“เอาล่ะ ข้าจะไปหาเสี่ยวตู้จ้านก่อน”
ในขณะที่ทุกคนหันไปมองหลานชิงด้วยความสงสัย กวงเทียนเจิ้งก็พยักหน้าให้หลานชิงประมุขนิกายหมื่นปีศาจพลางกล่าว ก่อนที่คนจะหายไปราวสายลมหอบหนึ่ง พริบตาก็ลับสายตาหลานชิงและอาวุโสของนิกายหมื่นปีศาจไปแล้ว
และไม่มีใครแปลกใจกับคำที่กวงเทียนเจิ้งเรียกหาตู้จ้านว่า เสี่ยวตู้จ้าน แม้แต่น้อย เพราะทุกคนรู้ดีว่าตู้จ้านเป็นศิษย์น้องของกวงเทียนเจิ้ง แต่กวงเทียนเจิ้งยังคอยดูแลและเล่นกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่ยังเด็ก
สมัยที่กวงเทียนเจิ้งยังอยู่ในนิกายหมื่นปีศาจ หลายคนลอบเรียกหาทั้งคู่อย่างลับๆว่า สองผู้กล้า! อย่างยกย่อง
และจนถึงวันนี้ในนิกายหมื่นปีศาจก็ยังเล่าขานถึงวีรกรรมของ สองผู้กล้า ไม่ห่างหาย เป็นวีรกรรมของศิษย์พี่ศิษย์น้อง 2 คนที่ออกไปบุกตะลุยสร้างชื่อเสียงไปทั่วสารทิศ
“ท่านประมุข นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“นั่นสิท่านประมุข ที่แท้มีเรื่องราวใดกัน ไฉนอยู่ดีๆอาวุโสกวงเทียนเจิ้งถึงกลับมาได้เล่า?”
“ท่านประมุข เมื่อครู่ที่ท่านบอกกับอาวุโสกวงเทียนเจิ้งว่า ‘ขอแสดงความเสียใจด้วย’ ที่แท้เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
…
หลังกวงเทียนเจิ้งจากไป เหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายหมื่นปีศาจก็ยิงคำถามใส่หลานชิงระรัว
ในปัจจุบัน ใจพวกมันเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นนัก
“เฮ่อ จะอะไรได้เล่า…ก็ศิษย์ของอาจารย์อานาม ฉู่หาน ตกตายอย่างกะทันหัน และสงสัยว่าคนของนิกายหมอกเร้นลับเป็นผู้ลงมือ…คราวนี้ที่ท่านอาจารย์เดินทางมาไกล ก็เพื่อหาความเรื่องนี้…”
หลานชิงส่ายหัวไปมา จากนั้นก็ไม่รอให้ใครซักไซ้ รีบเหินร่างจากไปตัวปลิว…
คงเหลือก็แต่เพียงเหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายหมื่นปีศาจที่ลออึ้งมองหน้าสบตากันปริบๆ จากนั้นสักพักเสียงคุยก็ดังระงมขึ้น
“ฉู่หาน…เหมือนจะเป็นชื่อของศิษย์คนเล็กที่อาวุโสกวงเทียนเจิ้งเอ็นดูทั้งเอาใจใส่ที่สุดใช่หรือไม่…ถูกคนฆ่าตายกะทันหันเช่นนั้นหรือ แถมผู้ลงมือยังเป็นคนของนิกายหมอกเร้นลับ อาวุโสกวงเทียนเจิ้งก็เลยเดินทางมาไกลเพื่อหาความ?”
“ไม่แปลกหรอก ข้าได้ยินมาว่าอาวุโสกวงเทียนเจิ้งเห็นศิษย์คนเล็กผู้นี้เป็นดั่งลูกชายแท้ๆ และไม่ค่อยให้ออกไปไหนนอกนิกาย!”
“เช่นนั้นมิได้หมายความว่าคราวนี้อาวุโสกวงเทียนเจิ้งอาจช่วยพวกเราจัดการนิกายหมอกเร้นลับหรือไร? พวกเราต้องเตรียมตัวยกพวกไปลุยหรือไม่?”
“ยกพวกไปลุยกับหัวไชเท้าเจ้าสิ…ถึงผู้อาวุโสกวงเทียนเจิ้งจะเป็นอาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ แต่คนของนิกายหมอกเร้นลับก็ขาดแคลนอาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ที่ไหน? ที่สำคัญเจ้าลืมเชวียไห่ชวนของนิกายหมอกเร้นลับไปแล้วหรือไร เจ้านั่นแม้จะไม่ได้ร้ายกาจเท่าอาวุโสกวงเทียนเจิ้ง แต่สถานะในนิกายมังกรสวรรค์ของมันตอนนี้เห็นว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุโสกวงเทียนเจิ้งเลย!”
“จริง ข้าได้ยินมาว่าเชวียไห่ชวนนั่นมันเข้าสำนักของผู้ยิ่งใหญ่ในนิกายมังกรสวรรค์!”
…
ด้านนอกนิกายหมื่นปีศาจ เหล่าอาวุโสก็ยังคงลอยร่างคุยกันระงม ส่วนกวงเทียนเจิ้งที่รอนแรมมาไกล ตอนนี้ก็ได้พบเจอกับตู้จ้านแล้ว
“ศิษย์พี่”
แม้จะติดต่อกันมาโดยตลอด แต่ตู้จ้านก็อดไม่ได้ที่จะดีใจทั้งตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อเห็นกวงเทียนเจิ้ง เพราะมันเองก็ไม่ได้พบหน้าศิษย์พี่คนนี้มานานปีแล้ว
“ศิษย์น้อง”
เมื่อกวงเทียนเจิ้งเห็นตู้จ้าน สองตามันก็ฉายแววตื่นเต้นยินดีเช่นกัน จากนั้นมันกับตู้จ้านก็กอดกันด้วยความคิดถึง ยังตบหลังศิษย์น้องที่เคยตามมันแจครั้งยังเด็กเบาๆ ค่อยผละออกจากกัน
ตู้เชียนจวินที่อยู่ข้างๆ ก็มองสำรวจกวงเทียนเจิ้งขึ้นๆลงๆ มันได้ยินเรื่องราวของอาจารย์ปู่ผู้นี้มานานแล้ว ยังเห็นรูปเหมือนอีกฝ่ายในห้องนอนของปู่ แต่ไม่เคยพบคนตัวเป็นๆมาก่อน
พอมาเห็นตัวจริง ก็เรียกว่าไม่ต่างอะไรกับภาพเหมือนเลย
“เชียนจวิน ไฉนยังไม่มาหาปู่ใหญ่เจ้าเล่า? ยังไม่รีบมาขอขมาปู่ใหญ่อีก!?”
หลังโดนตู้จ้านตำหนิ ตู้เชียนจวินก็กุลีกุจอก้าวมาหากวงเทียนเจิ้ง ก่อนจะคุกเข่าลงทั้งประสานมือโค้งคารวะอย่างนอบน้อม “หลานต้วนเชียนจวิน ยินดีที่ได้พบปู่ใหญ่…ขอให้ปู่ใหญ่ยกโทษเรื่องที่ผู้หลานไม่ได้ปกป้องอาจารย์ลุงฉู่ให้ดี…”
“เฮ่อ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้า เจ้าจะมาขอโทษข้าทำไมเล่า”
เมื่อกวงเทียนเจิ้งเห็นตู้เชียนจวิน สองตามันก็อ่อนลงทันที สุดท้ายแล้วนี่ก็คือหลานชายแท้ๆของศิษย์น้องที่มันเห็นไม่ต่างอะไรจากน้องชายแท้ๆ และในสายตามันอีกฝ่ายก็ถือเป็นหลานชายของมันคนหนึ่ง
จากนั้นกวงเทียนเจิ้งก็โบกมือออกไปส่งๆ อุบัติพลังไร้สภาพอ่อนหยุ่นขุมหนึ่งประคองร่างตู้เชียนจวินให้ลุกขึ้น จากนั้นก็มองกล่าวกับตู้เชียนจวินอย่างอ่อนโยนใจดี “กล่าวไปแล้ว นี่นับเป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเจ้า…”
“พบกันครั้งแรก แต่ปู่ใหญ่กลับไม่ได้เตรียมของขวัญให้เจ้าเลย…เช่นนั้นอุปกรณ์เทพขั้นต่ำชิ้นนี้ ที่เริ่มตั้งครรภ์วิญญาณได้ครึ่งนึงแล้ว เจ้ารับมันไปเป็นของขวัญแรกพบเถอะ”
กล่าวถึงจุดนี้กวงเทียนเจิ้ง ก็นำกระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากแหวนพื้นที่ แล้วยื่นส่งให้ตู้เชียนจวิน
ถึงแม้มันจะเป็นแค่อุปกรณ์เทพขั้นต่ำ แต่ก็มีกลิ่นอายแผ่ออกมาสองกลิ่นอาย หนึ่งในนั้นก็คือกลิ่นอายของตัวอ่อนวิญญาณ
“อุปกรณ์เทพขั้นต่ำที่ตั้งครรภ์วิญญาณ!?”
สองตาตู้เชียนจวินลุกวาวขึ้นมาทันที
ต้องทราบด้วยว่า อุปกรณ์เทพขั้นต่ำที่เริ่มตั้งครรภ์วิญญาณแล้ว ไม่ใช่อะไรที่อุปกรณ์เทพขั้นต่ำทั่วไปจะเทียบได้เลย
อุปกรณ์เทพที่เริ่มตั้งครรภ์วิญญาณ แม้จะเป็นแค่ขั้นต่ำ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่มันจะยกระดับขึ้นไปในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้มันจะไม่ยกระดับ แต่พลังอำนาจที่เผยออกมายังห่างไกลเกินกว่าอุปกรณ์เทพขั้นกลางที่ไม่ได้ตั้งครรภ์วิญญาณจะเทียบได้
ในแง่ของมูลค่าแล้ว อุปกรณ์เทพขั้นต่ำที่ตั้งครรภ์วิญญาณ แม้จะพึ่งเริ่มตั้งครรภ์ ก็ยังมีค่ามากกว่าอุปกรณ์เทพขั้นกลางที่ยังไม่ตั้งครรภ์วิญญาณถึง 5 ชิ้น…หากเป็นอุปกรณ์เทพขั้นกลางทั่วไป ก็มีราคาพอๆกับอุปกรณ์เทพขั้นต่ำนับสิบชิ้นแล้ว เห็นได้ชัดว่ามูลค่ามันเทียบกันไม่ได้เลย
เช่นนั้นอุปกรณ์เทพที่กำเนิดจิตวิญญาณแล้ว มันมีค่ามากขนาดไหนย่อมพอจะจินตนาการได้ออก
อย่างไรก็ตาม ตู้เชียนจวินไม่กล้าเอื้อมมือไปรับส่งเดช เพียงหันไปมองปู่ของมันก่อน
และปู่ของมัน ตู้จ้านก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเด็กหัวเหม็นโง่งม ยังไม่รีบขอบคุณปู่ใหญ่อีก!”
มันรู้จักศิษย์พี่คนนี้ดี และอีกฝ่ายไม่มีทางเก็บของที่มอบออกมาแล้วกลับคืนแน่ และด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมันกับศิษย์พี่คนนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้น
“ขอบคุณท่านปู่ใหญ่”
ตู้เชียนจวินเร่งกล่าวคำขอบคุณกวงเทียนเจิ้งอย่างสุภาพนอบน้อม จากนั้นก็รับกระบี่เทพขั้นต่ำที่ตั้งครรภ์วิญญาณที่กวงเทียนเจิ้งมอบให้
หลังตู้เชียนจวินรับกระบี่มา ตู้จ้านก็ไล่ให้มันออกไป เหลือเพียงแค่มันกับศิษย์พี่สองคน
“ศิษย์พี่ ขอแสดงความเสียใจกับท่านด้วย”
ตู้จ้านกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ
“ตอนนี้ข่าวล่าสุดที่ได้เป็นอย่างไร? ต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงนั่น พวกมันกลับไปยังนิกายหมอกเร้นลับแล้วหรือไม่?”
กวงเทียนเจิ้งกล่าวถามออกมาตรงๆ
“ยังไม่”
ตู้จ้านส่ายหัวไปมา
“เช่นนั้นยืนยันได้แล้วหรือไม่ว่าที่แท้พวกมันอยู่หรือตายไปแล้ว ในนิกายหมอกเร้นลับคงมีคนที่เก็บลูกแก้ววิญญาณพวกมันไว้บ้างกระมัง?”
กวงเทียนเจิ้งเอ่ยถาม
“หวูเฟิงยังไม่ตาย”
ตู้จ้านกล่าว “หวูเฟิงนั่นมีสหายไม่น้อย ในนิกายหมอกเร้นลับจึงมีหลายคนที่มีลูกแก้ววิญญาณของมันเก็บไว้ ส่วนลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มี และสายของนิกายหมื่นปีศาจเราที่แฝงตัวอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับ ก็พยายามเข้าหาคนพวกนั้นอยู่ และไม่นานก็น่าจะเลียบๆเคียงๆถามเรื่องต้วนหลิงเทียนยังมีชีวิตอยู่มาได้”
“อืม”
กวงเทียนเจิ้งพยักหน้า “เช่นนั้นหลังจากนี้ข้าจะพักอยู่กับเจ้า รำลึกถึงที่พักเก่าที่ข้าเคยอยู่กับเจ้าสักหน่อย…หากเจ้าได้ข่าวต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงจากนิกายหมอกเร้นลับ ก็รีบบอกข้าๆจะได้ไปหาพวกมันถึงที่”
ประโยคท้าย ขณะกล่าวถึงต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิง สองตากวงเทียนเจิ้งก็หรี่ลงยังฉายประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง มันแหลมคมทั้งเยียบเย็นนัก
“ศิษย์พี่ข้าเล่าความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงให้ท่านฟังคร่าวๆแล้ว…ถึงแม้พวกมันที่ร่วมมือกันอย่างดี แต่เต็มที่ก็คงทำได้แค่สู้เสมอฉู่หานกับแซ่เฉินเท่านั้น ยากที่จะเอาชีวิตได้…”
ตู้จ้านกล่าว “แต่แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้ที่ฉู่หานกับแซ่เฉินจะประมาท”
“อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ว่าจะเป็นพวกมันที่เป็นฆาตกร”
ได้ยินคำพูดของตู้จ้าน กวงเทียนเจิ้งก็คลี่ยิ้มเย็นชา สองตายังเผยประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง “เว้นเสียแต่พวกมันทั้งคู่จะพิสูจน์ได้ว่า พวกมันไม่ใช่คนฆ่าฉู่หาน…หาไม่แล้ว ต่อให้จะเป็นฉู่หานที่คิดลงมือฆ่าพวกมันก่อน พวกมันทั้งคู่ก็ต้องตาย!”
“นิกายหมอกเร้นลับ ไม่มีผู้ใดช่วยพวกมันได้!”
“ในเมื่อพวกมันเข้าไปในเทพซ่อนด้วยกัน แต่พวกมันกลับรอดออกมาได้…หากจะโทษก็ต้องโทษที่พวกมันไม่ร่วมกลบฝังไปพร้อมฉู่หานเถอะ! หากจะโทษพวกมันก็ได้แต่โทษโชคชะตาเท่านั้น!!”
ฟังจากคำพูดของกวงเทียนเจิ้ง เห็นได้ชัดว่ามันเตรียมจะกลบฝังต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงไปพร้อมๆกับฉู่หาน
ด้านตู้จ้านที่ฟังอยู่ ก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ จากนั้นก็กล่าวคำด้วยน้ำเสียงหวั่นเกรง “ศิษย์พี่ ข้ารู้ว่าท่านแค้นที่ฉู่หานตาย…แต่ถ้าท่านลงมือเข่นฆ่าศิษย์นิกายหมอกเร้นลับตามอำเภอใจ ท่านไม่กลัวคนของนิกายหมอกเร้นลับในนิกายมังกรสวรรค์มาถามหาความรับผิดชอบจากท่านหรือ?”
กวงเทียนเจิ้งกล่าวตอบอย่างไร้แยแส “หากพวกมันอยู่ในที่เกิดเหตุ ข้าอาจต้องไว้หน้าพวกมัน…แต่ตราบใดที่ข้าฆ่าต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงทิ้งก่อนที่พวกมันจะทันได้ติดต่อหาข้า…เช่นนั้นก็โทษข้าที่ไม่ไว้หน้าพวกมันไม่ได้”
“หลังฆ่าคนแล้ว อย่างดีข้าก็แค่ไปขอโทษพวกมันดีๆ…ข้าไม่กลัวว่าพวกมันจะกล้าฉีกหน้าข้าในนิกายเพราะศิษย์รุ่นหลังแค่ 2 คนหรอก”
“แล้วต่อให้พวกมันหาญกล้าฉีกหน้าข้าแล้วจะอย่างไร ศิษย์คนรองของข้าตอนนี้ชอบพออยู่กับลูกสาวคนเดียวของรองประมุขเซวียของนิกายมังกรสวรรค์ข้า กระทั่งยังหารือเรื่องตบแต่งกันแล้ว…เมื่อมีรองประมุขเซวียอยู่ข้างข้าทั้งคน ไหนเลยข้าต้องกลัวพวกมันอีก”
พอได้ยินกวงเทียนเจิ้งกล่าวถึงผู้สนับสนุน สองตาตู้จ้านก็เปล่งแสงจ้าขึ้น ในที่สุดมันก็ทราบบ่อเกิดความมั่นใจของศิษย์พี่แล้ว!
“ขอแสดงความยินดีด้วยศิษย์พี่!”
ตู้จ้านเร่งกล่าวคำแสดงความยินดีออกมา จากนั้นก็อดโอดครวญออกมาไม่ได้ “ศิษย์พี่มีเรื่องมงคลเช่นนี้ไฉนท่านไม่บอกให้ข้ารู้เล่า เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับท่าน ยังเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนิกายหมื่นปีศาจของพวกเราด้วย ช่างเป็นงานมงคลอันประเสริฐนัก!”
รองประมุขนิกายมังกรสวรรค์ นับว่าเป็นบุคคลสำคัญในนิกายมังกรสวรรค์ไม่น้อย
การเกี่ยวดองกับตัวตนระดับนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อนิกายหมื่นปีศาจอย่างมาก!
กวงเทียนเจิ้งคลี่ยิ้มบางๆ “สมัยนี้คนหนุ่มสาวยังยึดถืออะไร ใจเร็วด่วนได้ทั้งแทบจะเปลี่ยนคู่รักทุกๆสามวัน…กับศิษย์คนรองของข้าไม่เท่าไหร่ แต่ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกสาวคนเดียวรองประมุขเซวีย เดิมทีข้าก็คิดว่านางไม่ได้สนใจเจ้ารองมากนัก แต่ผู้ใดจะไปรู้อยู่ๆนางก็เสนอเรื่องแต่งงานออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้ข้าเองก็แทบตั้งตัวไม่ทัน”
“หลังกำหนดวันแต่งได้แล้ว ข้าค่อยส่งคำเชิญให้เจ้า และเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานในพิธีวิวาห์ของเจ้ารองด้วย”
พอกวงเทียนเจิ้งกล่าวถึงจุดนี้ใบหน้าก็ฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มสดใส “กล่าวไปแล้วที่ไฉนข้าใช้เวลาอยู่นานกว่าจะมาที่นี่ได้…ก็เพราะศิษย์ข้ากำลังจะแต่งงาน ข้าในฐานะอาจารย์เองก็ต้องหารือและตระเตรียมอะไรหลายๆเรื่อง วุ่นวายไปหมด…”
ตู้จ้านตระหนักได้ทันทีว่าไฉนศิษย์พี่ของมันถึงไม่มาแต่แรก ที่แท้เพราะมี ‘งานใหญ่’ เช่นนี้นี่เอง
“ฉู่หานนั้นสนิทสนมกับเจ้ารองไม่น้อย และเจ้ารองก็รู้เรื่องนี้แล้ว…กล่าวได้ว่าการจัดการเรื่องครั้งนี้ รองประมุขเซวียจักเป็นผู้สนับสนุนของพวกเรา!”
สองตากวงเทียนเจิ้งเปล่งประกายเย็นชาวูบวาบ