ตอนที่ 3,461 : กงซุนซวนหยวน
การลงมืออันดุร้าของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น กับชายยหนุ่มในชุดคลุมสีเลือด เรียกว่าทำให้ผู้คนหวาดกลัวเป็นอย่างมาก และทำให้แต่ละคนตระหนักได้ถึงอันตราย เช่นนั้นเมื่อเกิดเรื่องราวท่าไม่ดีขึ้นมาแต่ละคนก็เร่งบดขยี้ป้ายหยกเพื่อถอนตัวทันที
เจออะไรผิดท่าแล้วบดขยี้ป้ายหยก แม้จะทำให้ตกรอบ แต่ก็ดีกว่าต้องทิ้งชีวิต
อัจฉริยะรุ่นว์ที่เข้าร่วมศึกอัจฉริยะไม่วว่าใครก็ล้ววนเป็นสุดยอดอัจฉริยะในที่ๆตัวเองจากมา ถึงแม้การเข้าร่วมศึกอัจฉริยะอาจทำให้พวกมันสร้างชื่อเสียงได้ อย่างน้อยๆถึงงจะไม่ได้แสดงผลงานเลิศล้ำอะไร แต่แค่มีส่วนร่วมในศึกอัจฉริยะสวรรค์ กลับไปก็มีชื่อเสียงแล้ว
“เจ้านั่นพวกเรามิอาจตอแยด้วยได้…ข้าว่าข้าไปก่อนดีกว่า”
“ใช่ อยู่ใกล้ๆตัวอำมหิตเช่นนี้อันตรายเกินไป ข้าถอนตัวไปรอดูรอบที่ 3 ดีกว่า สุดท้ายแล้วหากมีใครที่ข้าพอจะเอาชนะได้ ก็ไม่ใช่ว่าสามารถกลับเข้าสู่การประลองได้อีกครั้งหรือไร?”
“พวกเจ้าจะรังแกกันเกินไปแล้ว เก่งจริงก็มาตัวๆกับข้าสิ อาศัย 3 รุม 1 เยี่ยงนี้ช่างน่ารังเกียจนัก! ในเมื่อเจ้าคิดจะเอาเช่นนี้ข้าถอนตัวไปก่อนก็ได้ แล้วเจ้าก็ล้างคอรอข้าท้ารอบที่ 3 เอาไว้ได้เลย!”
…
ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะที่กลัวตายเพราะอยู่ใกล้ๆยยอดฝีมืออำมหิตก็ดี หรือผู้ที่มีพลังฝีมือแค่จักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วไปจึงไม่อาจทำอะไรได้มากในศึกชุลมุน รวมถึงผู้ที่ถูกกลุ้มรุมก็ดี หลายคนเร่งบดขยี้ป้ายหยกเพื่อถอนตัว และไปรอท้าสู้ในรอบที่ 3 แทน
ความจริงแล้วการประลองชุลมุนของคน 1,000 คน และคัดออก 700 ไม่สมควรจบไวนัก แต่เนื่องจากปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดจากการลงมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับชายหนุ่มในชุดคลุมสีเลือด ก็ทำให้ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 2 ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็ถึงกาลยุติลง
ในบรรดาผู้ที่เหลือรอด 300 คนนั้น กว่า 9 ส่วนเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มีพลังฝีมือขอบเขตจักรพรรดิอมตะสมญานาม และส่วนใหญ่ยังเป็นเทพสงคราม 2 ดารา
นอกจากนั้นก็มีคนกลุ่มเล็กๆที่อาศัยการจ้างวานผู้อื่นให้ปกป้องตัวเอง จนสามารถผ่านเข้าสู่รอบ 3 ได้
ถึงแม้อัจฉริยะที่ใช้เงินแก้ปัญหาเหล่านี้ จะมีพลังแค่ใกล้เคียงกับจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่ด้วยภูมิหลังทั้งตระกูลอันมีรากฐานมั่นคงมั่งคั่งก็ทำให้พวกมันผ่านเข้ารอบมาได้
แต่เป็นธรรมดาว่าพวกมันรู้ดีแก่ใจ ว่าอย่างมากพวกมันก็ทำได้แค่ผ่านรอบ 2 เท่านั้น
พอถึงรอบที่ 3 พววกมันก็ถูกลิขิตให้ต้องถูกคัดออก
เพราะหลังผ่านรอบที่ 3 ไปแล้ว จะหลงเหลือแต่อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุด 300 คนเท่านั้น หากพลังฝีมือไม่ถึงขั้นก็ย่อมถูกกรองออกเป็นธรรมดา
“ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 2 สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้…หนึ่งเดือนต่อมา ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 3 จักเริ่มต้นขึ้น”
ฉีคงไห่รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก กล่าวประกาศออกมาเสียงดังฟังชัด “3 วันต่อมา วิวหารเฟิงฮ่าวของเราจักรวบรวมรายชื่อของผู้ที่ผ่านเข้ารอบที่ 2 ทั้ง 300 คนมาติดประกาศที่นี่…หลังจากประกาศรายชื่อแล้ว ทั้ง 700 คนที่ถูกคัดออกในวันนี้ ก็จักมีเวลาศึกษาข้อมูลของทั้ง 300 คนที่ผ่านเข้ารอบ สิ่งีน้เพื่อช่วยให้พวกเจ้าสามารถกำหนดเป้าหมายในการประลองที่จะเริ่มขึ้นหลังจากนี้ 1 เดือนได้สะดวก”
“ขอให้พวกเจ้าจงใช้โอกาสท้าประลองให้ดี เพราะพวกเจ้าแต่ละคนมีโอกาสในการท้าประลองชิงตำแหน่งแค่ 3 ครั้งเท่านั้น”
ในรอบที่ 2 นั้น อัจฉริยะทั้ง 700 คนที่ตกรอบ ก็มีโอกาส ‘ฟื้นคืนชีพ’ ในรอบที่ 3 ขอเพียงพวกมันสามารถท้าประลองแล้วเอาชนะใครสักคนในบรรดา 300 คนที่ผ่านเข้ารอบมาก่อนภายในโอกาสท้าประลอง 3 ครั้ง พวกมันก็จะสามารถแทนที่อีกฝ่ายและผ่านรอบที่ 3 ทันที
“หนึ่งเดือน?”
ซูหลี่เลิกคิ้วึข้นด้วยความแปลกใจ “ไม่คิดเลยว่ากว่าจะเริ่มรอบที่ 3 ต้องรออีกเดือนนึง”
“ดูเหมือนเป็นเวลาที่จัดให้ 700 คนที่ตกรอบไปวันนี้โดยเฉพาะ…ทั้งหมดเพื่อให้พวกมันศึกษาข้อมูลและพลังฝีมือของ 300 คนที่ผ่านเข้ารอบโดยละเอียด”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพลางกล่าว
“ต้วนหลิงเทียน ขอบคุณเจ้า”
ตอนนี้เองจางเทียนโย่วกับว่างถิงก็กล่าวขอบคุณต้วนหลิงเทียนออกมา เพราะหากวันีน้พวกมันไม่ได้หลบอยู่ด้านหลังพวกต้วนหลิงเทียน เกรงว่าอาศัยพลังฝีมือส่วนตัวของพวกมัน ก็ไม่แน่ว่าจะผ่านเข้ารอบมาได้
และเป็นธรรมดาว่าตอนนี้พวกมันตกอู่ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาล
เพราะหลังจากผ่านไป 1 เดือน ไม่พ้นพวกมันต้องถูกผู้อื่นท้าทายแน่นอน ถึงตอนนั้นเรื่องจะผ่านเข้าสู่รอบที่ 4 ก็คงยากแล้ว
“อืม”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “อย่างไรก็มีเวลาหนึ่งเดือน เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไปเตรียมตัวให้ดีเถอะ…เพราะหนึ่งเดือนหลังจากนี้ พวกเจ้าต้องโดนผู้อื่นท้าแน่นอน”
จางเทียนโย่วกับว่างงถิงที่หนักใจกับเรื่องนี้แต่แรก พอได้ยินที่ต้วนหลิงเทียนพูด ก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้ หลังงจากนั้นเมื่อม่านแสงจากค่ายกลกั้นเขตหายไป แต่ละคนก็พากันแยกย้ายกลับที่พัก เพื่อเร่งรุดบ่มเพาะทันที
ทำราววกับไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
ยังมีอีกหลายคนที่เร่งรุดจากไปเหมือนทั้งคู่
ต้วนหลิงเทียนที่เตรียมจะกลับไปพร้อมซูหลี่และหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็ได้ยินเสียงของฟงชิงหยางดังขึ้นเข้าหูเสียก่อน “เสี่ยววเทียน เจ้ามาหาข้าหน่อย พอดีสหายเก่าของข้าอยากเจอเจ้า”
พอได้ยินเสียงผ่านพลังของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวบอกซูหลี่กับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น จากนั้นก็แยกตัววไปหาฟงชิงหยาง
ด้านฟงชิงหยางเองก็ยยังนั่งอยู่บนเกาะลอยเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน
“อาจารย์ อาจารย์ลุงติง”
พอมาถึงต้วนหลิงเทียนก็ทักฟงชิงหยางกับติงฟู่ก่อนใดอื่น จากนั้นก็หันไปมองจักรพรรดิอมตะกระดูกมังกร เวว่ยฉี ที่ยืนอยู่ด้านหลังติงฟู่ พลางกล่าวทักอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่เว่ยฉี”
“พบกันอีกแล้ว”
เว่ยฉีตอบด้ววยรอยยิ้มเช่นกัน
ด้านติงฟู่ก็หันไปมองพูดกับต้วนหลิงเทียนด้ววยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ศิษย์หลานต้วน สหายเจ้าดุร้ายเสียจนอาจารย์ลุงไม่ได้ดูเจ้าแสดงฝีมือเสียอย่างนั้น”
“ดูท่าหากคิดชมดูเจ้าสำแดงฝีมือเลิศล้ำ ก็จำต้องรอหลังจากนี้หนึ่งเดือนถ่ายเดียว”
หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 3 จะเริ่มต้นขึ้น และ 700 คนที่ตกรอบวันนี้ก็จะมีโอกาสท้าทาผู้ที่ผ่านเข้ารอบ
ต้วนหลิงเทียน ในฐานะศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ฟงชิงหยาง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่พ้นต้องตกเป็นเป้าหมายการท้าทายของใครหลายๆคนแน่นอน!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อิจฉาเขา แต่ละคนคงแทบรอท้าเขาไม่ไหวแล้ว อย่างไรก็ตามหลายคนก็คิดจะรอดูท่าทีของต้วนหลิงเทียนก่อน
เพราะจากสถานการณ์ในปัจจุบัน เท่าที่เห็นก็คือ…
อย่างน้อยๆต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นนยอดฝีมือระดับเทพสงคราม 2 ดารา!
สำหรับเรื่องนี้ ติงฟู่ จักรพรรดิสวรรค์หวนสื่อเทียนเองก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ…ตัวตนที่มีพลังเทียบได้กับยอดฝีมือเทพสงคราม 2 ดารา ด้วยวัยเพียง 600 ปีเศษ? สิ่งนี้สามาถรพูดได้ว่าสัตว์ประหลาดชัดๆ!
ต่อให้เป็นเทพสงคราม 5 ดาราที่มีอายุ 900 กว่าปี ในตอนที่ยังมีอายุ 600 ปีก็ไม่อาจบรรลุความสำเร็จได้ถึงระดับนี้ด้วยซ้ำ
นอกจากนั้นจากสถิติในประวัติศาสตร์ของระนาบเทวโลกทั้งมวลแล้วว ก็มีแต่ผู้ที่จะเป็นเทพสงคราม 6 ดาราได้ตั้งแต่อายุไม่ถึงพันปีเท่านั้น ถึงจะกายเป็นเทพสงคราม 2 ดาราได้ตั้งแต่อายุ 600 ปี!
“ศิษย์หลานต้วน หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน อาจารย์ลุงจะรอดูชมฝีมือเจ้า”
เห็นได้ชัดว่าติงฟู่ก็รู้ว่าฟงชิงหยางก็กำลังจะพบปะสหายเก่า เช่นนั้นหลังจากยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนอีกคำ มันก็หันไปอำลาฟงชิงหยางแล้วพาเว่ยฉีเหินร่างจากไปทันที
ตอนนี้คนอื่นๆก็เริ่มแยกย้ายกันกลับแล้วว
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ไม่นานนักก็ปรากฏร่าง 3 ร่างเหินลัดฟ้ามาแต่ไกล พริบตาก็มาหยุดลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน
หนึ่งในนั้นต้วนหลิงเทียนรู้จักดี กระทั่งเคยประมือกันมาแล้ว…กล่าวให้ชัดคือเป็นเขาเตะผู้อื่นปลิวตอนที่มันไม่ทันตั้งตัวจนเจ็บหนัก!
ส่วนอีก 2 คนนั้น แม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอซึ่งๆหน้า แต่เขาก็รู้ถึงตัวตนอีกฝ่ายดี
จักรพรรดิสวรรค์แห่งซวนหยวนเทียน กงซุนซวนหยวน!
อีกคนก็คือ อวี๋ตงฟาง ศิษย์ที่แท้จริงลำดับ 3 ของกงซุนซวนหยวน
อวี๋ตงฟางมีรูปร่างปานกลางไม่สูงไม่ต่ำ พอมายืนอยู่ข้างๆถงถูที่ตัวสูงใหญ่ ก็ทำให้แลดูตัวเตี้ยไปถนัดตา อ่างงไรก็ตามลักษณะท่าทางและความรู้สึกที่ส่งออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ก็กลบถมความเตี้ยได้หมดจด ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามและความไม่ธรรมดาของมัน
“จักรพรรดิสวรรค์ฟง เห็นท่านลงมือวันนี้ นับว่าร่างอวตารกฏแห่งดินของท่านร้ายกาจจริงๆ”
กงซุนซวนหยวน จักรพรรดิสวรรค์แห่งซวนหยวนเทียน เป็นชายวัยกลางคนที่แลดูสง่างามมากราศี มาในชุดคลุมปักลายมังกรสีทอง
และอีกฝ่ายกำลังมองกล่าวกับฟงชิงหยางอย่างทอดถอนใจ
ย้อนกลับไปในอดีต ตอนที่ฟงชิงหยางรอดกลับออกมาจากนรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลก และมีข่าวลือกันหนาหูว่าบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว กงซุนซวนหยวนก็ได้มาหาเป็นการส่วนตัวเช่นกัน
ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่ได้ประมือกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว หากแต่อาศัยแค่กระบวนท่าเดียว กงซุนซวนหวนก็ตระหนักได้ถึงช่อว่างระหว่างมันกับฟงชิงหยางทันที
อีกทั้งเป็นแค่ร่างอวตารกฏแห่งดินเท่านั้น ที่ครอบงำมัน!
ต้องทราบด้วยว่าในอดีตยามประมือกับฟงชิงหยางที่ใช้กฏทำลายล้าง มันก็ยังประมือกับอีกฝ่ายยได้อยย่างสูสี
ทว่าในวันนั้น อาศัยแค่ร่างอวตารกฏแห่งดินป้อนมาหนึ่งกระบวนท่า ก็บดขี้มันได้อย่างง่ายดาย
พลังเทพนั้นร้ายกาจเหนือจินตนาการจริงๆ!
“จักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว ก็แค่การผสานรวมความลึกซึ้งของกฏกับวิถีกระบี่เท่านั้น”
ฟงชิงหยางส่ายหัวไปมา พลางกล่าวเชิญกงซุนซวนหยวนให้นั่งลงด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้เอง 2 คนที่ติดตามอยู่ด้านหลังกงซุนซวนหยวน อววี๋ตงฟาง กับถงถู ก็โค้งคารวะฟงชิงหยางอย่างสุภาพ “คารวะจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง”
ต้วนหลิงเทียนก็ประสานมือคารวะกงซุนซวนหยวนเช่นกัน “ต้วนหลิงเทียนขอคารวะจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวน”
ถึงแม้แซ่ของกงซุนซววนหยวนจะเป็น กงซุน แต่ก็มีไม่กี่คนที่เรียกหามันว่าจักรพรรดิสวรรค์กงซุน หลายคนนิยมเรียกว่าจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนมากกว่า
แต่เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนเรียกหาอีกฝ่ายตามอาจารย์
“ศิษย์หลานต้วน เจ้าพึ่งมีอายุได้ 600 ปีเศษ แต่เจ้ากลับประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้ เรื่องนี้น่าทึ่งยิ่ง”
กงซุนซวนหยวนกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วท่าทีเป็นมิตรอย่างมาก “ความสำเร็จในภายภาคหน้าของเจ้า เกรงว่าจะเหนือล้ำกว่าจักรพรรดิสวรรค์ฟงอาจารย์ของเจ้าเสียอีก”
พอกล่าวจบคำ ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้พูดอะไร กงซุนซวนหยวนก็หันไปกล่าวถามฟงชิงหยางด้วยรอยยิ้ม “จักรพรรดิสวรรค์ฟงเห็นว่าเป็นเช่นไร?”
ฟงชิงหยางคลี่ยิ้ม “ข้าเชื่อวว่าเสี่ยวเทียนเป็นสีครามที่มาจากสีน้ำเงินแต่เข้มกว่าสีน้ำเงิน”
วาจากล่าวตอบสั้นๆของฟงชิงหยาง ก็เผยให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียน และกระทั่งกงซุนซวนหยวนเองยังอดตกใจไมได้กับคำตอบดังกล่าว
ก่อนที่ฟงชิงหยางจะตอบ มันหลงคิดวว่าฟงชิงหยางอาจกล่าวตอบมาอย่างถ่อมตัวและขอไปที
แต่ทว่าด้วยสีหน้าท่าทางขณะกล่าวตอบนั่น เห็นได้ชัดว่าฟงชิงหยางคิดอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้แค่พูดลอยๆ
“ถงถู”
ตอนนี้เองกงซุนซวนหยวนก็เอ่ยคำออกมาเสียงเบา
ส่วนด้านถงถูที่พอได้ยินอาจารย์เรียกทักก็สะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นมันก็แลดูอึกอักแต่สักพักก็ได้แต่กล่าวคำขอโทษต้วนหลิงเทียนออกมา “ศิษย์น้องต้วน เรื่องวันก่อนที่ข้าเสียมารยาทไปต้องขออภัยเจ้าด้วย”
ถึงแม้อีกฝ่ายจะกล่าวคำขอโทษออกมา แต่ดูจากสีหน้าท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าถงถูไม่เต็มใจจะขอโทษเขา ที่ทำไปก็เพราะโดนกงซุนซวนหยวนบีบให้ทำเท่านั้น
“เจ้าไม่จำเป็นต้องขออภัยอะไรข้าหรอก”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว ก่อนจะมองถงถูตาเขม็ง “สุดท้ายวันนั้น ก็ไม่ใช่ข้าที่เป็นคนเจ็บ”
“เจ้า!”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ทั้งสายตาที่มองจ้องมานั่น สีหน้าถงถูก็เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันที
พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดพุ่งพล่านออกมาทั่วร่าง ก่อนจะเข้าสู่สภาวะพร้อมสู้รบทันที
อย่างไรก็ตามก่อนที่มันจะปะทุพลังทำอะไร มันก็นึกขึ้นได้จากทีท่าของต้วนหลิงเทียนตอนพบเจอกับการทดสอบรอบแรกของศึกอัจฉริยะสวรรค์ และนั่นบอกให้รู้ว่า 9 ใน 10 พลังฝีมือผู้อื่นกล้าแข็งกว่ามัน!
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แยแสทีท่าไม่พอใจทั้งฮึดฮัดของถงถูแม้แต่น้อย เพียงมองกงซุนซวนหยวนด้วยหัวใจที่สั่นไหว
พระช่วย!
นี่ก็คือ กงซุนซวนหยวน หนึ่งในตัวตนยุค 3 กษัตริย์ 5 จักรพรรดิ สมัยจักรพรรดิเหลืองในตำนานโบราณของประเทศบ้านเกิดเขาเมื่อชาติที่แล้ว!
ตอนนี้ตำนานตัวเป็นๆกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเขา!