่านแสง “ให้ตายเถอะ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าข้างกายต้วนหลิงเทียนจะมีตัวอำมหิตเช่นนี้อยู่ด้วย…อาศัยพลังที่เจ้านั่นเผยออกมาเมื่อครู่ เกรงว่าอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นเทพสงคราม 3 ดารา เผลอๆอาจจะเป็นเทพสงคราม 4 ดาราด้วยซ้ำ!”
  ตอนนี้ในบรรดาผู้ที่ลงมือ กล่าวได้ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแข็งแกร่งที่สุด
  แน่นอนว่าไม่ใช่เทพสงคราม 4 ดารา หรือกระทั่งเทพสงคราม 5 ดาราคนอื่นไม่ลงมือ เพียงแค่คนอื่นๆล้วนลงมืออย่างอ่อนโยน ไม่เหมือนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ไม่เหลือโอกาสให้ผู้คน พอลงมือก็เข่นฆ่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้ง 3 ที่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามทิ้งในพริบตา!
  ไม่เหมือนการต่อสู้เพื่อเขี่ยคู่แข่งให้ตกรอบ แต่เป็นการฆ่าสังหารผู้คน!
  “ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว!?”
  จางเทียนโย่วกับว่างถิงที่อยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียน พอเห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นลงมือสังหารไป 3 คนติดๆและไม่มีใครในบรรดาผู้ตายที่อ่อนด้อยไปกว่าพวกมันเลยสักคน ก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดอาการหนาวจับไขสันหลัง พอมองไปยังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกครั้ง ดวงตาของพวกมันก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว “สหายของต้วนหลิงเทียนเป็นผู้ใดกันแน่!?”
  “พลังนั่น อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นเทพสงคราม 3 ดาราใช่หรือไม่?”
  “อีกทั้งเทพสงคราม 3 ดารา น่ากลัวว่าจะไม่ร้ายกาจถึงขนาดนี้!”
  …
  นอกจากต้วนหลิงเทียนและซูหลี่ที่ล่วงรู้จากต้วนหลิงเทียนว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นร้ายกาจมาก คนอื่นๆนอกจากผู้ที่มาจากวิหารเฟิงฮ่าวสาขาเฟิงชิงเทียน ก็หันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ่นด้วยความตกใจ เพราะการลงมือเมื่อครู่ไม่ธรรมดาจริงๆ!
  “ไอ้เจ้าชุดเทาที่กระชากหัวผู้คนเมื่อครู่มันเป็นใครกันแน่?”
  “ไฉนข้าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของคนใช้กฏแห่งความตายที่ร้ายกาจเท่ามันมาก่อน?”
  “กฏแห่งความตาย…แถมยังลงมือเข่นฆ่าอย่างเด็ดขาดนั่น พลังฝีมือของมันอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นชนชั้นยอดฝีมือเทพสงคราม 3 ดารา กระทั่งไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเทพสงคราม 4 ดาราด้วยซ้ำ! และถ้าหากมันเกิดเป็นเทพสงคราม 5 ดาราขึ้นมา เกรงว่าต่อให้เป็นเทพสงคราม 3 ดาราหรือ 4 ดาราเจอมันก็มีแต่ตายกับตายถ่ายเดียว!”
  …
  หลายคนมองว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นคนกระหายเลือด หาไม่แล้วไฉนถึงไม่คิดมอบโอกาสให้ผู้คนเลย?
  แน่นอนว่าหากตกตายเพราะพลังฝีมือสู้ผู้อื่นไม่ได้ ก็อาจพูดได้ว่าโชคไม่ดี…
  แต่เมื่อครู่ทั้งๆที่ผู้อื่นยอมแพ้คิดจากไปแล้ว แต่กลับไม่ไว้ชีวิตผู้อื่นและลงมืออำมหิตราวกับรอจะฆ่าผูคนไม่ไหว?
  เป็นธรรมดาว่าการลงมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเมื่อครู่ ก็มำให้เหล่าจักรพรรดิสวรรค์เหลือบมองมาปราดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เพราะอาศัยพลังที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋ยเผยออก ยังไม่ได้กระตุ้นความสนใจของพวกมันมากนัก
  ยิ่งไปกว่านั้นจักรพรรดิสวรรค์บางคนยังไม่พอใจกับการลงมืออำมหิตของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วย
  ตอนนี้ในสังเวียนประลองใต้โดมแสง มีผู้คนถูกเข่นฆ่ารวมถึงผู้ที่ถูกคัดออกแล้วทั้งสิ้น 200 กว่าคน
  หากยอดรวมดังกล่าวยังไม่ถึง 700 การประลองหมู่ก็ยังคงดำเนินต่อไป
  อย่างไรก็ตาม ด้วยการลงมืออย่างรุนแรงและอำมหิตของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเมื่อครู่ ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ต้วนหลิงเทียนกับพวกอีกเลย พากันหลบพวกต้วนหลิงเทียนแล้วไปสู้กันเอง ทำราวกับพวกต้วนหลิงเทียนเป็นอากาศธาตุ บ้างยังไปเตร็ดเตร่ไม่ก็ประมือกันต่อหน้าพวกต้วนหลิงเทียนหน้าตาเฉย
  ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
  …
  จนเมื่อเสียงของมีคมเชือดเฉือนเลือดเนื้อกระดูกดังขึ้น ทำให้ผู้คนในสังเวียนพบเจอตัวอำมหิตคนที่สอง และไม่กล้าเข้าใกล้มันอีกคน! เป็นชายหนุ่มถือดาบชุดคลุมสีเลือด!!
  ตัวอำมหิตที่ว่าเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างปานกลาง ใบหน้าเย็นชาไม่แยแส ดวงตาฉายแววอาฆาตมาดร้าย หากมองให้ดีจะพบว่าสีชุดคลุมของมันแต่เดิมไม่ใช่สีเลือดแต่เป็นสีเทาเข้ม! เพียงเพราะอาบเลือดผู้อื่นมามากเกินไป ชุดคลุมจึงเสมือนถูกชโลมย้อมไปด้วยสีเลือดแบบนี้
  เป็นธรรมดาว่าทั้งหมดเพราะคนผู้นี้ไม่คิดจะหลบหลีกเลือดของศัตรูที่เข่นฆ่าไป
  คล้ายคิดให้ชุดคลุมของมันชโลมย้อมไปด้วยโลหิต เป็นดั่งเหรียญเกียรติยศบ่งบอกว่ามีอัจฉริยะมากมายตกตายคามือมัน….