ระนาบเทวโลก มีสถานที่ต้องห้ามอันตรายทั้งสิ้น 7 แห่ง และนรกอสุราก็เป็นแค่ 1 ในนั้น
ในปัจจุบัน ที่ไหนสักแห่งของนรกอสุรา มีร่างหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิกลางหาวบ่มเพาะพลังอย่างแข็งขัน พลังวิญญาณฟ้าดินในสวรรค์และโลกนับไม่ถ้วนถูกดูดรั้งเข้าร่างฉับไว ยิ่งมากลิ่นอายพลังจากร่างดังกล่าวก็ยิ่งทรงพลังเข้มแข็งมากขึ้น
ทว่าทันใดนั้นเอง อยู่ๆชายหนุ่มในชุดสีครามที่นั่งหลับตาขัดสมาธิกลางหาวก็ลืมตาขึ้น
ในดวงตาของมัน คล้ายมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมาวูบหนึ่งค่อยดับไป
“อีกแค่ก้าวเดียว…ก็จะทะลวงถึงราชาเทพขั้นกลางแล้ว”
ชายหนุ่มสุดครามกล่าว “อย่างไรก็ตามช่วงนี้ข้าได้ศึกษาวิธีการจู่โจมทางวิญญาณอย่างหนัก…และด้วยความสำเร็จในการฝึกปรือทักษะการโจมตีด้วยวิญญาณ พรอมด้วยกฏทำลาล้างและมรรคากระบี่ทำลายล้างของข้า ต่อให้ต้องเจอกับเจ้าหมี่ซวนอดีตหหัวหน้าเผ่าภูตนั่น ข้าก็มีพลังต้านทานการโจมตีของมันได้ แถมยังจะสวนกลับไปทำร้ายมันจนสาหัสได้แน่”
“อนิจจา เรื่องจะฆ่ามันคงยาก…”
เสียงพึมพำดังถึงจุดนี้ ชายหนุ่มชุดครามก็ส่ายหัวไปมา
“ไม่ทราบป่านนี้ เสี่ยวเทียนเป็นอย่างไรแล้ว…”
พอกล่าวถึงคำ ‘เสี่ยวเทียน’ ดาวงตาของชายหนุ่มชุดครามก็ฉายแววอ่อนโยนออกมา “หวังว่าเสี่ยวเทียนจักปลอดภัย…หากเส้นผมเสี่ยวเทียนขาดไปแม้แต่เส้นเดียว ข้าจะฆ่าล้างทั้งเผ่าพันธุ์ภูตของมัน!”
“ถึงแม้ตอนนี้เผ่าพันธุ์ภูต จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหมี่ซวนแล้วก็ตาม”
สิ้นคำกล่าว ดวงตาชายหนุ่มชุดครามก็ฉายประกายเยียบเย็นเรืองขึ้นวาบหนึ่ง
ชายหนุ่มชุดครามผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากฟงชิงหยางที่ได้หลบหนีเข้าสู่นรกอสุรา 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามอันตรายของระนาบเทวโลกในปีนั้น ด้วยด่านพลังฝึกปรือของเขตราชาเทพขั้นต่ำ บวกกับความเข้าใจในกฏและมรรคากระบี่ทำลายล้าง ปกติแล้วย่อมไม่กลัวราชาเทพขั้นกลางหน้าไหน และมั่นใจว่าสามารถเอาชนะกระทั่งเข่นฆ่าได้แน่
อย่างไรก็ตาม ราชาเทพขั้นกลางของเผ่าภูตเป็นอะไรที่ต่างออกไป
เพราะราชาเทพขั้นกลางของเผ่าภูต เดิมทีก็มีร่างเป็นวิญญาณอยู่แล้ว เช่นนั้นจึเชี่ยวชาญในการใช้ทักษะวิญญาณเป็นที่สุด ทำให้แม้แต่ฟงชิงหยางเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะจัดการกับราชาเทพขั้นกลางที่เป็นเผ่าภูตได้
ราชาเทพขั้นกลางที่เชี่ยวชาญการใช้ทักษะวิญญาณ การลงมือนั้นว่องไวรวดเร็วสุดต้านทาน และสามารถออกกระบวนท่าได้รวดเร็วกว่าการลงมือทางกายภาพแน่นอน
เป็นเพราะสาเหตุนี้เอง ฟงชิงหยางจึงเลือกที่จะมาซ่อนตัวอู่ในนรกอสุรา 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลก เพื่อหลบหนีการไล่ล่าของหมี่ซวน ทั้งยังบ่มเพาะเพิ่มพูนพลังฝีมือของตัวเอง! สำหรับนรกอสุราที่คนอื่นๆได้ยินก็หน้าถอดสี แตสำหรับฟงชิงหยางแล้ว สถานที่แห่งนี้เปรียบดั่งสวนหลังบ้านก็ไม่ปาน…
“ตราบใดที่ข้าทะลวงถึงราชาเทพขั้นกลาง ต่อให้หมี่ซวนนั่นมันจะเชี่ยวชาญทักษะวิญญาณแค่ไหน ก็ยากที่จะทำลายวิญญาณข้าในคราเดียว…แต่กระบี่ของข้าสมควรทรงพลังมากพอทำลายวิญญาณมัน!”
หลังพึมพำจบคำ ฟงชิงหยางก็หลับตาและบ่มเพาะพลังสืบต่อ
มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบัดนี้ศิษย์ของมัน ต้วนหลิงเทียน ไม่ได้อยู่ในระนาบเทวโลกอีกต่อไป อีกฝ่ายได้ฉีกเปิดช่องว่างในสมรภูมิอเวจีไปถึงระนาบบสมรภูมิ จวบจนเดินทางไปถึงดินแดนดาราพิศวง 1 ในระนาบเทพเป็นที่เรียบร้อย
อันที่จริงก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะออกเดินทาง เขาสามารถมาที่ใกล้ๆทางเข้านรกอสุราและส่งข้อความมาบอกอาจารย์เขาอย่างฟงชิงหยางได้ ว่าจะไประนาบเทพล่วงหน้า
สาเหตุที่ไม่ทำแบบนั้น เพราะไม่อยากให้ฟงชิหยางเป็นกังวล
อาจารย์ของเขาใจดีกับเขามาก แต่ทว่าความรู้ความเข้าใจไม่ใช่อะไรที่คนในครอบครัวเขาจะเทียบติด และเพราะได้รับสืบทอดมรดกจากผู้แข็งแกร่งที่สุด ย่อมเข้าใจในระนาบเทวโลกเป็นอย่างดี
…
แม้ว่าโลกแห่งความตาย จะเป็น 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามดุจเดียวกับนรกอสุรา แต่มันก็ไม่ได้มีความอันตรายเทียบเท่านรกอสุรา
มีจักรพรรดิอมตะที่ทรงพลังมากมาย เลือกจะเข้ามาเสี่ยงในโลกแห่งความตายเพื่อแสวงหาโชควาสนา
ในโลกแห่งความตายมีสิ่งมีชีวิตมากมายที่สามารถจับไปหลอมเป็นวิญญาณประจำอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ ทำให้กลายเป็นอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มีจิตวิญญาณสถิตย์
ด้วยเหตุนี้ทำให้ในโลกแห่งความตาย มักมีตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย
เผ่าพันธุ์ภูตนั้น เป็นเผาพันธุ์ที่มีกำลังรบระดับกลางๆในโลกแห่งความตาย
เพราะในเผ่าไม่เพียงแต่จะมีราชาเทพเท่านั้น แต่ยังมีราชาเทพมากกว่า 1
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันบรรากาศของเผ่าพันธุ์ภูตกลับเต็มไปด้วยความสลดหดหู่และเศร้าโศกเสียใจ ต่างจากความเจริญรุ่งเรืองในอดีตมาก
“หมี่ซวน เจ้าต้องตายอย่างน่าสังเวช! กระทั่งคนในเผ่าเจ้ายังกล้าทำร้าย ไม่ช้ก็เร็วเจ้าต้องตายไร้ที่ฝัง!!”
ร่างวิญญาณที่แลดูแก่ชราถูกร่างวิญญาณที่แลดูหนุ่มแน่นจับเอาไว้ จากนั้นอีกฝ่ายก็อ้าปากแล้วสูบกลืนมันไป…
“ท่านผู้เฒ่า…ต่อให้สักวันข้าต้องตายไร้ที่ฝัง แต่เจ้าก็ไม่โอกาสอยู่เห็นหรอก…”
ผู้ที่พึ่งกลืนกินร่างวิญญาณชราไปก็ไม่ใช่ใครอื่น มันคือหมี่ซวนอดีตผู้นำเผ่าพันธุ์ภูต!
ตั้งแต่ที่ฟงชิงหยางเดินทางมายังโลกแห่งความตาย และแจ้งเรื่องราวการละเมิดกฏของหมี่ซวนในโลกภายนอก หมี่ซวนก็ไม่เพียงแต่จะถูกเผ่าพันธุ์ภูตถอดถอนจากตำแหน่งผู้นำเท่านั้น แต่ยยังขับไล่หมี่ซวนออกจากเผ่าอีกด้วย
ในเวลานั้น ความคิดของหมี่ซวนก็ได้แปรเปลี่ยนไป…
หลังจากยึดร่างถังซานเป่านายน้อยแห่งวิหารเฟิงฮ่าวมา จนไปถูกต้วนหลิงเทียนทำลายที่สมรภูมิอเวจี หมี่ซวนที่ถอดวิญญาณหลบหนีมาได้อย่างฉิวเฉียด ในที่สุดร่างวิญญาณของมันก็ฟื้นฟูเต็มที่ จากนั้นมันก็เลือกที่จะชิงร่างอื่นและย้อนกลับไปเข่นฆ่าสังหารคนในเผ่าพันธุ์ภูตอย่างโหดเหี้ยม สูบกลืนพลังของอีกฝ่าย ทำให้ระดับพลังฝึกปรือของมันก้าวหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดด
หลังจากกลืนกินนักรบชราในเผ่า ไม่นานนักหมี่ซวนก็ทะลวงผ่านขอบเขตราชาเทพขั้นกลาง บรรลุถึงขอบเขตราชาเทพขั้นสูง…
‘ได้เวลาไปจากที่นี่แล้ว…’
หมี่ซวนส่ายหัวไปมา จากนั้นก็เร่งหายตัวไปจากจุดเดิมทันที
และแทบจะพร้อมๆกันกับที่หมี่ซวนหายไป คลื่นพลังวิญญาณทรงพลังชวนสยองขุมหนึ่งก็กวาดผ่านมายังบริเวณดังกล่าว
จากนั้นไม่ทันไร ร่างวิญญาณชรามากมายก็ปรากฏตัวขึ้น แต่ละร่างยังแลดูสั่นระริกคล้ายอารมณ์กำลังแปรปรวนไม่น้อย
“เดียรัจฉานหมี่ซวนนั่นมันหนีไปได้อีกแล้ว…หลังจากมันทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นสูง ค่ายกลโบราณที่ท่านบรรพชนรุ่นก่อนๆทิ้งไว้ มันยิ่งไม่เห็นอยู่ในสายตา…แถมคนในเผ่าเราก็มิอาจซ่อนตัวอยู่ในเผ่าได้ตลอดเวลา”
ชายชราคนหนึ่งกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน เห็นได้ชัดว่ามีโมโหนัก แต่ที่มากกว่าความโมโหก็คืออับจนหนทาง
ในเผ่าพันธุ์ภูตเคยเกิดภัยพิบัติใหญ่ขึ้นมาครั้งหนึ่ง ในปีนั้นปรากฏคนบ้าคลั่งขึ้น หลังจากยึดร่างผู้อื่นแล้ว ก็ย้อนกลับมากลืนกินเผ่าพันธุ์ภูตด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย เพิ่มพูนพลังฝึกปรือของตัวเองอย่างหิวกระหาย
ในปีนั้น เผาพันธุ์ภูตแทบจะถูกกำจัดไปหมดสิ้น
เป็นเพราะบทเรียนดังกล่าว บรรพบุรุษเผ่าพันธุ์ภูตจึงเชิญปรมาจารย์ค่ายกลจากภายนอกมาจัดตั้งค่ายกลสังหารทรงพลังอำนาจสะท้านฟ้า สามารถเข่นฆ่าคนของเผ่าภูตที่ชิงร่างผู้อื่นมาได้อย่างง่ายดาย ต่อให้ด่านพลังจะบรรลุถึงราชาเทพขั้นสูงก็หนีความตายไม่พ้น
อนิจจา ไม่มีใครเคยคิดกระทั่งหลบก็ยังไม่เคยฝัน ว่าวันหนึ่งคนที่ทรยศเผ่าพันธุ์ภูตจะเป็นถึงอดีตผู้นำเผ่า…
“เฮ่อ จักจับตัวมันได้อย่างไรกัน…หากมันเป็นคนทั่วไปในเผ่าก็คงไม่นับเป็นอะไร แต่ปัญหาคือมันเคยเป็นผู้นำ มันเองก็รู้จักค่ายกลโบราณนี่เป็นอย่างดี ยังรู้ช่องโหว่ของค่ายกล จนสามารถผ่านเข้าออกได้ราวบ้านตัวเอง”
ร่างวิญญาณชราอีกร่าง เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจนปัญญา
“ผู้ใดจะไปคิดกันเล่า…ว่าอดีตผู้นำเผ่าจักถลำลึกถึงเพียงนี้…”
“ตอนที่มันยังเป็นเพียงศิษย์ของอดีตผู้นำคนก่อน ผู้ใดดันเห็นดีเห็นงามเลือกจะแต่งตั้งมันให้เป็นว่าที่ผู้นำกัน? หากวันนั้นมันไม่ได้เป็นว่าที่ผู้นำ วันนี้มันก็ไม่มีทางคุ้นเคยกับค่ายกลโบราณที่ปกป้องอาณาเขตของเผ่าภูตเรา…จนตอนนี้พวกเราไม่มีปัญญาจะทำอะไรมันได้แล้ว”
“พอได้แล้ว! นี่มิใช่เวลาจะมาปัดความรับผิดชอบทั้งฟื้นฝอยหาตะเข็บอันใด ตอนนั้นผู้ใดจักไปรู้เล่าว่าเรื่องบัดซบพรรค์นี้มันจะเกิดขึ้น”
“เฮอะ อาวุโสหมี่ไฉ! ข้าจำได้ว่าในอดีตเป็นท่านที่ออกตัวแรง เลือกจะแต่งตั้งหมี่ซวนให้เป็นว่าที่ผู้นำมิใช่รึ?”
…
วิกฤตที่เผ่าพันธุ์ภูตต้องเผชิญอยู่ในตอนนี้ เรียกว่ามันรุนแรงถึงขั้นทำให้คนของเผ่าพันธุ์ภูตรู้สึกเสมือนความตายกำลังหายใจรดต้นคอ…
ถึงแม้ทางเผ่าจะสั่งห้ามไม่ให้ผู้คนออกจากบ้าน แต่บางคนก็ไม่อาจไม่ออกไป และสุดท้ายก็จากไปอย่างไม่หวนกลับมาอีกเลย…
ขณะเดียวกันระดับพลังฝึกปรือของหมี่ซวนที่เคยสูญเสียกายเนื้อไปก็ได้เพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมาก็ยิ่งใกล้จะถึงจุดรอคอยด่านพลังจอมราชันอมตะเต็มที
“ได้เวลาไปจากที่นี่สักพักเพื่อหลบภัย…จำได้ว่าแพะเฒ่าในเผ่ารู้จักยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันเทพคนหนึ่ง และดูเหมือนยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันเทพผู้นั้นจะเป็นหนี้บุญคุณแพะเฒ่านั่น ไม่แน่มันอาจใช้หนี้น้ำใจดังกล่าวเพื่อฆ่าข้า” หลังกลืนกินคนของเผ่าภูตอีกคน หมี่ซวนก็ตัดสินใจออกจากพื้นที่ใกล้ๆเผ่าภูต กระทั่งยังออกจากโลกแห่งความตายไปเลย..
และแทบจะพร้อมๆกันกับการจากไปของหมี่ซวน ก็ปรากฏกลิ่นอายพลังอันน่ากลัวขุมหนึ่งอุบัติขึ้นยังส่วนลึกของโลกแห่งความตาย ไม่นานขุมพลังดังกล่าวก็พุ่งข้ามผ่านฟ้า มุ่งหน้ามาทางเผ่าภูตภายใต้การนำพาของคนเผ่าภูตกลุ่มหนึ่ง
“ยินดีต้อนรับกลับขอรับท่านบรรพบุรุษ!”
“เผ่าพันธุ์ภูตยินดีต้อนรับใต้เท้าจอมราชันเทพ!!”
…
เหล่าคนของเผ่าพันธุ์ภูตที่ออกมาต้อนรับกลางอากาศ พอเห็นร่างผู้มาใหม่ ก็เร่งกล่าวคำคารวะทักทายอย่างเคารพทันที
และตัวตนผู้มาใหม่ หนึ่งในนั้นที่มีร่างเป็นวิญญาณก็คือบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ภูตที่พึ่งเดินทางออกไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ส่วนที่ติดตามมานั้น ก็เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันเทพคนหนึ่ง! ซึ่งบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ภูตก็ได้ไปเชิญมันออกมาจากเขาลึก!!
ยังดีที่หมี่ซวนที่เร่งรีบจากไปแต่แรกไม่ทันอยู่เห็นฉากนี้ ไม่งั้นคงต้องดีใจปานลิงโลดแน่
วิกฤตของเผ่าพันธุ์ภูตยังคงมีอยู่ไม่ได้หายไปไหน อนิจจายอดฝีมือขอบเขตจอมราชันเทพนั่นก็ไม่อาจอยู่เฝ้าคุ้มครองเผ่าภูตได้ตลอด หลังเฝ้าระวังที่เผ่าภูตอยู่ไม่กี่วันมันก็กลับไป
และไม่กี่เดือนต่อมา หมี่ซวนก็ปรากฏตัวขึ้นใกล้ๆเขตเผ่าภูตอีกครั้ง และก็ได้สังหารกลืนกินของของเผ่าภูตไปเป็นจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน มันก็ได้รับทราบการมาของตัวตนขอบเขตจอมราชันเทพจากคนที่เข่นฆ่าไปเช่นกัน ทำให้มันตกใจทั้งหวาดกลัวจนเหงื่อแตกพลั่ก
“ฟังจากวันที่ยอดฝีมือนั่นมาถึง…ช่างเฉียดฉิวยิ่งนัก! ข้าเกือบตายโดยไม่รู้ตัวแล้ว! อย่างไรก็ตาม กระทั่งฟ้ายังเป็นใจให้ข้าหมี่ซวนรอดพ้นจากภัยพิบัติ เช่นนั้นวันหน้าข้า หมี่ซวน ก็ถูกลิขิตให้ทะยานฟ้าแล้ว”
“แต่ไอ้แก่นั่นมันกล้าดีอย่างไรถึงได้คิดสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องชาวบ้าน…รอให้ข้าบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพก่อนเถอะ ข้าจะไปฆ่าล้างตระกูลมันให้สิ้นซาก! และขอเพียงข้าทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพ แม้จะเป็นจอมราชันเทพขั้นต่ำ ต่อให้สู้มันไม่ได้ มันก็ไม่มีวันทำอะไรข้าได้เช่นกัน!”
หลังจากตกใจกลัว หมี่ซวนที่กลับมาครองสติ สองตาของมันก็เริ่มเผยประกายเยียบเย็น
หลังจากนั้น หมี่ซวนก็รั้งอยู่ในโลกแห่งความตายระยะหนึ่ง ก่อนที่จะจากไประยะหนึ่ง วนเวียนอยู่เช่นนี้บ่อยครั้ง
ด้านจอมราชันเทพที่บรรพบุรุษเผ่าภูตไปเชิญมา ก็เทียวไปเทียวมาอยู่หลายรอบ จนสุดท้ายมันก็คร้านจะมาอีกต่อไป…
เพราะทุกครั้งที่มาก็ไม่พบเจออะไร
ยิ่งไปกว่านั้น มันไหนเลยเป็นตัวโง่งม ยังไม่รู้หรือไรว่าการผงาดขึ้นของหมี่ซวนนั้น เป็นอะไรที่ยากหยุดยั้งแล้ว ทำให้มันไม่อยากเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ภูตอีกต่อไป…หาไม่แล้วพอถึงวันที่หมี่ซวนทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขึ้นมา แม้ตัวมันเองจะไม่กลัว แต่ถึงตอนนั้นจะไม่มีใครในตระกูลมันรับมือหมี่ซวนได้เลย…
ทันใดนั้น เผ่าพันธุ์ภูตก็ตกอยู่ในความสิ้นหวัง
…
เรื่องที่หมี่ซวนกำลังจะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพ ไม่ว่าจะฟงชิงหยางก็ดี ต้วนหลิงเทียนก็ดี ย่อมไม่มีใครล่วงรู้เลย
ฟงชิงหยางนั้นยังบ่มเพาะฝึกฝนอยู่ในนรกอสุรา หมายทะลวงให้ถึงขอบเขตราชาเทพขั้นกลางโดยเร็ว
ส่วนอีกด้าน ต้วนหลิงเทียนที่บ่มเพาะฝึกฝนอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับของดินแดนดาราพิศวง ก็รอคอยการมาถึงของวันทดสอบประเมินศิษย์หลัก
วันเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียว วันทดสอบประเมินศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับก็มาถึง
ด้านต้วนหลิงเทียนที่บ่มเพาะฝึกฝนมาตลอด ในที่สุดก็ออกจากที่พัก หลังผ่านไปอีกไม่กี่เดือน ต้วนหลิงเทียนที่ดูดซับพลังของโอสถเสริมโชคอันได้จากการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์แล้วเสร็จ ก็ได้บ่มเพาะพลังสืบต่อ จนด่านพลังใกล้ถึงขอบราชาเทพมากขึ้นเรื่อยๆ
กล่าวได้ว่าห่างจากจุดรอคอยขอบเขตราชาเทพไม่ไกลแล้ว…