ในช่วงที่ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 นั้น ต้วนหลิงเทียนกับพวกรวมถึงคนอื่นๆจำนวน 75 คนที่ผ่านเข้ารอบชั่วคราวมาในช่วงที่ 2 กับอีก 25 คนที่ผ่านเข้ารอบชั่วคราวในช่วงที่ 3 รวมทั้งสิ้น 100 คน ก็จะต้องเผชิญกับการท้าทายของ 200 คนที่ถูกกำจัดออกไปชั่วคราว
  ทุกคนไม่ว่าใคร มีโอกาสที่จะท้าทายผู้อื่น 10 ครั้ง
  100 คน แต่ละคนท้าได้ 10 ครั้ง เท่านี้ก็มีการท้าทายเป็นพันครั้งแล้ว…แต่เป็นธรรมดาว่าคงไม่มีทางที่ทุกคนจะใช้โอกาสท้าทายครบทั้ง 10 ครั้ง เหล่าผู้แข็งแกร่งที่ถูกคัดออกไปชั่วคราวนั้นบางทีแค่ใช้สิทธิ์ท้าประลอง 1-2 ครั้งก็ผ่านเข้ารอบแล้ว
  มีเพียงแต่ผู้ที่พลังฝีมืออ่อนด้อยเท่านั้นถึงจะใช้สิทธิ์ท้าประลองครบ 10 ครั้ง กระทั่งหลังสู้ 10 ครั้งแล้วก็ไม่แน่ว่าจะผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ
  แต่ไม่ว่าจะอะไรตาม สุดท้ายการประลองในช่วงที่ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 ก็น่าจับตามองเป็นอย่างมาก ทำให้ไม่เพียงแต่เหล่าอัจฉริยะจะมารวมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ เหล่าจักรพรรดิสวรรค์ และคนของวิหารเฟิงฮ่าวก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตา
  สำหรับคนของวิหารเฟิงฮ่าวนั้น กระทั่งช่วงที่ 3 อันแสนน่าเบื่อพวกมันยังอยู่กันครบ เช่นนั้นรอบที่ 4 ก็ไม่มีทางที่พวกมันจะไม่มา
  เมื่อระดับสูงๆทุกคนมากันครบแล้ว ฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าว ก็ปรากฏตัวขึ้นเหมือนทุกครั้ง จากนั้นก็กวาดตามองไปยังเหล่าอัจฉริยะ พลางเอ่ยออกเสียงเรียบว่า “วันนี้ การประลองช่วงสุดท้ายของศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 จักเริ่มขึ้น!”
  “สำหรับ 100 คนที่สามารถยืนหยัดบนสังเวียนแห่งนี้ได้ ก็จะผ่านเข้ารอบต่อไปอย่างราบรื่น”
  “สำหรับกฏเกณฑ์การประลอง พวกเจ้าคงรู้กันดีอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าจะไม่พูดซ้ำ”
  “บัดนี้ ขอเชิญให้อัจฉริยะทั้ง 200 คนที่ถูกกำจัดออกชั่วคราว เริ่มออกมาท้าประลอง 100 คนที่ผ่านเข้ารอบชั่วคราวได้…สำหรับข้อมูลของอัจฉริยะ 100 คนที่ผ่านเข้ารอบเป็นการชั่วคราว ก็จะปรากฏเหนือหัวข้าตอนนี้…”
  พอเสียงของฉีคงไห่ดังจบคำ เหล่าอัจฉริยะก็สังเกตุเห็นม่านแสงตารางข้อมูลของผู้ที่ผ่านเข้ารอบชั่วคราววทั้ง 100 คนลอยล่องอยู่กลางฟ้าสูง
  ต้วนหลิงเทียนกวาดตามองไป ก็เห็นชื่อของเขาได้ไม่ยาก จึงลองอ่านข้อมูลของตัวเองดูว่าคราวนี้วิหารเฟิงฮ่าวจะบันทึกไว้ว่าอย่างไร…
  ‘ต้วนหลิงเทียน จากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน พลังฝีมือที่เผยออกมาอย่างน้อยๆก็เป็นเทพสงคราม 3 ดาราชนชั้นยอดฝีมือ และหากประสบความสำเร็จในการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 2 ประการขึ้นไปชุดหนึ่ง อย่างน้อยๆความแข็งแกร่งก็จะกลายเป็นเทพสงคราม 4 ดาราขึ้นไปทันที’
  ข้อความข้างต้นก็คือข้อมูลที่วิหารเฟิงฮ่าวใช้อธิบายเขา
  ไม่คำนึงถึงการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ ความแข็งแกร่งของเขาเทียบได้กับเทพสงคราม 3 ดาราชนชั้นยอดฝีมือ…
  ‘พวกมันตัดสินแบบนี้ก็นับว่าไม่ผิดจริงๆ…’
  ต้วนหลิงเทียนลอบเห็นด้วยกับข้อมูลดังกล่าวในใจ จากนั้นสายตาเขาก็ไปตกลงบนชื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก่อนจะอ่านข้อมูลแนะนำทันที ‘หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจากเฟิงชิงเทียน ความเป็นมาลึกลับ แต่สงสัยว่าจะเป็นสหายกับ ต้วนหลิงเทียน ศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางมาก่อน และความแข็งแกร่งที่เปิดเผยออกมาในตอนนี้ อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นเทพสงคราม 4 ดาราขึ้นไป…’
  หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ลองหาชื่อถังซานเป่ากับซูหลี่เพื่อดูข้อมูล
  ถังซานเป่า ยืนยันแล้วว่าเป็นเทพสงคราม 5 ดาราขึ้นไป สำหรับความเป็นมาลงไว้ว่าเป็นผู้ฝึกตนที่เร้นกาย
  สำหรับซูหลี่ถูกอธิบายไว้ว่าเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะแห่งอวี้หวงเทียน มีความแข็งแกร่งระดับเทพสงคราม 4 ดารา ทั้งยังเป็นเทพสงคราม 4 ดาราที่พึ่งก้าวหน้า
  “พี่น้องต้วน ในบรรดาพวกเราท่านนับว่ายังซุกซ่อนพลังฝีมือไว้ได้ลึกลับที่สุด…”
  ถังซานเป่ายกนิ้วให้ต้วนหลิงเทียน “โดยปกติแล้ว ยิ่งเป็นคนที่ร้ายกาจมากเท่าไหร่ก็สามารถซุกซ่อนพลังฝีมือได้ลึกมากเท่านั้น ว่าแต่พี่น้องต้วน…ที่แท้ท่านร้ายกาจจริงรึเปล่า?”
  “ถังซานเป่า…ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองมากนะ”
  ต้วนหลิงเทียนก็หันขวับไปหยีตามองถังซานเป่า พลางยกยิ้มมีเลศนัย ทำให้ถังซานเป่าที่เลียบๆเคียงๆถามถึงกับรู้สึกขนลุกขึ้นมา จากนั้นมันก็เร่งคลี่ยิ้มโง่งม “พี่น้องต้วนท่านอย่าถือสาข้าเลย ข้าแค่ล้อท่านเล่นเท่านั้น หยอกๆ…”
  จังหวะนี้ถังซานเป่าได้แต่โอดครวญในใจ
  มันไม่ทราบว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนจะร้ายกาจมากถึงขั้นเอาชนะมันได้จริงๆรึเปล่า?
  “เทพสงคราม 4 ดาราค่อนข้างเยอะทีเดียว”
  ซูหลี่ที่มองไปยังตารางรายชื่อเหนือศีรษะฉีคงไห่พลางกล่าวพึมพำออกมา
  ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็กวาดตามองไปยังรายชื่อทั้ง 100 คน จากนั้นก็พบว่ามีผู้ที่ถูกลงข้อมูลไว้ว่าเป็นเทพสงคราม 4 ดาราถึง 20 คน “ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่จะไม่อาจปิดซ่อนพลังฝีมือได้อีกต่อไป”
  ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยาก
  หากนับรวมเทพสงคราม 5 ดารากับเทพสงคราม 4 ดาราแล้ว ก็มีเกือบๆ 30 คน
  และนี่ยังเป็นแค่ข้อมูลที่วิหารเฟิงฮ่าวลงไว้เท่านั้น
  “รอบนี้สำหรับผู้ที่มีพลังฝีมือเทพสงคราม 4 ดาราขึ้นไป คงไม่มีใครคิดจะท้าประลองแน่นอน…ในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งก่อนๆ ปกติแล้วผู้ที่มีพลังระดับเทพสงคราม 4 ดารา ก็มักจะติดอยู่ใน 30 อันดับแรกของศึกอัจฉริยะสวรรค์ทั้งสิ้น”
  จางเทียนโย่วกล่าว
  และความจริงก็เป็นดั่งที่จางเทียนโย่วพูดมาไม่มีผิด
  ตราบใดที่มีข้อมูลหลังชื่อว่าเป็นเทพสงคราม 4 ดาราขึ้นไป ในช่วงสุดท้ายของรอบที่ 4 ก็แทบไม่มีใครคิดจะท้าประลองด้วยเลย อัจฉริยะที่ถูกกำจัดออกชั่วคราวเลือกที่จะมองข้ามเทพสงคราม 4 ดาราขึ้นไปทั้งงนั้น
  เห็นได้ชัดว่าพวกมันก็ตระหนักถึงพลังฝีมือของตัวเองดี และรู้ว่าหากท้าทายเทพสงคราม 4 ดาราก็แทบไม่เห็นโอกาสชนะ จึงไม่คิดจะเสียสิทธิ์ท้าประลองไปเปล่าๆ
  “พี่น้องต้วนในบรรดาพวกเรา นอกจากท่านแล้วคงไม่มีใครท้าประลองแน่นอน…แต่กับท่าน ข้าว่าไม่นานต้องมีคนคิดลองดีเป็นแน่!”
  ถังซานเป่าคลี่ยิ้ม
  และไม่นานนัก ‘ปากอีกา’ ของถังซานเป่าก็สัมฤทธิ์ผล!
  “ข้า โอวหยางชี่ ขอท้าทายต้วนหลิงเทียน!!”
  ผู้ที่ท้าประลองต้วนหลิงเทียนเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงิน รูปร่างหน้าตาของมันแลดูธรรมดา ไม่อ้วนไม่ผอมไม่หล่อไม่อัปลักษณ์ หากแต่ดวงตามันฉายแววคมกริบปานมีดดาบ
  และตอนนี้ชายหนุ่มดังกล่าวก็เหินร่างไปรอเหนือสังเวียนประลอง ทั่วร่างปรากฏแสงงกระบี่สีทองม้วนวน และใต้ฝ่าเท้าของมันก็ย่ำเหยียบกระบี่พลังมีสภาพสีทองเล่มเขื่องอยู่
  “เจ้าโอวหยางชี่นั่น…มันเป็นอัจฉริยะที่ร้ายกาจคนหนึ่งในจี้เมี่ยเทียนของพวกเรา”
  ว่างถิงหันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยตาเป็นประกาย “ต้วนหลิงเทียน ท่านอาจไม่ทราบ แต่โอวหยางชี่ผู้นี้จัดว่ามีชื่อเสียงในจี้เมี่ยเทียนเราไม่น้อย…และมันเองก็เป็นเซียนกระบี่คนหนึ่ง”
  “นอกจากนั้น…”
  ว่างถิงหยุดเล็กน้อย ราวกับลังเลอะไรบางอย่าง ค่อยตัดสินใจกล่าวออกมาว่า “ข้าเคยได้ยินมาว่าโอวหยางชี่ผู้นี้ มันเคยคุกเข่าอยู่หน้าพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนเป็นเวลา 1 เดือนเต็มๆ เพื่อขอให้ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ยอมรับมันเป็นศิษย์…อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นจนนจบ ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ไม่คิดเหลียวแลมันเลย”
  “มันคุกเข่าอยู่ตลอดหนึ่งเดือนเต็มๆ สุดท้ายค่อยจากไปเงียบๆพร้อมกับความผิดหวัง…”
  “เจ้านั่นนับว่ายึดติดกับเรื่องนี้มาก…หลังจากมันกลับไป มันก็ไปสร้างชื่อเสียงจนโด่งดังไปทั่วจี้เมี่ยเทียน มันไล่ท้าประลองอัจฉริยะที่อายุไม่ถึงพันปีมากมายและเอาชนะได้ทั้งหมด เมื่อ 100 ปีก่อนพลังของมันก็เทียบได้กับเทพสงคราม 3 ดาราแล้ว หลังจากสร้างชื่อเสียง มันก็ย้อนกลับมาคุกเข่าอยู่หน้าพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนอีกครั้ง รอบนี้ยังคุกเข่าไปทั้งสิ้น 3 เดือนเต็มๆ ด้วยหวังให้ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ยอมรับมันเป็นศิษย์”
  “กระนั้นใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ก็ไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย”
  “และคราวนี้มันก็ไม่ได้จากไปเงียบๆเหมือนครั้งก่อน…แต่กลับตะโกนโวยวายหน้าพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์อย่างไม่ยอมแพ้…”
  กล่าวถึงจุดนี้ว่างถิงก็หยุดลงเล็กน้อย มองต้วนหลิงเทียนด้วยความระวังพลางกล่าวสืบต่อว่า “มันยังตะโกนถามว่าไฉนใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ไม่ยอมรับมันเป็นศิษย์? ทั้งๆที่ตัวมัน…สามารถเอาชนะศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวที่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์พึ่งรับมาได้ในกระบวนท่าเดียว!”
  “ตอนนั้นเหมือนมันจะไปสืบข้อมูลของท่านมาเป็นอย่างดี และรู้ว่าท่านมีอายุน้อยกว่ามัน 300 กว่าปีอีกด้วย…”
  ว่างถิงกล่าวต่อ “กล่าวได้ว่า ตอนแรกมันก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่ไปๆมาๆ…เจตนาของมันก็ชัดเจน ทั้งหมดที่มันพูดก็แค่จะสื่อว่า ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์มีตาหรือไม่…ไฉนถึงได้ตาฝ้าฟางรับท่านมาเป็นศิษย์ได้”
  “หืม? มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ?”
  หลังได้ยินเรื่องราวจากว่างถิง ต้วนหลิงเทียนก็พอเข้าใจได้ว่าไฉนโอวหยางชี่ถึงเพ่งเล็งมาที่เขา แถมยังมองเขาด้วยสายตาแหลมคมเอาเรื่องแบบนั้น
  พอรับทราบเรื่องราว เขาก็ไม่แปลกใจเลย
  วูบ!
  ร่างต้วนหลิงเทียนพลันอันตรธานหายไปจากที่นั่งทันที ปรากฏตัวอีกครั้งคนก็ข้ามมิติมาลอยร่างอยู่เบื้องหน้าโอวหยางชี่ไม่ไกล มองสบตาโอวหยางชี่พลางกล่าวว่า “ลงมือเถอะ”
  อย่างไรก็ตามแม้ต้วนหลิงเทียนจะบอกให้โอวหยางชี่ลงมือแล้ว แต่มันกลับไม่คิดลงมือแต่อย่างใด เพียงมองจ้องต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง เอ่ยถามออกมาเสียงหนัก “ต้วนหลิงเทียน เจ้ารู้หรือไม่…ว่าข้ารอเวลานี้มานานแค่ไหน?”
  “ข้าไม่รู้”
  ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพลางกล่าวเสียงเฉย “และข้าก็ไม่สนใจจะรู้ด้วย”
  ขณะเดียวกันเหล่าผู้ชมที่สังเกตเห็นความเย่อหยิ่งของโอวหยางชี่ขณะเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาลอยๆ “เจ้าโอวหยางชี่นั่นมันเขม่นกับต้วนหลิงเทียนมาก่อนหรือยังไง…ไฉนสายตาที่มันใช้มองจ้องต้วนหลิงเทียน ทำราวกับต้วนหลิงเทียนไปฆ่าบิดาฉุดภรรยามันมาเลยล่ะ?”
  “เจ้าก็เห็นด้วยรึ! ข้าว่าพวกมันต้องเคยมีเรื่องกันมาก่อนแน่!”.
  “เจ้าโอวหยางชี่นั่นก็เหมือนกับข้า พวกเรามาที่นี่พร้อมกับคนของวิหารเฟิงฮ่าว…และโอวหยางชี่นั่นก็ถือว่ามีชื่อเสียงในจี้เมี่ยเทียนเราไม่น้อย อย่างไรก็ตามมันน่าจะพึ่งเคยเจอต้วนหลิงเทียนที่ศึกอัจฉริยะสวรรค์เป็นครั้งแรก และข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าต้วนหลิงเทียนเคยไปมีเรื่องมีราวอะไรกับมัน”
  “ไม่เคยมีเรื่องกันรึ? จะเป็นไปได้ยังไงกัน?”
  “พวกเจ้าคงไม่รู้…แต่เจ้าโอวหยางชี่นั่นมันเคยไปคุกเข่าหน้าพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนเรา 2 รอบ ด้วยหวังให้ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกเรารับมันเป็นศิษย์ แต่ว่า…ฯลฯ”
  …
  ในขณะที่อัจฉริยะรุ่นเยาว์จากจี้เมี่ยเทียนเล่าเรื่องราวออกมา เหล่าอัจฉริยะที่อยู่รอบๆก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าไฉนโอวหยางชี่ถึงแลดูเพ่งเล็งไปที่ต้วนหลิงเทียนแบบนี้ ที่แท้เพราะมันขุ่นเคืองที่จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางไม่ยอมรับมันเป็นศิษย์!
  ทว่าต้วนหลิงเทียนนั่น ได้เป็นถึงศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน!!
  “ต้วนหลิงเทียน”
  โอวหยางชี่มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดุดัน ฉายประกายแหลมคมจ้า “วันนี้ข้าจะทำให้ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ล่วงรู้ว่าศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวที่รับมา ต่อหน้าข้าโอวหยางชี่มันอ่อนแอจนน่าสมเพชขนาดไหน!”
  พอโอวหยางชี่กล่าวจบคำ พลังทั่วร่างมันก็ปะทุลุกโชนขึ้นมาดั่งเพลิงไฟ และทั่วร่างราวกับถูกปกคลุมไปด้วยแสงพลังสีทอง จากนั้นแสงพลังสีทองของมันก็ขึ้นรูปก่อตัวเป็นกระบี่ยักษ์เล่มเขื่อง!
  และรอบๆกระบี่ยักษ์สีทองคลุมกาย ก็ปรากฏแสงกระบี่สีทองสาหนึ่งห้อมล้อมวนเวียนรอบตัว แลดูงดงามสะดุดตาไม่น้อย
  “แล้วข้าจะรอดู”
  ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
  ฉากเรื่องราวดังกล่าวทำให้จักรพรรดิสวรรค์หยยวนสื่อเทียน ติงฟู่ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “น้องฟงท่าน ศิษย์ของท่านคนนี้ช่างนิ่งจริงๆ”
  พอฟงชิงหยางได้ยินก็คลี่ยิ้มบางๆออกมา สาตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนยังอ่อนโยนไม่น้อย
  สำหรับโอวหยางชี่?
  ขออภัย ทว่าแต่ต้นจนจบกระทั่งหางตาฟงชิงหยางยังไม่เหลียวแล!
  “ต้วนหลิงเทียน ภายใน 10 กระบี่ เจ้าจะต้องพ่ายแพ้แก่ข้า!”
  โอวหยางชี่ลั่นคำดุร้าย จากนั้นร่างมันคล้ายกลับกลายเป็นกระบี่พุ่งจี้เข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด แสงพลังสีทองสาดส่องออกมาสว่างจ้า ควบรวมก่อลักษณ์เป็นแสงกระบี่สีทองมากมายประหนึ่งห่าพิรุณ พุ่งตามติดมันมาดั่งเงาตามตัว กลิ่นอายความลึกซึ้งของกฏแห่งทองหลายประการกำจายออกมาอย่างร้ายกาจ ทั้งหนึ่งในนั้นยังเป็นกลิ่นอายของการผสานรวมความลึกล้ำของกฏแห่งทอง!
  ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
  …
  แสงกระบี่พุ่งตัดฟ้ามาฉับไว ก่อสำเนียงเสียงกระบี่คำรามดังกึกก้อง ดั่งคลื่นสมุทรโถมกระหน่ำก็ไม่ปาน!