ไม่ทันรู้ตัว งานประมูลของตระกูลโจวก็ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว
  ก่อนจะเข้าสู่ช่วงสุดท้าย ก็มีสมบัติถูกประมูลออกไปมากมาย อย่างเช่นลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกการประมือกันระหว่างราชาเทพ รวมถึงจอมราชันเทพด้วย เป็นธรรมดาว่ายังมีอุปกรณ์เทพบางอย่าง
  สิ่งของที่นำออกประมูลนับว่าดึงดูดความสนใจผู้คนนัก ทว่าทั้งหมดไม่ได้อยู่ในสายตาของต้วนหลิงเทียนเลย เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เสียหินเทพไปกับของเหล่านั้น จริงอยู่ที่เขาอาจจะเพิ่มราคาเพื่อความสนุกสนานได้อยู่ แต่เกิดไม่มีคนประมูลต่อขึ้นมา ไม่ใช่หาเรื่องเสียหินเทพเปล่าๆหรือไร…
  “พวกเจ้าไม่สนใจอะไรบ้างหรือ?”
  ต้วนหลิงเทียนหันไปมองต้วนเฉียวอวี่ที่อยู่ข้างกาย ก่อนจะเหลือบไปมองอวี๋ชิวซวนเล็กน้อยพลางถามด้วยสงสัย
  “พี่ชาย…”
  ไม่ทันที่อวี๋ชิวซวนจะได้ตอบคำ ต้วนเฉียวอวี่ก็กล่าวออกมาก่อนว่า “งานประมูลตระกูลโจวไม่มีอะไรดีๆเลย…ว่าแต่พี่ชายต้องการเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจอมราชันเทพนั่นหรือไม่ หากพี่ชาต้องการเสียวอวี่จะประมูลให้พี่ชาย”
  ต้วนเฉียวอวี่กล่าวถึงจุดนี้ก็ขมวดคิ้ว ค่อยกล่าวสืบต่อ “น่าเสียดายที่เคล็ดวิชาบ่มเพาะประจำตระกูลมิได้รับอนุญาตให้ถ่ายทอด มิฉะนั้นเสียวอวี่จะมอบเคล็ดวิชาบ่มเพาะประจำตระกูลให้พี่ชายแต่แรก”
  “แค่ก แค่ก…คุณหนู จานหลักของงานประมูลตระกูลโจวมาแล้ว”
  พอต้วนเฉียวอวี่กล่าวถึงจุดนี้ อวี๋ชิวซวนก็กระแอมขัดไม่กี่ครั้ง แล้วเปลี่ยนเรื่องทันที
  ต้วนหลิงเทียนที่มองต้วนเฉียวอวี่ข้างกาย พอเห็นท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของนาง เขาก็อดเอื้อมมือไปลูบหัวนางไม่ได้
  พอต้วนหลิงเทียนกลับมารู้สึกตัว เขาก็พบว่ามือซนไปบ้าง แต่ต้วนเฉียวอวี่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรแถมังเผยท่าทีพึงพอใจมา สองตายิ้มหยีจนแทบปิด ราวกับชอบให้เขาลูบหัวแบบนี้
  เห็นนางแลดูมีความสุข ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดหยุดมือ ยีหัวนางเล่นต่ออีกสองสามรอบ
  “พี่ชายอ่า ท่านทำผมข้ายุ่งอีกแล้ว”
  ต้วนเฉียวอวี่ทำปากจู๋กล่าวบ่นออกมา สองตากลมใสราวมีม่านน้ำฉาบเคลือบกระพริบปริบๆ
  ถึงแม้ปากจะกล่าวบ่น แต่น้ำเสียงก็แลดูชอบใจมากกว่า
  ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ชาเจ้า ชอบยีผมเจ้าเล่นด้วยหรือ?”
  ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ต้วนเฉียวอวี่ก็นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นแววตานางก็สั่นไหวเล็กน้อย ค่อยพยักหน้า “ใช่…พี่ชายชอบลูบหัวเสียวอวี่…”
  ต้วนหลิงเทียนผงะไปเล็กน้อย
  ทันใดนั้นเอง อยู่ๆเสียงในโถงรวมก็เงียบหายไป เพราะบัดนี้ทุกคนเอาแต่มองชม แหวนพื้นที่ในมือโจวอวิ๋นที่อยู่บนเวทีประมูลตาไม่กระพริบ
  แหวนพื้นที่ดังกล่าว พึ่งมีคนนำมาส่งมอบให้โจวอวิ๋น
  และพอแหวนพื้นที่วงนี้มาถึงมือโจวอวิ๋น ทุกคนในโรงประมูลก็ถูกมันดึงดูดความสนใจไปทันที เพราะต่างรู้ดีว่านี่คือรายการสุดท้ายที่จะนำขึ้นประมูลในวันนี้ เคล็ดเทพ 6 เงา เคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจอมราชันเทพ!
  “แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน…”
  และท่ามกลางสายตาสนใจของผู้คน โจวอวิ๋นก็ค่อยๆกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด “แหวนพื้นที่ในมือของข้าวงนี้ ด้านในเก็บเคล็ดวิชาเทพ 6 เงา ที่เคยปรากฏขึ้นในตระกูลเค่อของเขตตงหลิงในอดีตเอาไว้….”
  “เคล็ดเทพ 6 เงานั้น ถูกผนึกเอาไว้โดยตัวตนระดับจอมราชันเทพ หากมิใช่ตัวตนที่มีระดับพลังอยู่ในขอบเขตจอมราชันเทพหรือเหนือกว่านั้นก็มิอาจคลายผนึกได้…เมื่อมิอาจคลายผนึกก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอ่านเคล็ดความของเคล็ดเทพ 6 เงา…”
  “ถึงแม้ว่าตระกูลโจวของพวกเราเองก็มิอาจคลายผนึกเคล็ดเทพ 6 เงาได้ แต่พวกเราก็มั่นใจสิบส่วนเต็มว่านี่เป็นต้นฉบับที่สมบูรณ์ของเคล็ดเทพ 6 เงา!”
  กล่าวถึงจุดนี้ โจวอวิ๋นก็ไม่รอช้า นางหยดเลือดหยดหนึ่งลงบนแหวนพื้นที่เพื่อผูกพันธะ จากนั้นก็นำแผ่นหยกสีเขียวเข้มออกมา
  รอบๆแผ่นหยกดังกล่าวปรากฏแสงพลังม้วนวนเรืองรอง บางครั้งแสงพลังก็เป็นสีเขียว บางครั้งก็เป็นสีแดง บางครั้งก็เป็นสีน้ำเงิน
  แสงประหลาด 3 สีที่ม้วนวนรอบแผ่นหยก หนุนเสริมให้ตัวแผ่นหยกแลดูลึกลับยากหยั่งถึง
  “อันที่จริง หากใช้กำลังย่อมสามารถทำลายผนึกของแผ่นหยกได้…แต่หากมีผู้ใดทำเช่นนั้น แผ่นหยกจักถูกทำลายไปด้วย ถึงตอนนั้นเคล็ดเทพ 6 เงาก็มีอันต้องสาบสูญไปจากโลกหล้าแล้วจริงๆ”
  “ตอนนี้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านสามารถใช้สำนึกเทวะตรวจสอบแผ่นหยกในมือของข้าได้ แล้วพวกท่านก็จักยืนยันว่ามันเป็นเคล็ดเทพ 6 เงาได้เอง”
  พอโจวอวิ๋นกล่าวถึงจุดนี้ สายตาของผู้คนในโรงประมูลจากที่มองกันตาค้างก็กระพริบ จากนั้นก็พากันแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบทันที
  ต้วนหลิงเทียนก็ไม่เว้น
  พอสำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนกวาดออกไปสัมผัสกับแสงพลัง 3 สีบแผ่นหยก สำนึกเทวะของเขาก็ได้รับการถ่ายทอดข้อความทางวิญญาณหนึ่ง เป็นข้อความแนะนำรายละเอียดของแผ่นหยก บอกวิธีคลายผนึกและข้อห้ามในการคลายผนึก
  และยังบอกรายละเอียดอีกว่า ด้านในแผ่นหยกก็คือเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจอมราชันเทพ เคล็ดเทพ 6 เงา และผนึกดังกล่าวได้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้อาวุโสของตระกูลเค่อ
  นอกจากนั้นก็เป็นอย่างที่โจวอวิ๋นบอกไว้เมื่อครู่ มีแต่ตัวตนขอบเขตจอมราชันเทพหรือสูงกว่านั้น ที่สามารถคลายผนึกได้อย่างละมุนละม่อม มิอาจใช้กำลังทำลาผนึกได้เด็ดขาด
  เพราะหากใช้กำลังแข็งขืนเพื่อทำลายผนึก แผ่นหยกที่บรรจุเคล็ดเทพ 6 เงาเอาไว้จะทำลายตัวเองทันที
  ‘กลวิธีในระนาบเทพนั้นเหนือล้ำกว่าในระนาบเทวโลกอย่างเห็นได้ชัด…เอาแค่จอมราชันเทพก็สามารถสร้างผนึกประหาดแบบนี้ได้ หากเป็นจักรพรรดิเทพหรืออริยะเทพที่ทรงพลังกว่าเล่า วิธีการของมันไม่ร้ายกาจยิ่งกว่านี้หรือ?’
  ถึงแม้ว่าก่อนจะมังดินแดนดาราพิศวง ต้วนหลิงเทียนจะเคยข้องแวะกับตัวตนในระนาบเทพมาก่อนแล้ว
  อย่างเช่น เซี่ยเจี๋ย อาสามของเค่อเอ๋อ หรืออวิ๋นชิงเหยียนนายน้อยแห่งตระกูลอวิ๋น รวมถึงคนที่อวิ๋นชิงเหยียนส่งไปไล่ฆ่าเขา อย่างไรก็ตาม ตอนที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอพวกมัน อีกฝ่ายก็ไม่อาจใช้พลังได้ทั้งหมด
  นั่นเพราะชนพื้นเมืองของระนาบเทพ หากออกจากระนาบเทพแว พลังฝึกปรือจะถูกสะกดเอาไว้
  ยิ่งสายเลือดบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ ยิ่งใช้พลังออกได้มากขึ้นเท่านั้น
  หากสายเลือดไม่บริสุทธิ์ พลังฝึกปรือก็จะถูกจำกัดเอาไว้อย่างมาก
  ตัวอย่างเช่นเซี่ยเจี๋ยกับอวิ๋นชิงเหยียน ทั้งคู่ล้วนแล้วแต่เป็นชนพื้นเมืองที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ แม้จะออกจากระนาบเทพ แต่ก็ยังสามารถใช้พลังเทพได้มากกว่าครึ่ง ซึ่งแตกต่างจากข้ารับใช้ที่อวิ๋นชิงเหยียนส่งไปไล่ล่าฟงชิงหยาง พลังฝึกปรือนั้นถูกจำกัดไว้แค่ระดับเทพขั้นต่ำเท่านั้น
  นอกจากนั้นเพราความเข้าใจในกฏของอีกฝ่ายอ่อนด้อยกว่าฟงชิงหยางที่ไม่เพียงแต่จะเข้าใจกฏทำลายล้างในระดับสูง แต่ยังเข้าใจมรรคากระบี่ทำลายล้าง 1 ใน 4 วิถีของสวรรค์และโลก ทำให้ไม่อาจฆ่าฟงชิงหยางได้ง่ายๆ เพียงแค่บีบคั้นให้ฟงหยางต้องหลบหนีเข้าสู่นรกอสุราได้เท่านั้น…
  และนั่นคือข้อจำกัดของผู้แข็งแกร่งที่สุด ที่มีต่อชนพื้นเมืองของระนาบเทพ
  ขณะเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งที่สุดยังเห็นพ้องต้องกันในเรื่องนี้
  ชนพื้นเมืองในระนาบเทพ หากไม่มีข้อจำกัดอะไร ไม่แน่ว่าอาจมีบางคนคุ้มคลั่งไปไล่ฆ่าผู้คนในระนาบเทวโลก…ถึงตอนนั้นระนาบเทวโลกได้วุ่นวายปั่นป่วน เผลอๆยังจะลุกลามไปถึงระนาบโลกียะอีกด้วย
  ในปัจจุบัน ผู้แข็งแกร่งที่สุดส่วนใหญ่จะมาจากระนาบเทวโลกหรือระนาบโลกะ เรียกว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดที่มาจากระนาบเทพนั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
  ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่มาจากระนาบเทวโลกหรือระนาบโลกียะ ย่อมมีความผูกพันกับบ้านเกิดของตัวเอง จึงรวมตัวกันเพื่อหารือกับเหล่าผู้แข็งแกร่งที่สุดทั้งหมดเพื่อตั้งกฏขึ้น…ชนพื้นเมืองของระนาบเทพ เมื่อออกจากระนาบเทพ ระดับพลังฝึกปรือจะถูกจำกัดเอาไว้อย่างมาก
  เป็นธรรมดาว่าหากเป็นตัวตนขอบเขตเทพที่มีต้นกำเนิดในระนาบเทวโลกหรือระนาบโลกียะ ยามกลับไปเยือนระนาบเทวโลกหรือระนาบโลกียะก็จะไม่ถูกจำกัดพลังแต่อย่างใด เว้นเสียแต่จะถูกผู้แข็งแกร่งที่สุดเพ่งเล็งเป็นพิเศษ
  ชนพื้นเมืองของระนาบเทพ จะมากจะน้อยก็สืบสายเลือดมาจากผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เปิดสร้างระนาบเทพนั้นๆ และในเมื่อภายในร่างมีสาเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดไหลเวียนอยู่ เช่นนั้นหากผู้แข็งแกร่งที่สุดคิดจะสร้างข้อจำกัดอะไร ก็ใช้อาคมเชื่อมโยงกับสายเลือดได้อย่างง่ายดาย
  เป็นเหตุให้เทพที่มาจากระนาบเทวโลกกับระนาบโลกียะไม่โดนจำกัดในเรื่องนี้ เพราะไม่ได้มีสายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุด
  …
  “ที่แท้ผนึกเคล็ดวิชานั่น ก็จำต้องให้ตัวตนระดับจอมราชันเทพคลายออก…ข้าก็ว่าแล้วเชียว ว่าไฉนตระกูลโจวถึงไม่แอบซ่อนมันเอาไว้ฝึกปรือเอง ที่แท้พวกมันก็จนปัญญานี่เอง”
  เหล่าผู้คนในโรงประมูลเริ่มได้สติ และหลังจากดึงสติกลับมาแล้ว ก็มีบางคนกล่าวออกมาแบบนี้
  “ข้าก็สงสัยแต่แรก ถึงแม้ตระกูลโจวจะไม่กล้าใช้เองเพราะกลัวถูกล่วงรู้ภายหลัง แต่อย่างน้อยๆก็น่าจะให้ยอดฝีมือในตระกูลบางส่วนฝึกปรือและส่งออกไปซ่อนตัวด้านนอกเพื่อกันท่า ไม่ต้องนำมาประมูลแบบนี้…ที่แท้เพราะการจะทำลายผนึกมันมีข้อจำกัดเช่นนั้นนี่เอง”
  “ในตระกูลโจวไม่มีผู้ใดสามารถคลายผนึกได้ และถ้าพวกมันคิดขอความช่วยเหลือจากจอมราชันเทพ ก็คงกริ่งเกรงจอมราชันเทพดังกล่าวจะฉกของไปเปล่าๆ…”
  “เคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจอมราชันเทพ…ไม่ทราบราคาจะสูงถึงขนาดไหน”
  …
  พอเสียงจากโถงรวมดังเข้าหู ต้วนหลิงเทียนก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง จากนั้นก็รอดูชมการประมูลเบื้องล่างด้วยความสนใจ
  เพราะราการประมูลชิ้นนี้ สมควรแข่งขันกันรุนแรงและน่าตื่นเต้นที่สุดของงานประมูล
  “อาวุโสโจว ท่านประกาศราคาเริ่มต้นเลยเถอะ”
  บางคนก็ร้องเรียกออกมา
  ด้านโจวอวิ๋นที่อยู่บนเวทีประมูล เมื่อเห็นความคึกคักของผู้คนหลังนางนำเคล็ดวิชาเทพ 6 เงาออกมา มุมปากก็คลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ “แขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย ต่อไปจักเป็นรายการประมูลชิ้นสุดท้ายของวันนี้…”
  “เคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจอมราชันเทพ เคล็ดเทพ 6 เงา ราคาประมูลเริ่มต้นที่หินเทพ 100,000 ตำลึง!”
  ท่ามกลางสายตากระตือรือร้นของผู้คน ในที่สุดโจวอวิ๋นก็ประกาศราคาเริ่มต้นของเคล็ดเทพ 6 เงาออกมา
  ทว่าหลังโจวอวิ๋นกล่าวประกาศราคาเริ่มต้นจบไป 2-3 ลมหายใจแล้ว ก็ยังไม่มีผู้ใดเสนอราคาเป็นคนแรก
  จากนั้นผู้คนในโถงรวมที่มาร่วมชมด้วยความสนุก ก็อดไม่ได้ที่จะหันรีหันขวางด้วยความงุนงง “เกิดอะไรขึ้น? ไฉนไม่มีผู้ใดเสนอราคาเลยเล่า ถึงแม้ราคาของมันจะสูงถึงหินเทพ 100,000 ตำลึง แต่สำหรับขุมกำลังระดับจอมราชันเทพแล้ว ราคาดังกล่าวก็เสมือนน้ำหยดหนึ่งในถังกระมัง?”
  “ไม่ต้องกล่าวถึงขุมกำลังระดับจอมราชันเทพหรอก…เอาแค่กองกำลังจอมราชันเทพ หรือชนชั้นอาวุโสในขุมกำลังจอมราชันเทพ ก็น่าจะมีหินเทพหลายแสนแล้ว…”
  “แล้วนี่มันอะไรกันเล่า ไฉนถึงเงียบกริบเลยล่ะ มิใช่ว่าวันนี้มีหากนับรวมนิกายหมอกเร้นลับ ก็มีขุมกำลังระดับจอมราชันเทพมากันถึง 5 ขุมกำลังหรือไร?”
  …
  หลังจากโจวอวิ๋นประกาศราคาเริ่มต้นออกมาแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดเปิดราคาออกมาแม้แต่คนเดียว…
  เรื่องนี้มันน่าอายอยู่บ้าง
  นี่มันสมบัติเลิศล้ำเชียว ไฉนไม่มีใครเอาเล่า?
  ไม่เพียงแต่คนของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพทั้ง 5 กระทั่งนายท่าน 4 แห่งตระกูลจ้งในห้องส่วนตัวหมายเลข 6 ก็นิ่งเงียบไม่คิดเคลื่อนไหว …
  “ท่านหัวหน้า มิใช่ว่าพวกเรามาเข้าร่วมงานประมูลวันนี้ก็เพราะเคล็ดเทพ 6 เงาหรือไร?”
  ในห้องส่วนตัวหมายเลข 12 ชายชราร่างกำยำผู้หนึ่ง หันไปมองถามชายวัยกลางคนที่นั่งข้างๆ
  ชายวัยกลางคนผู้นี้ ใบหน้าปรากฏรอยแผลเป็นชวนสยองปานมีตะขายตัวเขื่องพาดไต่ แม้ไม่ได้ทำอะไรแต่กลิ่นอายพลังที่กำจายออกมาอย่างเป็นธรรมชาติก็เต็มไปด้วยแรงกดดันอันน่ากลัวชวนให้ผู้คนรอบข้างอึดอัด “ข้าเองก็อยากประมูลอยู่หรอก…แต่เพราะบางอย่างทำให้ข้ามิอาจเสนอราคาออกไปได้”
  ชายวัยกลางคนที่มีแผลเป็นราวตะขาบพาดหน้ากล่าวอย่างทอดถอนใจ สีหน้าเผยให้เห็นถึงความจนปัญญาอยู่บ้าง