ถังอู๋เยียนส่งเสียงผ่านพลังมาเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวต้วนหลิงเทียนเป็นชุด
  ฟังจากคำพูดผ่านพลังของนาง เห็นได้ชัดว่านางล่วงรู่เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว
  “พอท่านปู่เล็กของข้ามาถึง อย่างไรถูเฟิงก็ต้องไว้หน้าท่านปู่เล็กของข้า”
  ถังอู๋เยียนยังคงกล่าวผ่านพลังสืบต่อ
  “ไม่จำเป็น”
  ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ถึงท่าทีของถังอู๋เยียนที่ต่างไปจากเดิม ด้วยเหตุนี้เขาจึงระวังตัวไม่น้อย “เรื่องนี้เจ้าอย่ายุ่งดีกว่า”
  “ข้าจัดการเองได้”
  ต้วนหลิงเทียนกล่าวปฏิเสธความหวังดีของถังอู๋เยียนตรงๆ
  “จัดการเอง? เจ้าจะไปทำอะไรได้?”
  ถังอู๋เยียนขมวดคิ้ว ค่อยกล่าวต่อ “เจ้าเป็นแค่เทพขั้นสูง แต่มันเป็นถึงราชาเทพขั้นต่ำ ต่อให้เจ้าจะเข้าใจกฏเหนือกว่ามัน แต่ก็ยากที่เจ้าจะต่อกรกับมันได้”
  “เรื่องของข้า ไม่รบกวนให้เจ้ากังวล”
  เมื่อต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังตอบมาอีกครั้ง น้ำเสียงยังเย็นชาทั้งตัดรอน คล้ายไม่แยแสนางแม้แต่นิดเดียว
  จังหวะนี้ถึงอู๋เยียนถึงกับอึ้งไปทันที
  ท่าทีของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ ทำราวกับจงใจผลักไสนางออกไป
  ไฉนอยู่ๆถึงเป็นแบบนี้
  ผลักไสนางทำอะไร?
  ทำไมต้องกันนางออกจากเรื่องนี้ด้วย?
  หรือเพราะกลัวนางจะพลอยมีเรื่องกับถูเฟิงไปด้วย?
  พอคิดถึงุจดนี้ ถังอู๋เยียนพลันรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาทันที
  ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่ทราบว่าถังอู๋เยียนคิดอะไรอยู่ มิฉะนั้นเขาคงหมดคำจะพูดจริงๆ เพราะเขาไม่ได้หมายความอย่างที่นางคิดแม้แต่นิดเดียว เหตุผลที่ไฉนเขาชักท่าทีเย็นชาแถมผลักไสนาง เพราะเขาพบว่าท่าทีของถังอู๋เยียนที่มีต่อเขามันเปลี่ยนไป
  หากเขาโสด บางทีเรื่องนี้อาจทำให้เขามีความสุข ถึงแม้เขาจะไม่ได้ชอบถังอู๋เยียนก็ตาม
  สุดท้ายถังอู๋เยียนก็เป็นโฉมงามอันดับ 1 ของนิกายหมอกเร้นลับ การที่นางมาชอบเขา สำหรับผู้ชายคนหนึ่งนี่นับว่าได้หน้าไม่น้อย
  เป็นธรรมดาว่าเขารู้ดีว่าตอนนี้ถังอู๋เยียนยังไม่ได้ชอบพออะไรเขามากนัก
  หากท่วากลับเริ่ม ‘ส่อแวว’ แล้ว
  ทำให้เขาคิดบีบคอทารกให้ตายตั้งแต่อยู่ในเปล ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม ไม่ให้ถังอู๋เยียนเพ้อฝันอะไรไปไกล
  “ต้วนหลิงเทียน ถูเฟิง พวกเจ้าคิดประลองกันบนแท่นยอดยุทธ์หรือ?”
  ตอนนี้เอง อาวุโสฝ่ายใน 2 คนของนิกายหมอกเร้นลับที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลแท่นยอดยุทธ์ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น และพวกมันก็ไม่ใช่อาวุโสฝ่ายใน 2 คนก่อนตอนที่ต้วนหลิงเทียนประลองกับฉีอวี่ เพราะอาวุโสฝ่ายในนั้นจะผลัดกันรับหน้าที่ตามสถานที่ต่างๆ
  “ผู้อาวุโสทั้ง 2 ท่าน ขอพวกท่านเป็นพยานด้วย…กฏการประลองบนแท่นยอดยุทธ์ ไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้หลังเริ่มประลองได้ 10 ลมหายใจ ขอให้พวกท่านรักษากฏนี้ให้ดี”
  ถูเฟิงเร่งหันไปมองอาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 ที่พึ่งปรากฏตัวขึ้นมาทันที ยังกล่าวพลางแสยะยิ้มสืบต่อว่า “หากยังผ่านไปไม่ครบ 10 ลมหายใจ ต่อให้มันจะกล่าวคำยอมแพ้จนคอแตกตาย พวกท่านก็ไม่อาจสอดมือเข้ามายุ่งได้…”
  “หากว่าอาวุโสทั้ง 2 ละเมิดกฏข้อนี้…ข้าเกรงว่าคงต้องให้ท่านอาจารย์ของข้าไปตรวจสอบวินัยของอาวุโสทั้ง 2 ท่านแล้ว”
  คำว่า ‘วินัย’ ขณะกล่าว ถูเฟิงยังจงใจเน้นเสียงหนักเป็นพิเศษ
  ด้านอาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 พอได้ยินถูเฟิงกล่าวเช่นนี้ ในใจของพวกมันก็บังเกิดความไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ภายนอกยังแลดูปกติไม่แสดงท่าทีใด “ขอศิษย์หลานถูเฟิงวางใจ พวกเราย่อมรู้กฏและหน้าที่ดี ไม่มีปัญหาแน่”
  “มิผิด พวกเราย่อมไม่คิดลำเอียงเข้าข้างผู้ใด”
  ทั้ง 2 กล่าวคำเป็นมั่นเหมาะ
  “เช่นนั้นก็ดี”
  ถูเฟิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นมันก็เหินร่างลงไปยังสังเวียนใหญ่เพื่อเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน สองตายังฉายประกายเยียบเย็นขึ้นมาโดยพลัน “ต้วนหลิงเทียน ข้าต้องขอชื่นชมความกล้าหาญของเจ้าจริงๆ…แต่การต่อสู้วันนี้เจ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะเจ้ากล้าด่าข้าต่อหน้าผู้คนจนทำให้ข้าอับอาย!”
  ทันทีที่อาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 ที่รับผิดชอบดูแลเรื่องราวของแท่นยอดยุทธ์ได้ยินคำพูดของถูเฟิง พวกมันก็ตระหนักได้ทันทีว่าที่แท้เป็นเรื่องอะไร
  ปรากฏว่าต้วนหลิงเทียนไปหยามหมิ่นถูเฟิงให้อับอายขายหน้าท่ามกลางสาธารณชน จึงถูกถูเฟิงท้าประลองบนแท่นยอดยุทธ์เพื่อกู้หน้าตามกฏนิกาย
  เดิมทีพวกมันก็สงสัยอยู่แล้วเชียว ว่าต้วนหลิงเทียนที่ยังเป็นแค่เทพขั้นสูง ไฉนถึงได้หาญกล้าสู้กับราชาเทพขั้นต่ำอย่างถูเฟิงบนแท่นยอดยุทธ์ได้
  หากเรื่องราวเป็นเช่นนั้น ทุกอย่างก็กระจ่าง
  “ศิษย์หลานถูเฟิง!
  ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น ต่อจากนั้นก็ปรากฏร่างชราหนึ่งขึ้นในสายตาทุกคน
  ไม่ใช่ใครอื่น เป็นถังชุน
  ถังชุน หรือก็คือปู่เล็กของถังอู๋เยียน ที่นางส่งข้อความไปเรียกมา
  อันที่จริงจนถึงตอนนี้ถังชุนเองก็สงสัยไม่หายว่าไฉนอยู่ดีๆต้วนหลิงเทียนถึงขึ้นแท่นยอดยุทธ์กับถูเฟิงได้ เช่นนั้นสิ่งแรกที่มันทำหลังมาถึงก็คือแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบระดับพลังบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียน
  เนื่องเพราะมันคิดว่าต้วนหลิงเทียนได้ทะลวงด่านพลัง จนบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำแล้ว ถึงได้หาญกล้าประลองกับถูเฟิงที่นี
  อย่างไรก็ตามหลังสำนึกเทวะของมันกวาดผ่านร่างต้วนหลิงเทียน จากแรงต้านทานของพลังวิญญาณ มันก็พบว่าระดับบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนยังเป็นแค่เทพขั้นสูงเท่านั้น ไม่ได้ทะลวงถึงราชาเทพแต่อย่างไร
  จากนั้นมันก็เร่งปรากฏตัวออกมา หมายหยุดการประลองครั้งนี้ “ข้าเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวแล้ว…ครั้งนี้เจ้าเห็นแก่หน้าของข้า ถังชุน สักครั้งได้หรือไม่?”
  “ข้าจักให้ต้วนหลิงเทียนขอขมาลาโทษต่อเจ้า”
  ทันทีที่ถังชุนปรากฏตัว มันก็เร่งเจรจากับถูเฟิงทันที เพราะมันรู้ดีว่ากุญแจสำคัญของเรื่องราววันนี้อยู่ที่ถูเฟิง หากถูเฟิงยินดีล้มเลิกการประลอง การต่อสู้ครั้งนี้ก็สามารถหลีกเลี่ยงได้
  ถังชุนนั้น ในหมู่อาวุโสฝ่ายในก็นับว่าแข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆ
  หากเป็นสถานการณ์ปกติ ถูเฟิง ก็คงไว้หน้าถังชุนอยู่หรอก
  แต่วันนี้พอดีคู้ต่อสู้ของมันถูเฟิง กลับเป็น ต้วนหลิงเทียน!
  ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่แค่คนที่มันตั้งเป้าว่าจะฆ่าให้จงได้เท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่อาจารย์ของมันก็สั่งให้ฆ่าเช่นกัน เช่นนั้นเมื่อมีโอกาสดีงามมาถึงมันจะพลาดฆ่าต้วนหลิงเทียนครั้งนี้ได้อย่างไร?
  “อาวุโสถังชุน ข้าให้โอกาสมันขอขมาแก่ข้าแล้ว แต่มันกลับไม่ยอมรับ”
  ถูเฟิงหันไปมองกล่าวกับถังชุนเสียงเรียบ “เช่นนั้นท่านก็อย่าได้โทษข้าว่าไม่ไว้หน้าท่านเลย”
  “แต่แน่นอนว่าหากท่านอยากให้ข้าหยุดจริงๆ…เช่นนั้นท่านก็ขอให้อาจารย์ส่งข้อความถึงข้าเถอะ ขอเพียงท่านอาจารย์ส่งข้อความมาบอกกล่าวต่อข้าด้วยตัวเองให้หยุดเรื่องนี้ ข้าย่อมหยุดมัน”
  ทันทีที่ถูเฟิงกล่าวจบ สีหน้าถังชุนก็เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ทันที อย่างไรก็ตามมันยังคงส่งข้อความไปหาอาวุโส 2 ของนิกายหมอกเร้นลัง อู่ฟงหยิน
  “ถังชุน เรื่องของเด็กๆมัน คนแก่เช่นเจ้าก็อย่าได้สอดมือเสียประเสริฐกว่า”
  เดิมทีถังชุนคิดว่าอู่ฟงหยินจะไว้หน้ามันบ้าง แต่ไม่คิดเลยว่ากลับได้รับคำตอบเช่นนี้
  ‘ข้าเกือบลืมไป…ต้วนหลิงเทียนเคยปฏิเสธเรื่องเป็นศิษย์อู่ฟงหยิน นอกจากนี้ดูเหมือนเรื่องราวความบาดหมางระหว่างต้วนหลิงเทียนกับอู่ฟงหยินก็ไม่ใช่เล็กน้อย ครั้งสุดท้ายฉีอวี่นั่นก็เป็นถูเฟิงส่งมาเล่นงานต้วนหลิงเทียน’
  พอคิดถึงจุดนี้ ถังชุนก็ตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก ‘บางที กระทั่งอาวุโส 2 เองก็อยากให้ต้วนหลิงเทียนตาย!’
  ‘หรือ…ข้าจักกล่าวเตือนมันดี ว่าภูมิหลังของต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ธรรมดา?’
  พอคิดถึงจุดนี้ สองตาถังชุนก็หดเล็กลงทั้งเปล่งประกายจ้า ‘ใช่แล้ว! ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร? ด้วยความเป็นมาลึกลับของต้วนหลิงเทียน บวกกับปาฏิหาริย์ที่สร้างขึ้นมากมาย หากมันไม่มั่นใจ…มันไหนเลยจะขึ้นแท่นยอดยุทธ์เช่นนี้!’
  ทันใดนั้นถังชุนก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนโดยไม่รู้ตัว และพบพบว่าสีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนยังแลดูสงบ ปราศจากความแตกตื่นหวั่นกลัวใดๆ…
  ใจมันก็อดไม่ได้ที่จะเต้นรัวขึ้นมา ราวกับยืนยันอะไรบางอย่างได้
  ‘ข้าก็ดันร้อนใจไปเพราะคำร้องขอของเยียนเอ๋อ จนลืมไปเสียฉิบ! เจ้าหนุ่มนี่ความเป็นมาลึกลับยากคาดเดา ไหนเลยจะผลีผลามทำอะไรเพราะไม่คิดได้…’
  ฉากเรื่องราวในวันนั้น ความหวาดกลัวของผู้คนตระกูลจ้งที่มีต่อต้วนหลิงเทียนยังชัดเจนในใจถังชุน ราวกับเรื่องราวพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
  “ท่านปู่เล็ก ท่านได้ติดต่อไปหาอาวุโส 2 แล้วยัง?”
  หลังจากได้ยินคำพูดของถูเฟิง สีหน้าถังอู๋เยียนก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นนางก็เร่งถามถังชุน เพราะคิดว่าถังชุนอาจจะไม่ได้ติดต่อไปหาอาวุโส 2 เนื่องเพราะการประลองระหว่างต้วนหลิงเทียนกับถูเฟิงนั้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
  ทั่วร่างของถูเฟิง ปรากฏพลังเทพพวยพุ่งขึ้นมาอย่างร้อนแรงปานเพลิงไฟ!
  “ข้าติดต่อไปแล้ว แต่มันปฏิเสธ”
  ถังชุนส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับ จากนั้นก็ไม่ลืมกล่าวปลอบถังอู๋เยียน “วางใจเถอะ การประมือกับบถูเฟิงครั้งนี้ต้วนหลิงเทียนสมควรมั่นใจ…เจ้าไม่เห็นหรือไรว่าสีหน้าท่าทีมันยังคงสงบนิ่งอยู่ได้ นั่นเป็นสีหน้าท่าทีของผู้ที่กุมชัยชนะไว้ในกำมือแล้วเท่านั้น!”
  “มั่นใจ? กุมชัยชนะไว้ในกำมือ?”
  ถังอู๋เยียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขื่นขมในใจ ต้วนหลิงเทียนแลดูสงบนิ่งใจเย็นอยู่ได้ก็จริง แต่พอนางคิดถึงความแตกต่างระหว่างด่านพลังฝึกปรือระหว่างต้วนหลิงเทียนกับถูเฟิง นางก็รู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนไม่เหลือความหวังใดๆเลย
  “ท่านลุง ไฉนท่านไม่ลองติดต่อไปขอความช่วยเหลือจากรองประมุขมู่หรงสุยเฟิงดูล่ะ? ไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นคนที่รองประมุขแนะนำทั้งเสนอชื่อให้เข้าทดสอบศิษย์หลักด้วยตัวเองหรือ? หากท่านนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าว ข้าเชื่อว่าท่านรองประมุขมู่หรงไม่คิดนิ่งดูดายแน่!”
  ถังอู๋เยียนพลันฉุกคิดถึงรองประมุขนิกายหมอกเร้นลับคนหนึ่งขึ้นมา นั่นก็คือคณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์ มู่หรงสุยเฟิง
  “ไม่จำเป็น”
  หากทว่าในขณะที่ถังอู๋เยียนหันไปมองถังชุนและส่งเสียงผ่านพลังแนะนำ เสียงกล่าวตรงๆของถังชุนก็ดังขึ้นเข้าหูนาง และพอนางพบว่าถังชุนกำลังมองไปยังแท่นยอดยุทธ์ด้วยสายตาเลื่อนลอยราวตัวโง่งม แถมลำคอยังสั่นไหวรุนแรง เสียงกลืนน้ำลายลงคอยังดัง ‘อึก’ ขึ้นชัดเจน…
  จากนั้นถังอู๋เยียนยังตระหนักได้ว่า สุรเสียงโดยรอบกลับเงียบหายไป เสมือนอยู่ๆแท่นยอดยุทธ์กลางหาวจมจ่อมลงสู่ความเงียบงันอย่างไรอย่างนั้น…
  “เกิดอะไรขึ้น?”
  ด้วยความอยากรู้ ถังอู๋เยียนจึงหันไปมองแท่นยอดยุทธ์โดยไม่รู้ตัว
  ทันใดนั้น นางก็เห็นว่าร่างชายหนุ่มชุดม่วงได้ไปหยุดยืนใกล้ๆตำแหน่งที่ถูเฟิงเคยยืนอยู่ก่อนหน้า แต่ไม่ทราบถูเฟิงกลับหายไปอยู่ที่ใดแล้ว เพียงหลงเหลือก็แต่หมอกโลหิตที่กำลังฟุ้งกระจายอยู่ข้างหน้าต้วนหลิงเทียนเท่านั้น
  ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!
  …
  ทันใดนั้นเอง ถังอู๋เยียนก็ได้ยินเสียงกระบี่แหวกฟ้าฉับไวดังขึ้นแต่ไม่เห็นว่าจะมีผู้ใดตวัดกระบี่ เห็นชัดว่าเสียงพึ่งจะเดินทางมาถึงหูของนางหลังเรื่องราวจบลง
  “ถะ…ถูเฟิง…ตายแล้ว?”
  สองตาดั่งสารทฤดูกลมใสของถังอู๋เยียนถึงกับเบิกกว้าง หน้างามฉายชัดถึงความเหลือเชื่อ
  และในปัจจุบัน ไม่ใช่นางเท่านั้นที่ชักสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ กระทั่งคนอื่นๆเองล้วนกลายเป็นตัวโง่งม ชมมองเรื่องราวกันตาโตปากอ้าออก คล้ายไม่อยากจะเชื่อเรื่องราวที่พึ่งเห็น ไม่เว้นอาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 เองก็เผยให้เห็นความตกใจเหลือเชื่อชัดเจน
  เพราะไม่ว่าใคร พวกมันก็แทบจะมองเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นไม่ทัน
  อยู่ดีๆต้วนหลิงเทียนก็ไปปรากฏตัวด้านหลังถูเฟิงราวภูตผี
  จากนั้นในวินาทีเดียวกันกับที่ถูเฟิงตอบสนองเรื่องราว แม้จะลงมือตอบโต้ฉับไวปานสายฟ้าแลบ หากทว่ากระบี่ของต้วนหลิงเทียนที่ไม่ทราบปรากฏขึ้นในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้ตวัดฟันออกไปด้วยความเร็วดั่งประกายแสง จากนั้นปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกมา ก่อเกิดเป็นรังสีกระบี่นับไม่ถ้วนสะบั้นร่างถูเฟิงจนคนทั้งคนกลับกลายเป็นหมอกโลหิตไปในพริบตา…
  ทุกเรื่องราวมันอุบัติขึ้นรวดเร็วเกินไป สุดที่ผู้ใดจะตั้งตัวได้ทัน
  กระทั่งอาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 ที่ควบคุมดูแลแท่นยอดยุทธ์ ก็ยังต้องหันหน้ามามองสบตากัน ก่อนจะแลเห็นถึงสายตาไม่อยากจะเชื่อของอีกฝ่าย “ไฉนมันถึงลงมือได้รวดเร็วเพียงนี้…ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ไม่ใช่ว่ามันมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายหรอกนะ?”
  “ข้าเกรงว่าคงมีแต่ผู้ที่ครอบครองชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายเท่านั้น ถึงจะเร่งเร้าพลังเทพแถมใช้ออกได้ว่องไวปานนี้…อีกทั้งเจ้าเห็นหรือไม่? การลงมือของมันเมื่อครู่…นอกจากการผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการที่ผนวกกับพื้นฐานมรรคากระบี่แล้ว รังสีกระบี่นับไม่ถ้วนที่อุบัติจากความว่างเปล่านั่น มันเป็นการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติอีก 3 ประการชัดๆ…”
  “ข้าย่อมเห็น…ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าที่แท้มันกลับเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการได้ถึง 2 ชุดแล้ว! ครั้งก่อนที่มันประลองกับฉีอวี่ ที่แท้มันซุกซ่อนพลังเอาไว้กว่าครึ่ง!!”
  “ให้ตายเถอะ! อาศัยพลังที่มันพึ่งใช้ออกมา ข้าเกรงว่าต่อให้เป็นเชวียไห่ชวนเมื่อ 10,000 ปีก่อนตอนที่ยังไม่ทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพยังสู้มันไม่ได้!!”
  …