ในช่วงที่ 3 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 อัจฉริยะทั้ง 75 คนในบรรดา 300 คนที่ผ่านเข้ารอบมาชั่วคราวแล้ว ก็ไม่ต้องลงประลองแต่อย่างใด
เพราะช่วงที่ 3 มีไว้เพื่อให้อัจฉริยะทั้ง 225 คนที่แพ้พ่ายใน 2 ช่วงแรกมาประลองเฟ้นหา อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดอีก 25 คน
การที่อัจฉริยะทั้ง 225 คนมาช่วงชิงแข่งขันกันจนเหลือ 25 นั้น เรียกว่าแทบจะคัด 1 จาก 10 คน…กระบวนการดังกล่าวยังใช้เวลานานพอสมควร อย่างน้อยๆก็เนิ่นนานกว่า 2 ช่วงแรกของรอบที่ 4 รวมกั
ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดา 225 คนที่ว่า แม้จะมีคนที่ไม่ได้ด้อยไปกว่า 75 ที่ลอยลำไปก่อน แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร
ดังนั้นการประลองช่วงนี้จึงดำเนินไปอย่างไม่หวือหวา เทียบกับ 2 ช่วงก่อนหน้าไม่ได้
ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว ก็มีจักรพรรดิสวรรค์หลายคนที่เลือกจากไปไม่อยู่ชมดู
ต่อมา เหล่าอัจฉริยะบางคนก็เลือกที่จะจากไปเช่นกัน
กลับกัน ไม่มีคนของวิหารเฟิงฮ่าวคนไหนเลือกที่จะจากไปแม้แต่คนเดียว…ในเมื่อรองจ้าววิหารสาขาหลักอย่างฉีคงไห่ ยังทำงานหัวโด่ไม่ได้ไปพักอยู่ทั้งคน หากพวกมันกล้าไปพักล่ะก็ มีหวังได้โดนเบื้องสูงของวิหารเฟิงฮ่าวตำหนิแน่!
ตอนนี้แม้แต่ตัวเจ้าภาพผู้จัดอย่างจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนติงฟู่ ก็เลือกจะกลับไปกับฟงชิงหยาง
“โอย น่าเบื่อแท้…พวกเรากลับไปฝึกกันดีกว่าไหม รอให้จบรอบนี้แล้วค่อยกลับมาทีเดียว…”
ถังซานเป่าหันไปโอดครวญกับต้วนหลิงเทียน ซูหลี่ และหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
ด้านต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นพอได้ยินก็ไม่คัดค้านใดๆ ทั้ง 4 ตัดสินใจกลับไปก่อน แน่นอนว่าก่อนจากไป พวกต้วนหลิงเทียนก็ฝากให้พวกจางเทียนโย่วแจ้งมาทันทีที่ช่วงที่ 3 จบลง…
ช่วงที่ 3 นั้นพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรก็จริง แต่ในช่วงที่ 4 พวกเขาต้องมา…
ส่วนจางเทียนโย่ว ว่างถิง และเหอเจี้ยนอวี่ไม่คิดจากไปไหน ถึงแม้การประลองเบื้องหน้าจะไม่ได้อยู่ในสายตาพวกต้วนหลิงเทียน แต่สำหรับพวกมันแล้วนั่นคือการประลองที่น่าสนใจทั้งสิ้น…เพราะอัจฉริยะที่ยังสามารถลงประลองได้ในตอนนี้ ไม่ว่าใครล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งกว่าพวกมันทั้งสิ้น ยังแข็งแกร่งกว่าพวกมันมากอีกด้วย!
ชมดูการประลองของผู้ที่เข้มแข็งกว่า…จะมากจะน้อยพวกมันก็ได้รับแรงบันดาลใจอะไรบ้าง
ในเมื่อมีโอกาสดีๆตั้งอยู่ตรงหน้า พวกมันไหนเลยจะพลาด
ในปัจจุบันอัจฉริยะที่เลือกจะกลับไปก่อน ส่วนใหญ่ก็มีแต่อัจฉริยะที่ลอยลำไปก่อน 75 คนเท่านั้น…อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าทั้ง 75 คนจะเลือกกลับกันหมด ยังเหลืออัจฉริยะที่ลอยลำไปแล้วราวๆ 20-30 คนที่อยู่ชมดูการประลอง
“แล้วเจอกัน”
หลังจากพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 กลับถึงเขตที่พัก แต่ละคนก็แยกย้ายกันกับบ้านพักของตัว
ต้วนหลิงเทียนพอปิดประตูบ้านพัก ก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง จังหวะหัวใจที่เต้นในอกยิ่งมายิ่งช้าลง สุดท้ายก็ปานสายน้ำเอื่อย คนผล็อยหลับไปในที่สุด
ถึงแม้เซียนอมตะไม่หลับก็ไม่มีผลกระทบอะไรอีกต่อไป อ่างไรก็ตามหากคิดจะนอนหลับพักผ่อน เพียงแค่เลือกสะกดลมหายใจหยุดความคิดก็สามารถหลับลงได้อย่างง่ายดาย…แน่นอนว่าการหลับไหลเช่นนี้ทำได้แค่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงัดไร้ความเคลื่อนไหวใดๆเท่านั้น เพราะขอแค่ลมพัดแผ่วเบาพอให้ยอดหญ้าไหวก็จะตื่นขึ้นมาทันที…
ต่างจากปุถุชนคนธรรมดา ที่บางคนพอได้หลับแล้ว…ต่อให้ฟ้าสนั่นกึกก้องก็ยังหลับลืมตาย!
ในขณะที่ผล็อยหลับไป ต้วนหลิงเทียนก็ถือผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้ในมือ ไม่นานสติเขาก็มาโผล่ในห้วงฝัน จากนั้นก็แลเห็นเงาร่างมัวๆที่พอให้มองออกว่าเป็นคน กำลังสำแดงความลึกซึ้งของกฏมิติอยู่
“หืม? วิถีควบคุมรึ?”
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่าฉากเรื่องราวในห้วงฝันแปรเปลี่ยนไป และเงาร่างพร่ามัวดังกล่าวก็ปรากฏขึ้นบนยอดเขาแห่งหนึ่ง คนยืนอยู่ตรงนั้น สงบนิ่งปานขุนเขา
สักพักแขนทั้ง 2 ข้างก็ยื่นออก
วินาทีต่อมา ความว่างเปล่ารอบกาก็เริ่มปั่นป่วน บิดเบี้ยว พับงอ จากนั้นก็ทั้งบิดเบี้ยวพับงอคลี่กางดังระลอกคลื่นและเริ่มกำจายออกไปโดยรอบ
แรกเริ่มก็เป็นความว่างเปล่ารอบกายเริ่มพังทลายลง จากนั้นหมู่เมฆเหนือฟ้าก็เริ่มกระจายหายไป ยอดเขาเบื้องล่างเองก็เริ่มล่มสลายกลายเป็นละอองธุลี
ครืนน!!
ครืนนน!!
…
ภายใต้พลังอำนาจของห้วงมิติอันน่ากลัว เรียกว่าขุนเขาทั้งลูกไม่ทันไรก็กลับกลายเป็นละอองธุลี หมู่เมฆบนฟ้าสลายหายไปหมดสิ้น สุดท้ายหากไม่นับละอองธุลีจากขุนเขาที่ถูกป่นทำลาย ก็ไม่เหลือสิ่งใดนอกจากร่างมัวดังกล่าวกับความมืดดำของห้วงมิติ
‘ขอบเขตการควบคุมของมันกว้างมาก…ส่วนข้าทำได้แค่ควบคุมพื้นีท่รอบตัวกินรัศมี 5 หมี่เท่านั้น เทียบกันแล้วก็เหมือนหย่อมเล็กๆกลางทุ่งหญ้าสุดไพศาล…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าพลังแห่งกฏนั้น หากใช้กันตามปกติแล้ว จะมีขอบเขตกว้างใหญ่ไม่น้อย แต่ในแง่ของพลังอำนาจแล้วเมื่อเทียบกับพื้นที่ๆตกอยู่ในวิถีควบคุมแล้วพลังอำนาจจะด้อยกว่ากันมาก
“หืม?”
หลังจากนั้นสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็พบง่าเงามั่วร่างมนุษย์นั่นได้เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง และอยู่ๆก็มีกระบี่เล่มหนึ่งผุดจากความว่างเปล่ามาเข้ามือ ต่อมาเงาร่างที่ว่าก็เริ่มร่ายรำเพลงกระบี่ออกมาโดยผสานกับพลังของกฏมิติ
‘อะไรกัน? มรรคากระบี่ของมันกลับมีเของมรรคากระบี่ทำลายล้างของท่านอาจารย์…อย่าบอกนะว่าผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุดนี่ กลับรู้แจ้งในมรรคากระบี่มิติของข้าด้วย?’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว และหลังชมดูอยู่พักหนึ่ง เขาก็เลือกจะตื่นขึ้นมาพร้อมความตกใจ
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้าสะบัดมือเรียยกจานค่ายกลออกมาติดตั้งทันที จากนั้นอาศัยหนึ่งห้วงคิดก็เปิดโลกใบเล็กภายในกาย และหารือกับวารีเทพชำระโลกา 1 ใน 5 เทพเบญจธาตุของเขาทันที “พี่สาวสุ่ย…พลังของผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดมันจะไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือ…?”
“มรรคากระบี่มิติของข้า มันก็เข้าใจแล้วพัฒนาได้หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามเรื่องนี้กับวารีเทพชำระโลกาทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพบเจอสถานการณ์ดังกล่าว แต่วันนี้เขาไม่อาจระงับความอยากรู้อยากเห็นได้อีกต่อไป จึงอดถามวารีเทพชำระโลกาออกมาไม่ได้
วารีเทพชำระโลกาเองก็เป็นเทพเบญจธาตุที่รอบรู้ที่สุดในบรรดาเทพเบญจธาตุของเขา และพิจารณาจากอายุของนางแล้วต่อให้เรียกนางว่า ‘สารานุกรม’ ก็ไม่เกินเลย
“ที่เจ้าพูดมาถือเป็นเรื่องปกติมาก”..
วารีเทพชำระโลกาพอได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ก็กล่าวตอบออกมาเสียงเรียบ ไม่ได้แลดูแปลกใจแม้แต่นิดเดียว “ผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุด เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดตั้งใจสร้างทิ้งไว้ก่อนตาย มันถือว่าเป็นสมบัติสูงสุดในสวรรค์และโลก…ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้ที่ครอบครองสามารถเข้าใจกฏ และวิถีที่เชี่ยวชาญได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังมีเจตจำนงผู้แข็งแกร่งที่สุดหลงเหลืออยู่ด้วย…”
“ด้วยมีเจตจำนงของผู้แข็งแกร่งที่สุดหลงเหลือเอาไว้ กล่าวไปในระดับหนึ่งก็ถือได้ว่าผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดเป็นสมบัติที่มีจิตวิญญาณ…แต่ถึงจะพูดว่ามีจิตวิญญาณ แต่มันก็ไม่ได้เป็นจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ และได้แต่กระทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น”
“ก็อย่างที่เจ้าเล่ามา การสำแดงมรรคากระบี่มิติ ก็ถือเป็นหนึ่งในสัญชาตญาณเช่นกัน”
“นอกจากนี้ เจตจำนงของผู้แข็งแกร่งที่สุดจะฝึกปรือมรรคากระบี่มิติในแนวทางที่เจ้าเข้าใจ…แต่ด้วยความที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดนั้นถือเป็นตัวตนที่ดำรงอยู่ ณ จุดสูงสุดของสวรรค์และโลก ต่อให้ก่อนหน้าจะไม่เคยสัมผัสมรรคากระบี่มิติของเจ้ามาก่อนเลย แต่ในฐานะที่เป็นตัวตนที่มีความสำเร็จวิถีอื่นๆในจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลกเหนือล้ำกว่าเจ้ามาก การทำความเข้าใจมรรคากระบี่มิติของเจ้าและพัฒนาในแนวทางของเจ้า ย่อมไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะเทียบได้”
“จตุรวิถีในสวรรค์และโลก บางแง่มุมนั้นก็มีความละม้ายคล้ายเหมือนกันอยู่บ้าง”
ได้ยินคำพูดของวารีเทพชำระโลกา ความสับสนในใจต้วนหลิงเทียนก็เริ่มคลี่คลาย
ที่แท้ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด ก็ยังมีเจตจำนงของผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็มองไปยังญาติสนิทมิตรสหายเขาในโลกใบเล็ก พอพบว่าทุกคนก็ปิดด่านบ่มเพาะพลังกันอย่างแข็งขัน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดรบกวนใคร จึงปิดโลกใบเล็กอีกครั้ง และหลับต่อประพฤติตัวเป็น ‘นักเรียน’ ที่ดี…
สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว เงาของผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ปรากฏตัวในฝัน ถือเป็นสุดยอดอาจารย์ที่เก่งกาจอย่างหาตัวจับยากจริงๆ…
…
ช่วงที่ 3 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 แม้จะดำเนินการไปอย่างไม่หยุดพัก อย่างไรก็ตามกว่าจะจบสิ้นก็กินเวลาถึง 1 เดือน และนีท่สุดก็เฟ้นหาอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุด 25 คนจากอัจฉริยะทั้ง 225 คนแล้วเสร็จ
“ต้วนหลิงเทียน หลังจากนีอีก 3 วัน ช่วงที่ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 จะเริ่มต้นขึ้น…100 คนที่เข้ารอบชั่วคราวจะถูก 200 คนที่ถูกคัดออกไปก่อนชั่วคราวท้าทาย…และทุกคนมีโอกาสท้าทาย 10 ครั้ง”
ต้วนหลิงเทียนที่ได้รับข้อความติดต่อของจางเทียนโย่วขณะหลับ ก็ตื่นขึ้นมาทันที
และตลอด 3 วัน เขาก็ไม่ได้หลับต่อ แต่เริ่มบ่มเพาะพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างที่พุ่งพล่านปั่นป่วน…เพราะในความฝัน พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างของเขาก็จะถูกควบคุมโดยจิตใต้สำนึกของเขาเท่านั้น ไม่อาจควบคุมให้สงบได้อย่างตอนมีสติ…
และเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เขาใช้ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด
เป็นธรรมดาว่าการปรับพลังไม่ได้ยากอะไร ใช้เวลาแค่ครึ่งวันก็สามารถปรับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างให้สงบลงได้ดดสมบูรณ์
ในช่วงเวลาที่เหลือ เขาก็นั่งทำสมาธิครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ‘ศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ข้าต้องได้อันดับที่ 1…เพื่อผลอมตะหยวนปะทุ!’
‘ด้วยพลังของผลอมตะหยวนปะทุ เท่ากับว่าข้าสามารถร่นระยะเวลาบ่มเพาะพลังได้เป็นสิบๆปี สามารถทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศได้ในเวลาอันสั้น!’
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะบรรลุถึงจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนักมาสักพัก และห่างจากจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศแค่ก้าวเดียว…อย่างไรก็ตามหนึ่งก้าวนี้ไม่ใช่จะข้ามไปได้ง่ายๆ ยังยากกว่าบรรลุจากจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิดไปยังจักรพรรดิอมตะ 6 ผสาน หรือกระทั่งจักรพรรดิอมตะ 7 ดาราเสียอีก…
และทั้งหมดยังเป็นเพราะพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนสูงมากแล้ว ยังได้รับทรัพยากรบ่มเพาะจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ รวมถึงความช่วยเหลือจากพลังวิญญาณฟ้าดินในโลกใบเล็กอีกด้วย
คนปกตินั้นหากคิดจะทะลวงด่านพลังจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนักไปยังจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ ต่อให้มีพรสวรรค์สูงสุด และยืนอยู่เหนืออัจฉริยะคนใดในระนาบเทวโลก แต่หากไม่ใช่เวลาราวๆ 100 ปีก็คงยากจะทะลวงผ่าน
‘ศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์อายุไม่ถึงพันที่มาเข้าร่วม ไม่ว่าพลังฝีมือจะร้ายกาจเพียงใด ต่อให้เป็นเทพสงคราม 5 ดารา แต่ด่านพลังฝึกปรือของพวกมันก็มีแค่จักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนักเท่านั้น’
‘ธรณีประตูระหว่างขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนักกับจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศมันช่างห่างไกลเหลือเกิน…ต่อให้มองไปทั่วทั้งประวัติศาสตร์ของระนาบเทวโลก แต่ผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะได้ก่อนอายุพันปีก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หายากยิ่งกว่าเขากิเลนขนหงส์เสียอีก…และส่วนใหญ่ผู้ที่บรรลุถึงได้ก็ไม่พ้นต้องเคใช้ผลอมตะหวนปะทุหรือผลไม้อมตะที่มีพลังคล้ายผลอมตะหยวนปะทุทั้งนั้น’
แต่ละระนาบเทวโลกกว้างใหญ่มาก แถมยังมีถึง 81 ระนาบ
ท่ามกลางระนาบเทวโลกทั้งมวลอันกว้างใหญ่ไพศาลระดับนี้ จะมีผลไม้อมตะที่มีพลังคล้ายคลึงกับผลอมตะหยวนปะทุก็ไม่ถือว่าแปลกอะไร
…
3 วันต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ออกจากบ้านพัก และส่งข้อความไปหาซูหลี่
ซูหลี่ไม่ได้มาหาเขาแบบนี้ หมายความว่าซูหลี่ยังไม่น่าจะออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ ไม่งั้นคงไปเรียกหาเขาที่บ้านแล้ว
“ข้าก็ดันบ่มเพาะจนลืมเวลาไปเลย…ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนีช่วงที่ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 กำลังจะเริ่มแล้ว”
หลังจากซูหลี่ออกมาจากบ้าน ก็กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ
“ไปกันเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เดินทางไปยังสนามประลองศึกอัจฉริยะพร้อมซูหลี่ “ไม่รู้…ในช่วงที่ 4 ข้ากับเจ้าจะถูกคนท้ากี่คน…”