นี่นับเป็นครั้งที่ 2 ที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอถูเฟิง
หน้าตาถูเฟิงยังคงเหมือนเดิม
แววตาของต้วนหลิงเทียนยังคงฉายประกายเยียบเย็น หากแต่มุมปากเริ่มขดยิ้มแสยะ “ถูเฟิง เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าถูกคัดออก?”
“อาจเป็นข้าที่ผ่านการทดสอบแล้วกลับออกมาก็ได้ไม่ใช่รึ?”
ต้วนหลิงเทียนลอยร่างกลางหาว 2 มือไพร่หลัง มองจ้องไปยังถูเฟิงที่อยู่ไกลๆ บัดนี้ความเยียบเย็นในแววตาเขาได้หายไปแล้ว แทนที่ด้วยความหยอกล้อแทน
”ผ่านการทดสอบ?”
พอได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวดังนั้น ไม่ว่าถูเฟิงก็ดีหรือเหล่าศิษย์ที่มารอชมผลการทดสอบก็ดี ต่างหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาแปลกๆทันที
ต้วนหลิงเทียนผ่านการทดสอบ?
“น่าขัน!”
ถูเฟิงระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น จากนั้นก็กล่าวคำเย้ยหยันออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความแดกดัน “ต้วนหลิงเทียน ในความคิดข้า เจ้ามันเลอะเลือนสิ้นดีที่กล่าวอ้างว่าผ่านการทดสอบแล้ว! เจ้าพึ่งจะเข้าไปโถงทดสอบได้นานเท่าไหร่กัน แต่เจ้ายังมีหน้าพูดออกมาได้ว่าผ่านการทดสอบแล้ว?”
“ต่อให้เป็นบททดสอบที่ง่ายที่สุด ก็ยังไม่มีผู้ใดเคยผ่านด้วยเวลาอันสั้นเช่นนี้!”
“กระทั่งอาวุโสเชวียไห่ชวนเมื่อ 10,000 ปีก่อน ยังต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวันกว่าจะผ่านการทดสอบ อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บไม่น้อย…แต่ดูเจ้าเถอะ ยังอยู่ดีแม้แต่เสื้อก็ไร้รอยยับ กอปรกับเรื่องที่เจ้าออกมาอย่างรวดเร็ว เจ้ายังมีหน้ามาบอกว่าเจ้าผ่านการทดสอบ?”
“เจ้าคิดว่าข้าถูเฟิงเป็นเด็ก 3 ขวบรึไร?”
ดวงตาถูเฟิงเต็มไปด้วยความดูแคลนรังเกียจ
และด้วยคำพูดให้เหตุผลดังกล่าวของถูเฟิง สายตาของผู้คนโดยรอบที่มองต้วนหลิงเทียนอยู่ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง “เรื่องที่ถูเฟิงพูดมา…ดูเหมือนว่าจักมีเหตุผล”
“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่มันรู้ตัวดีว่าดันทุรังไปก็ไม่มีทางผ่าน จึงเลือกจะยอมแพ้แล้วออกมาก่อนเวลา?”
“ไม่ใช่มันมั่นใจนักมั่นใจหนาหรือว่าจะผ่านการทดสอบ…หนีออกมาก่อนเช่นนั้น จะไม่น่าขายหน้าไปหน่อยรึ?”
“ผู้ใดจะไปรู้ล่ะ?”
…
ยิ่งมาสายตาของผู้คนที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งเต็มไปด้วยความคลางแคลง
นั่นเพราะต้วนหลิงเทียนออกมาเร็วเกินไป
ไม่ใช่ว่าพวกมันจะไม่เชื่อว่าต้วนหลิงเทียนมีโอกาสผ่านการทดสอบ เพราะถ้าพวกมันไม่เชื่อเลย เช่นนั้นคงไม่มาปรากฏตัวที่นี่แต่แรก เหตุผลที่พวกมันแห่กันมา ด้วยเพราะอยากชมดูว่าจะเกิดปาฏิหาริย์อะไรหรือไม่
แต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลับออกมาเร็วเกินไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่พวกมันจะเชื่อได้ลงคอว่าต้วนหลิงเทียนผ่านการทดสอบแล้ว
“ไอ้โง่!”
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ต้วนหลิงเทียนมองไปยังถูเฟิงพลางสบถคำออกมา 2 คำสั้นๆ
ฉากเรื่องราวกลับกลายเป็นเงียบงันทันใด
ไม่มีใครคิดฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะหาญกล้าด่าถูเฟิงต่อหน้าผู้คนแบบนี้
ต้องทราบด้วยว่านี่นับเป็นการหมิ่นหยามผู้อื่นอย่างแรง
“ฮ่าๆๆๆ…!!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังอึ้งกับคำก่นด่าถูเฟิงว่า ‘ไอ้โง่’ ของต้วนหลิงเทียน ถูเฟิงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงกลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ฉากนี้ช่างแลดูพิกลนัก
แต่หลังจากนั้นไม่นานถูเฟิงก็หยุดหัวเราะ จากนั้นมันก็มองจ้องไปทางต้วนหลิงเทียนตาขวาง กล่าวคำออกมาเสียงหนัก “ต้วนหลิงเทียน ข้าเจ้าเราล้วนเป็นศิษย์สายใน เจ้าถึงกับกล้าด่าข้าต่อหน้าผู้คนให้ข้าอับอาย เช่นนั้นตามกฏของนิกายแล้ว หากข้าท้าเจ้าไปประลองที่แท่นยอดยุทธ์เพื่อกู้หน้า เจ้าก็ไม่อาจปฏิเสธข้าได้!”
“เช่นนั้น ข้า ถูเฟิง ขอท้าเจ้าไปประลองยังแท่นยอดยุทธ์ตอนนี้!”
“ทุกอย่าง ล้วนเป็นไปตามกฏของแท่นยอดยุทธ์”
“ภายใน 10 ลมหายใจ เจ้าไม่มีสิทธิ์ยอมแพ้”
“ข้าเพียงสงสัย…ว่าเจ้า ต้วนหลิงเทียน จักมีปัญญาเอาตัวรอดใต้เงื้อมมือข้าถูเฟิง 10 ลมหายใจหรือไม่!”
ในแววตาของถูเฟิงตอนนี้ฉายชัดถึงความคลั่งแค้น
เดิมทีมันก็คิดว่าจะหาทางล่อต้วนหลิงเทียนไปนอกนิกายหมอกเร้นลับ จากนั้นค่อยฆ่าต้วนหลิงเทียนทิ้งด้านนอกอยู่เลย…
แต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลับทำให้มันอับอายลางที่สาธารณะ เช่นนั้นทำให้มันมีโอกาสท้าสู้ต้วนหลิงเทียนเพื่อทวงศักดิ์ศรีตามกฏของนิกาย!
และในแท่นยอดยุทธ์ ภายในเวลา 10 ลมหายใจ ไม่มีใครสามารถกล่าวคำยอมแพ้ได้
ถึงแม้พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนจะไม่ใช่ชั่วเลยในฐานะเทพขั้นสูง แต่มันเชื่อมั่นว่าสามารถฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายใน 10 ลมหายใจได้แน่นอน!
“โฮ่? มีกฏอะไรแบบนี้ด้วยรึ?”
ทันใดนั้นท่ามกลางสายตาทุกคน ต้วนหลิงเทียนพลันขมวดคิ้ว จากนั้นก็หันไปมองถูเฟิงพลางกล่าวเย้ยเยาะ “ถูเฟิง เจ้าคงไม่ได้สร้างกฏนี้ขึ้นมาเองกระมัง หากนิกายไม่มีกฏอย่างที่เจ้าพูดจริง เช่นนั้นเจ้าก็ถือว่ากระทำผิดร้ายแรง!”
พอทุกคนได้ยินคำแย้งของต้วนหลิงเทียน ทั้งหมดก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา
เพราะพวกมันทั้งหมดรู้ดีว่านิกายมีกฏนี้อยู่จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังถูกเขียนเอาไว้ในคู่มือศิษย์สายในด้วย ทำให้มีศิษย์สายในบางคนอุทานถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ “เฮ่ พวกเจ้าว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ต้วนหลิงเทียนยังไม่ได้อ่านคู่มือศิษย์สายใน?”
ส่วนด้านถูเฟิงนั้น หลังได้ยินคำแย้งของต้วนหลิงเทียน มันก็คลี่ยิ้มร่าออกมา “ข้าถูเฟิง แน่นอนว่าไม่กล้าปลอมแปลงกฏของนิกาย!”
“หากเจ้าไม่เชื่อ ก็ลองถามทุกคนที่นี่ดู!”
หลังถูเฟิงกล่าวจบคำ ก็มีศิษย์สายในบางคนที่หวังดีต่อต้วนหลิงเทียน กล่าวปรามต้วนหลิงเทียนว่า “ต้วนหลิงเทียน ในนิกายเรามีกฏเช่นนี้อยู่จริงๆ เจ้ารีบขอโทษศิษย์พี่ถูเฟิง และขอให้ศิษย์พี่ถูเฟิงยกโทษให้เถอะ”
“ฮ่าๆๆ ได้ยินแล้วหรือไม่? และถ้าหากเจ้าอยากให้ข้ายกโทษให้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้…”
ถูเฟิงมองต้วนหลิงเทียนด้วประกายตาเรืองวูบ จากนั้นก็หยีตากล่าวว่า “ขอเพียงเจ้าคุกเข่าลง เลียรองเท้าข้าให้สะอาด จากนั้นก็คลานลอดหว่างขาข้า…เช่นนั้นข้าจะยกโทษให้เจ้า!”
พอถูเฟิงกล่าววาจาจบคำ ทุกคนก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศหน้าโถงทดสอบเริ่มคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นดินปืนทันที
ทันทีที่ถูเฟิงกล่าวประโยคนี้ออกมา ทุกคนก็รู้ดีว่าถูเฟิงไม่คิดปล่อยต้วนหลิงเทียนไป
“ในเมื่อเจ้ามันรนหาที่ตายนัก ข้าจะสงเคราะห์ให้”
ท่ามกลางสายตาสงสารของทุกคน ต้วนหลิงเทียนที่เหลือบมองไปทางถูเฟิงก็เปิดปากกล่าวคำออกมาด้วยสีหน้าท่าทีไร้แยแส ราวกับกำลังมองคนตาย
“รนหาที่ตาย ข้าน่ะรึ?”
ถูเฟิงถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ฉีกยิ้มกว้าง “ต้วนหลิงเทียน นี่เจ้ากลัวจนสติเลอะเลือนไปแล้วหรือไร? แม้พลังฝีมือเจ้าจะร้ายกาจ แต่หากเจ้าคิดจะฆ่าข้าถูเฟิง ขออภัย เจ้ายังไม่มีความสามารถพอ!”
“อาศัยเทพขั้นสูงตัวกระจ้อยเจ้า คิดฆ่าราชาเทพขั้นต่ำเช่นข้า เจ้าฝันอยู่หรือ?”
“ต่อให้ความเข้าใจในกฏของข้าจะสู้เจ้าไม่ได้ แต่อาศัยความต่างของระดับบ่มเพาะ ก็มากพอให้ข้าบดขยี้เจ้าเป็นผง!”
เห็นได้ชัดว่าถูเฟิงมั่นใจในตัวเองมาก
“ข้าจะไปรอที่แท่นยอดยุทธ์”
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืดอะไรอีก หลังกล่าวคำทิ้งท้าจบคำ ร่างเขาก็วูบหายไปทันที พอปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่ระหว่างทางไปแท่นยอดยุทธ์แล้ว
“ในเมื่อเจ้าแส่หาที่ตายนัก ข้าก็จะให้เจ้าสมหวัง!”
มุมปากถูเฟิงยกยิ้มแสยะขึ้นมาอย่างเหี้ยมเกรียม จากนั้นร่างมันก็ไหววูบ ก่อนจะพุ่งตามไปด้วยความเร็วสูง
ครู่ต่อมา เหล่าศิษย์ที่มารวมตัวกันหน้าโถงทดสอบ ก็เร่งรุดติดตามไปเช่นกัน
เหตุผลที่พวกมันมาที่นี่วันนี้ทั้งหมดเพราะต้วนหลิงเทียน
พวกมันอยากรู้ว่า ต้วนหลิงเทียนจะสามารถเป็นศิษย์หลักขอบเขตเทพคนแรกในรอบหมื่นปีของนิกายหมอกเร้นลับได้หรือไม่ และหากต้วนหลิงเทียนทำได้จริงๆ พวกมันก็จะได้เป็นสักขีพยานในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์
สำหรับพวกมันแล้ว นี่คือสิ่งที่สามารถนำไปคุยอวดได้ชั่วชีวิต
แต่ตอนนี้ ต้วนหลิงเทียน ที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ดูเหมือนจะถอนตัวออกจากการทดสอบก่อนกำหนด แถมจะไปสู้กับถูเฟิงที่แท่นยอดยุทธ์อีก เช่นนั้นพวกมันย่อมไม่คิดเสียเวลาอยู่ที่นี่สืบไป
“ฉือถงหมิง เจ้าจะไปดูไหม?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินอันถือกระบี่พร้อมฝัก หันไปมองถามชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่บนแผ่นศิลาลอยฟ้า
ฝ่ายหลังไม่ได้ตอบคำถามอะไร เพียงควบคุมแท่นศิลาลอยฟ้าให้มุ่งหน้าไปยังแท่นยอดยุทธ์ทันที
“ฮ่าๆๆ…หลินอี่เจี้ยน ฉือถงหมิงมันปากหนักแค่ไหนหรือเจ้าไม่รู้ จะไปเสียเวลาถามมันทำอะไร?”
ห่างออกไปไม่ไกลนัก ชาหนุ่มอีกคนที่เห็นฉากดังกล่าวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา จากนั้นก็หันไปพูดกับชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงิน
“ไปกันเถอะ! รีบไปชมดู…ข้าเองก็อยากรู้นัก ว่าต้วนหลิงเทียนนั่นมันเอาความกล้ามาจากไหนถึงกล้าขึ้นแท่นยอดยุทธ์กับถูเฟิงที่เป็นราชาเทพขั้นต่ำ”
ชายหนุ่มที่กล่าวคำกับหลินอี่เจี้ยนนั้นก็เป็นศิษย์หลักเช่นเดียวกับหลินอี่เจี้ยนและฉือถงหมิง มันเองก็มาที่นี่เพื่อร่วมชมความครื้นเครงเช่นกัน
…
แท่นยอดยุทธ์ ก็ยังคงลอยเด่นกลางนภาอย่างเงียบงัน
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า เหินร่างลงไปหยุดยืนบนสังเวียนใหญ่ที่อยู่ตรงกลางอีกครั้ง
ในอดีตฉีอวี่เองก็จบชีวิตลงภายใต้เงื้อมมือต้วนหลิงเทียนบันสังเวียนแห่งนี้
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียน ถูเฟิง และกลุ่มศิษย์สายในมากมายมาถึง ศิษย์สายในและศิษย์สายนอกที่มารวมตัวกันยังจัตุรัสกลางด้านล่างแท่นยอดยุทธ์ ก็สังเกตเห็นเรื่องราวบนฟ้า และบังเกิดความสนใจขึ้นมาทันที
ผู้ที่กำลังคุยกันอยู่ ก็หยุดคุยและพากันแหงนมองขึ้นฟ้าด้วยความสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นกัน?”
“มีเรื่องอะไรกันหรือ? ไฉนมีผู้คนมาแท่นยอดยุทธ์เต็มไปหมดเลยล่ะ?”
…
เดิมทีผู้คนในจัตุรัสกลางด้านล่างแท่นยอดยุทธ์ก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามพอเห็นว่ามีร่างในชุดสีม่วงหนึ่งเหาะไปหยุดลงบนสังเวียนใหญ่กลางแท่นยอดยุทธ์ พวกมันก็ตระหนักได้ว่ากำลังจะมีคนตีกัน
“ช้าก่อน! ชายหนุ่มชุดม่วงคนนั้น ไม่ใช่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนหรือไร? วันนี้ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนสมควรเข้าร่วมการทดสอบประเมินศิษย์หลักหรอกรึ? ไฉนถึงมาแท่นยอดยุทธ์ได้ล่ะ?”
“เป็นศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจริงๆด้วย”
…
ในปัจจุบัน ต้วนหลิงเทียนนั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในนิกายหมอกเร้นลับ หลังจากเข่นฆ่าฉีอวี่ครั้งก่อน ก็มีผู้คนไม่น้อยที่จดจำเขาได้ทันที
และพวกมันก็เป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งก่อนเช่นกัน
“นั่นมัน…ศิษย์พี่ถูเฟิงไม่ใช่รึ!?”
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ศิษย์พี่ถูเฟิงไม่ใช่เป็นราชาเทพขั้นต่ำหรือไร? ไฉนถึงมาสู้กับศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนได้ล่ะ?”
…
ในขณะที่เหล่าศิษย์สายในและสายนอกหลาคนกำลังงุนงงกับเรื่องราว ก็มีศิษย์สายในบางคนที่เหาะตามมาจากโถงทดสอบกล่าวเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหน้าโถงทดสอบให้ฟัง
“หา! ศิษย์พี่ต้วนถึงกับด่านศิษย์พี่ถูเฟิงว่า ‘ไอ้โง่’ ต่อหน้าผู้คนเชียวรึ?! เช่นนั้นศิษย์พี่ถูเฟิงก็เลยท้ามาประลองที่แท่นยอดยุทธ์เพื่อกู้หน้า?”
“สวรรค์! ศิษย์พี่ต้วนจะไม่วู่วามเกินไปหน่อยรึไง ใครๆก็รู้ว่าศิษย์พี่ถูเฟิงเป็นถึงราชาเทพขั้นต่ำแล้ว!”
“เหอะๆ เทพขั้นสูงประมือกับราชาเทพขั้นต่ำ? ต่อให้ฝ่ายแรกจะมีความเข้าใจในกฏเหนือกว่า แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะฝ่ายหลัง ช่องว่างของระดับบ่มเพาะมันกว้างเกินไป แถมนี่ยังเป็นการสู้ข้ามขอบเขตใหญ่เลยด้วย”
…
เรียกว่าไม่มีใครมองโลกในแง่ดีสำหรับต้วนหลิงเทียนเลย
“ต้วนหลิงเทียน นี่เจ้าคิดจะทำอะไรของเจ้ากัน?!”
ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งที่พึ่งปรากฏตัวขึ้นก็ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมาก เป็นถังอู๋เยียน โฉมงามอันดับ 1 แห่งนิกายหมอกเร้นลับ
วันนี้นางมาในชุดกระโปรงยาวสีม่วงอ่อน ร่างบางแลดูสะโอดสะองค์ขับเน้นสัดส่วนแต่กลับไม่ขาดความสง่างาม ปานเทพธิดาบุปผาม่วง เพียงผู้ใดได้ลโฉมสักครากากจะละสายตาออกไปจากนางได้
“ถูเฟิง เดิมทีก็มีเรื่องกับเจ้าอยู่แล้ว…ไฉนเจ้าถึงไปบ้าจี้ขึ้นแท่นยอดยุทธ์กับมันได้!?”
“เจ้ารีบลงมาเร็วเข้า!”
“ตอนนี้ข้าเรียกปู่เล็กมาแลว เจ้ารีบออกจากสังเวียนก่อน รอให้ท่านปู่เล็กมาถึง ข้าจะช่วเจ้าสะสางเรื่องราวเอง”
“พอถึงตอนนั้น เจ้าก็แค่ยอมก้มหัวขอขมาถูเฟิงมันเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องละทิ้งชีวิตเพราะศักดิ์ศรี!”
ถังอู๋เยียนพอมาถึงก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังไปถึงต้วนหลิงเทียนเป็นชุด
นางเองก็พึ่งได้รับแจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นหน้าโถงทดสอบ ก็เลยเร่งรุดมาที่นี่ทันที
นางเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไม แต่หลังได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนมีปากเสียงกับถูเฟิง นางก็เร่งรุดมาที่นี่ทันที ตลอดทางก็มีเพียงความคิดเดียวในหัวเท่านั้น…หยุดต้วนหลิงเทียนไม่ให้สู้กับถูเฟิง!
ขณะเดียวกันนางก็รีบส่งข้อความไปหาปู่เล็ก ซึ่งก็คืออาวุโสฝ่ายในคนหนึ่งของนิกายหมอกเร้นลับ ถังชุน