ตอนที่ 3,462 : ร่างเหยียนหวง!
  ต้วนหลิงเทียนมองจ้องกงซุนซวนหยวนด้วยสายตาที่ฉายชัดถึงความตื่นเต้น
  สายตาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน กงซุนซวนหยวนเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน จึงอดถามออกมาด้วยความแปลกใจไม่ได้ “ศิษย์หลานต้วน เจ้าเคยเห็นข้ามาก่อนหรือ?”
  ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้ามันคนนี้ เอาแต่มองมันไม่วางตา และท่าทีไม่คล้ายพบเห็นคนแปลกหน้า แต่เหมือนมองคนรู้จักที่ไม่ได้พบเจอมานานแสนนาน ทำให้กงซุนซวนหยวนอดถามออกมาไม่ได้
  อย่างไรก็ตามมันมั่นใจเรื่องหนึ่ง
  มันไม่อาจจดจำชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าได้เลย ไม่มีทางที่จะมีจุดตัดหรือเคยพบกันมาก่อนแน่นอน
  “จักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวน”
  ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยกล่าวออกมาว่า “เรื่องีน้กล่าวไปแล้วอาจพิสดารยิ่ง แต่อันที่จริงแล้ว…ก็ใช่ที่ระนาบโลกียะบ้านเกิดของข้าในตอนนี้ก็เป็นระนาบโลกียะบ้านเกิดเดียวกับของอาจารย์”
  “แต่อันที่จริงแล้ว วิญญาณของข้านั้นมาจากดาวเหยียนหวงในระนาบเหยียนหวง”
  “ข้า…เติบโตมากับการฟังตำนานและเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของท่านในอดีต”
  พอต้วนหลิงเทียนกล่าวเรื่องนี้ออกมา ไม่เพียงแต่จักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวน แม้แต่ศิษย์ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหวนทั้ง 2 รวมถึงฟงหยางอาจารย์เขาก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเล็กน้อย
  โดยเฉพาะฟงชิงหยาง มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าศิษย์ของมันจะมีประสบการพิสดารอะไรแบบนี้ด้วย
  วิญญาณข้ามจากระนาบโลกียะหนึ่งมาถึงระนาบโลกียะหนึ่ง และวิญญาณที่ข้ามระนาบโลกียะมาก็เข้าไปสิงสู่ร่างคนที่กำลังจะตาย! เรื่องทำนองนี้มันเองก็เคยได้ยินมาก่อนแต่คิดว่าคงเป็นแค่ข่าวลือมากกว่า เพราะมันมีมูลความจริงไม่มากนัก
  อย่างไรก็ตาม มันรู้ดีว่าลองลูกศิษย์ของมันพูดออกมาแบบนี้ ต้องเป็นเรื่องจริงแน่
  “ตอนที่เจ้าอยู่บนดาวเหยียนหวง เจ้าเป็นคนที่เก่งกาจทั้งโดดเด่นมากหรือไม่?”
  ใบหน้ากงซุนซวนหวนเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง เอ่ยถามเสียงขรึม
  ในสายตาของมันไม่มีความตกใจหรือแปลกใจอะไร ราวกับเข้าใจเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกำลังพูดอยู่
  “เก่งกาจ โดดเด่น?”
  ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นความคิดเขาก็ยอนทวนกระแสเวลาหวนไปครั้งยังอยู่บนโลก พอพิจารณาจากความสำเร็จในอดีตเมื่อชาติก่อนของเขาแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลยหากจะบอกว่าเขาเก่งกาจและโดดเด่นกว่าใคร
  อย่างไรก็ตามแม้จะคิดไปทำนองดังกล่าว แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามกงซุนซวนหยวน “จักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวน คำเก่งกาจ โดดเด่นของท่าน หมายความว่าอย่างไร?”
  “ก็เป็นเลิศในบางประกากร และมีความสามารถบางอย่างเหนือผู้ใดในโลก’
  กงซุนซวนหยวนกล่าวตอบ
  “ไม่ทราบว่าเรื่องนี้นับรึเปล่า…”
  หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็เกริ่นตัวตนในอดีตบนโลกออกมา ขณะเดียวกันก็เล่ารายละเอียดชีวิตของเขาในอดีตว่าผ่านอะไรมาบ้างและประสบความสำเร็จอะไร ก่อนที่จะตกตายบนโลก
  “หากสิ่งที่เจ้าพูดมาไม่ใช่เรื่องอุปโลกน์…ความสำเร็จของเจ้าไม่ใช่แค่กล่าวได้ว่าเก่งกาจและโดดเด่น แต่สมควรเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครอื่น!”
  กงซุนซวนหยวนมองต้วนหลิงเทียนอยู่พักหนึ่ง ค่อยถอนหายใจออกมา “ข้าคิดว่ามีเพียงแต่เจ้าตกตายในดินแดนเสินโจวบนโลกเท่านั้น วิญญาณของเจ้าถึงอาจจะข้ามห้วงมิติไปยังระนาบโลกียะอื่นๆได้…แต่คิดไม่ถึงจริงว่าเจ้าที่ไปตกตายที่อื่น แต่สุดท้ายวิญญาณของเจ้าก็ยังสามารถข้ามมิติไปยังระนาบโลกียะอื่นได้อยู่ดี”
  “สถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าคงมีแต่บนดาวเหยียนหวงเท่านั้น”
  คำพูดของกงซุนซวนหยวนทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าไฉนอีกฝ่ายถึงเอ่ยถามเรื่องที่เขาเป็นคนเก่งและโดดเด่นไหม ยิ่งไม่เข้าใจว่าสถานที่ตายของเขาบนแผ่นดินเกิดมันต่างจากตกตายที่อื่นอย่างไร “จักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวน…ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจที่ท่านพูดนัก แต่ดูเหมือนท่านจะล่วงรู้ใช่หรือไม่ว่าไฉนวิญญาณของงข้าถึงข้ามระนาบโลกียะ?”
  “ก่อนอื่นเลยเรื่องของเจ้า ก็ไม่แตกต่างไปจากที่ข้าคำนวณไว้เท่าไหร่”
  กงซุนซวนหยวนมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเป็นประกาย จากนั้นลึกลงไปในแววตาก็เผยความตื่นเต้นอันสุดระงับ “อย่างไรก็ตาม หากข้าเดาไม่ผิด ร่างกายของเจ้าสมควรมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายกระมัง?”
  ชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย!
  พอกงซุนซวนหยวนเอ่ยคำนี้ออกมา ไม่เพียงแต่ศิษย์ทั้ง 2 ของมันจะตกตะลึงตาตั้ง กระทั่งลูกตาฟงชิงหยางยังอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลง จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนโดยไม่รู้ตัว เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย มันเองก็พึ่งรู้หลังได้พบเจอต้วนหลิงเทียนครั้งแรกเท่านั้น!
  “ท่านอาวุโสท่าน…ท่านรู้ได้อยย่างไร?”
  ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามออกมาด้วยยความประหลาดใจ สถานการณ์ในร่างของเขา ขอเพียงไม่ใช่ตัวตนขอบเขตเทพ แม้จะถูกอีกฝ่ายแผ่สำนึกเทวะมาตรวจสอบ ขอเพียงเขาไม่เต็มใจให้อีกฝ่ายตรวจสอบ เขาก็สามารถขับสำนึกเทวะที่อีกฝ่ายส่งมาตรวจสอบในร่างได้
  หรือมีตัวตนขอบเขตเทพบางคนพบสถานการณ์ในร่างเขาแล้วบอกกงซุนซวนหยวน?
  อย่างไรก็ตาม เรื่องแบบนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
  เพราะในร่างของเขามีพลังเทพของอาจารย์ประทับเอาไว้ หากมีเทพคนไหนคิดตรวจสอบสถานการณ์ในร่างเขา พลังเทพที่อาจารย์ประทับไว้ในร่างต้องสำแดงอิทธิฤทธิ์ และอาจารย์เขาก็จะล่วงรู้ได้ทันที และต้องรีบติดต่อมาบอกเขา กระทั่ง ยังอาจจะก่อร่างจิตเทพเพื่อหยุดอีกฝ่ายไว้สักพัก
  แน่นอนว่าหยุดอีกฝ่ายไว้สักพัก ก็คือการเตือนอีกฝ่ายเท่านั้น
  หากอีกฝ่ายังงรั้นจะตรววจสอบสถานการณ์ในร่างเขาให้ได้ อาศัยแค่จิตเทพของอาจารย์เขาก็คงไม่อาจหยุดยั้งอะไรได้
  “ฮ่าๆๆๆ…!!”
  กงซุนซวนหยวนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า จากนั้นก็มองต้วนหลิงเทียน “ฟังจากคำถามของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็คงมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายจริงๆสินะ”
  จากนั้นกงซุนซวนหยวนก็เร่งรุดส่งข้อความออกไป 2 ครั้ง และไม่ทันไรก็ปรากฏร่าง 2 ร่างวูบมาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน
  หนึ่งงในนั้นก็คือจักรพรรดิสวรรค์แห่งอวี้หวงเทียน อวี้ฮ่าวเทียน!
  ส่วนอีกคนก็คือจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาซวนหยวนเทียน จักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไล!
  จักรพรรดิหยก!
  ศากยมุณี!
  2 คนนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับต้วนหลิงเทียนแน่นอน
  แต่เป็นธรรมดาว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับทั้งคู่ใกล้ๆ!
  “ฮ่าวเทียน ฉื่อเจีย”
  หลังจากทั้ง 2 ปรากฏตัวขึ้น พอทุกคนกล่าวทักทายกันแล้ว กงซุนซวนหยวนก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน และกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์ฟง สมควรเป็น ‘ร่างเหยียนหวง’ ที่กำเนิดขึ้นในระนาบเหยียนหวงของพวกเรา”
  ยูไลหรือที่รู้จักกันในนามฉื่อเจียโหมวหนีนั้น กงซุนซวนหยวนมักเรียกหาอีกฝ่ายว่า ‘ฉื่อเจีย’ จนติดปาก และคำเรียกหาว่าฉื่อเจียนั้นมันก็เรียกมาตั้งแต่ในระนาบโลกียะแล้ว ถึงจะขึ้นมาระนาบเทวโลกจนมีวันนี้ก็ไม่เปลี่ยน
  บางทีคนที่ล่วงรู้ชื่อจริงๆของ ยูไล นอกจากมันกับสหายไม่กี่คนแล้ว ก็เห้นที่จะมีแต่คนจากดาวเหยียนหวงเท่านั้น
  ร่างเหยียนหวง!
  ได้ยินคำพูดของกงซุนซวนหยวน ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนกับฟงชิงหยางเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าคำนี้หมายความว่าอะไร แม้แต่ศิษย์ทั้ง 2 ของกงซุนซวนหยวน จะถงถูก็ดีอวี๋ตงฟางก็ดี สีหน้าแววตาแลดูว่างเปล่าไม่รู้เรื่องราวเช่นกัน
  หากทว่าสายตาของจักรพรรดิหยกและยูไลที่มองมายังต้วนหลิงเทียนตอนนี้ ฉายชัดถึงความประหลาดใจไม่น้อย
  พวกมันมาที่นี่หลังได้รับข้อความของกงซุนซวนหยวน และข้อความดังกล่าวก็แจ้งเพียงว่ามีเรื่องสำคัญจะบอก แต่ไม่ได้บอกไว้ว่าได้พบเจอกับ ‘ร่างเหยียนหวง’ แล้ว
  “ซวนหยวนเจ้าแน่ใจหรือ?”
  อวี้ฮ่าวเทียนหันไปมองถามกงซุนซวนหยวนด้วยสีหน้าจริงจังเสียงขรึม
  “ไม่ผิดแน่”
  กงซุนซวนหยวนกล่าว “ประสบการณ์ของเจ้าหนูนี่เหมือนกับ ร่างเหยียนหวง ทั้งหลาย…อีกทั้งเจ้าตัวยังยอมรับแล้วว่าในร่างมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย”
  “ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่าผ่านไปหลายปีแล้ว ข้าจักมีโอกาสได้เห็นร่างเหยียนหวงอีกครั้ง…และตอนนี้ข้าก็เติบโตมาจนเป็นจักรพรรดิสวรรค์คนหนึ่งแล้ว…”
  ทันทีที่ได้รับคำยืนยันว่าต้วนหลิงเทียนมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย กงซุนซวนหยวนก็มองมาที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเป็นประกาย คล้ายกำลังดูสมบัติล้ำค่าอันหาได้ยากยิ่ง ไม่เหมือนกำลังมองผู้คน!
  ด้านต้วนหลิงเทียนที่เห็นอาการของกงซุนหยวนก็ได้แต่ลอบร้องว่า ผิดท่าแล้ว อยู่ในใจ และเริ่มเสียใจที่ดันบอกอีกฝ่ายไปว่าวิญญาณข้ามมาจากระนาบเหยียนหวง กระทั่งยังมีบ้านเกิดบนดาวเหยียนหวง
  เหตุผลที่เขาพูดออกไป เพราะคิดว่าสิ่งนี้มันไร้สำคัญอะไร และไม่ใช่ความลับอีกต่อไป เพราะสุดท้ายก็คงไม่มีใครคิดจะสนใจเรื่องนี้มากนัก
  บนระนาบเทวโลกมีหลายคนที่พบเจอประสบการณ์พิสดารมากมาย หลายอย่างก็เกี่ยวข้องกับวิญญาณกลับชาติมาเกิดใหม่ แถมยังมีที่พิสดารยิ่งกว่านี้อีก แค่เรื่องของเขาก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรมากมาย
  อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดเลยว่าประสบการณ์ของเขาไม่เพียงแต่จะทำให้กงซุนซวนหยวนตกใจ แต่กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์อวี้หวงเทียน กับจ้าววิหารเฟิงฮ่าวจักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไล ก็แลดูประหลาดใจไม่น้อย…และต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าความสนใจของทั้ง 3 ไม่น่าจะใช่เรื่องดีอันใด
  “ร่างเหยียนหวง…”
  ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้สายตาของยูไลได้ละออกจากร่างต้วนหลิงเทียนและหันไปมองจ้องฟงชิงหยาง “จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง ในชีวิตอาตมาเคยรับศิษย์แต่ในนามมาก็หลายคน แต่ไม่มีผู้ใดเป็นศิษย์ที่แท้จริง…อาตมาคิดรบศิษย์ที่แท้จริงของท่านเป็นศิษย์ที่แท้จริงของอาตมา มิทราบว่าจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางเต็มใจตัดจากใจศิษย์คนนี้หรือไม่?”
  ได้ยินคำถามของยูไล ฟงชิงหยางก็เหลือบมองมันด้วยสายตาไม่แยแส “เรื่องนี้เจ้าต้องถามศิษย์ของข้า ไม่ใช่ข้า”
  ขณะเดียวกันฟงชิงหยางก็ลอบส่งเสียงผ่านพลังไปหาต้วนหลิงเทียน “เสี่ยวเทียน ถึงแม้ววว่าข้าเองก็ไม่รู้ว่าร่างเหยียนหวงนั่นคืออะไร แต่ดูจากท่าทีที่พวกมันสนใจกันจนออกนอกหน้าแบบนี้ พวกมันไม่พ้นต้องเก็บงำความลับอะไรเอาไว้เป็นแน่…อย่างไรก็ตามยูไลผู้นั้นมันบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว ทางที่ดีเจ้าอยู่ให้ห่างมันหน่อยจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงเภทภัยถึงชีวิต”
  “ในระนาบเทวโลกทั้งมวล ข้าได้ยินเรื่องร่างกายพิเศษมาก็ไม่น้อย…แต่ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องร่างเหยียนหวงมาก่อนเลย…และร่างพิเศษที่มีค่ามากที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมา กระทั่งตัวตนระดับจักรพรรดิสวรรค์เองก็ยังอยากช่วงชิง”
  “เพราะร่างกายพิเศษที่ข้าพูดถึง หากไม่ตกตายไปกลางทางเสียก่อน ไร้ซึ่งข้อผิดพลาดใด…สิบในสิบล้วนสามารถบรรลุถึงงขอบเขตได้เทพแน่นอน”
  “และจากข่าวลือที่ข้าได้ยินมาโดยไม่ทราบว่าจริงหรือเท็จ…มนุษย์ที่มีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายนั้น หากมีร่างพิเศษอันใด ศักยภาพจักไม่น้อยไปกว่าสัตว์เทพแม้แต่นิดเดียว หากไม่มีอะไรผิดพลาดสักวันต้องบรรลุถึงขอบเขตเทพโดยไม่ต้องพยายามมากนัก”
  ฟงชิงหยางกล่าว
  ฟงชิงหยางไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับต้วนหลิงเทียนมาก่อน เพราะมันกัวว่าพอต้วนหลิงเทียนได้ยินแล้วจะชะล่าใจ สุดท้ายก็ละเลยการฝึกปรือบ่มเพาะ
  มันเองก็รู้ดีว่าเหล่าผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายนั้น หากปราศจากอุบัติเหตุใดๆ ย่อมบรรลุถึงขอบเขตได้แน่นอน…ในสถานการณ์ดังกล่าว หากล่วงรู้แล้ว ผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ก็มักจะไม่รีบร้อน ละเลยการฝึกฝน เพราะรู้ดีว่าตัวเองจะอย่างไรก็คือเมล็ดพันธุ์แห่งเทพ
  “ข้ามิได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กับเจ้าแต่แรก เพราะกลัวเจ้าละเลยการฝึกปรือ”
  ฟงชิงหยางกล่าวอธิบายเสริม
  “ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจ”
  คำพูดของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนเข้าใจดี จากนั้นเขาก็หันไปมองงยูไลที่กำลังมองจ้องมาที่เขาตาลุกวาว และไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรต่อ เขาก็กล่าวตอบออกมาว่า “จ้าววิหารยูไล ชั่วชีวิตข้าต้วนหลิงเทียนคนนี้เพียงยอมรับอาจารย์แค่หนึ่งเดียวเท่านั้น และคนๆนั้นก็คืออาจารย์ของข้า ฟงชิงหยาง”
  “ต่อจากนี้ไป ต่อให้เป็นเทพที่น่าเกรงขามเพียงใด กระทั่งผู้แข็งแกร่งที่สุด…ข้าเองก็ไม่อาจกราบคารวะผู้ใดเป็นอาจารย์ได้อีก”
  ต้วนหลิงเทียนพูดออกมาแบบนี้ เรียกว่าตัดความหวังของยูไลทันที
  ด้านยูไลพอได้ยินดังกล่าว สองตาก็ทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง หากแต่ใบหน้ายังคงสงบ “ในเมื่อสหายน้อยตัดสินใจแล้ว อาตมาก็ไม่คิดบังคับ”
  พอกล่าวจบคำ มันก็หันไปมองฟงชิงหยางอีกครั้ง “จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง หลังจบศึกอัจฉริยะสวรรค์ 10 ปี อาตมาจักไปเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนเพื่อประมือกับท่าน…หากท่านแพ้ เช่นนั้นก็จงสละตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียนเสีย”
  ครู่ต่อมาสองตายูไลก็เผยจิตฆ่าฟันออกมาวาบหนึ่ง ยากที่ใครจะสังเกตได้เห็น