“ศิษย์น้องต้วน เจ้าจะกลับนิกายไปพร้อมกับข้าเลย หรือเจ้าคิดจะกลับไปหลังทะลวงผ่านไปยังขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำ?”
หลังต้วนหลิงเทียนออกมาได้ไม่นาน หวูเฟิงก็ออกมาเช่นกัน ยังเอ่ยถามต้วนหลิงเทียนว่าจะเอาอย่างไรต่อไป
และตอนนี้หวูเฟิงก็คล้ายจะกลับมาเป็นปกติแล้ว
ที่มันเอ่ยถามออกมาเช่นนั้น เพราะมันเองก็อยากรู้จริงๆ และอย่างที่สอง เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของจักรพรรดิเทพฉินหวู่ที่ได้รวมเข้ากับจิตวิญญาณของมัน กำลังผลกระทบต่อสามัญสำนึกของมัน
หากเป็นในตอนปกติ แม้มันจะอยากรู้ มันก็ไม่มีทางถามเรื่องพรรค์นั้นออกมาแน่ เพราะนั่นจะทำให้ต้วนหลิงเทียนสงสัยมันเปล่าๆ ว่ามันใช่กำลังหยั่งเชิงอะไรอยู่หรือไม่…
แล้วจะหยั่งเชิงไปเพื่ออะไร?
เพราะบังเกิดความโลภในสมบัติที่ต้วนหลิงเทียนได้รับมาเช่นนั้นเหรอ?
เหตุไฉนที่เศษเสี้ยววิญญาณของจักรพรรดิเทพฉินหวู่ ส่งผลกระทบจนทำให้หวูเฟิงคิดไปทำนองดังกล่าวโดยไม่รู้ตัว เพราะหากสามารถฆ่าต้วนหลิงเทียนได้ มันก็จะทำให้ร่างต้นที่มาอาศัยอยู่ได้รับสมบัติทั้งหมดที่ตัวมันเหลือทิ้งไว้ ซึ่งนั่นก็จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับร่างต้นนี้…
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายหวูเฟิก็ยึดมั่นในความคิดของตัวเอง ทำให้เศษเสี้ยววิญญาณไม่อาจส่งผลอะไรต่อความคิดได้อีก
เป็นธรรมดาว่ายังมีส่วนเล็กๆของเศษเสี้ยววิญญาณจักรพรรดิเทพฉินหวู่ที่มีอิทธิพลต่อหวูเฟิง ตระหนักได้ว่าหากต้วนหลิงเทียนใช้แหวนพื้นที่ทำลายตัวเอง สุดท้ายทุกสิ่งก็อาจจะสูญเสียไปหมดสิ้น
“ศิษย์พี่หวูเฟิง ข้าไม่คิดจะกลับไปพร้อมท่าน”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาเล็กน้อยค่อยกล่าวบอกหวูเฟิงว่า “ข้าคิดจะไปหาสถานที่ทะลวงด่านพลังให้ถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำก่อน จากนั้นค่อยคิดเรื่องกลับนิกายทีหลัง เพราะข้าเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับไปดีหรือไม่…”
นิกายหมอกเร้นลับ เขาต้องกลับไปเป็นธรรมดา
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่นใดให้มากความ ทุกสิ่งที่ซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวทำกับเขา ตัวเขาไหนเลยจะไม่ย้อนกลับไปคิดบัญชีพวกมันได้? สักวันเขาจะกลับไปทำให้พวกมันสำนึกเสียใจที่ทำกับเขาแบบนั้นแน่!
กระทั่งยังวางแผนเอาไว้ในใจเสร็จสรรพ
เขาตั้งใจจะหลบฉากไปสักพัก รอให้มีพลังฝีมือกล้าแข็งพอ เขาจะย้อนกลับไปนิกายหมอกเร้นลับเพื่อตามหาซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียว และคิดบัญชีกับพวกมัน!
“เอาล่ะ”
หวูเฟิงย่อมเคารพในการตัดสินใจของต้วนหลิงเทียน จึงพยักหน้ารับคำ
และก่อนจะแยกกัน หวูเฟิงก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทีจริงจัง “ศิษย์น้องต้วน ทั้งหมดข้าต้องขอบคุณเจ้าจากใจ เจ้าไม่เพียงแต่จะมอบอุปกรณ์เทพขั้นสูงที่ตั้งครรภ์วิญญาณแล้วให้ข้า แต่เจ้ายังผลักเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของจักรพรรดิเทพฉินหวู่มาให้ข้าอีก…”
“บุญคุณครั้งนี้ วันหน้าข้าหวูเฟิงต้องหาทางตอบแทนให้เจ้าแน่”
หวูเฟิงได้กล่าวยอมรับออกมากลายๆ ว่ามันได้รับเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของจักรพรรดิเทพฉินหวู่ไป
หลังได้ยินคำพูดของหวูเฟิง แม้ต้วนหลิงเทียนจะคาดเดาได้แต่แรก สีหน้าของเขายังอดไม่ได้ที่จะกลายเป็นจริงจัง “ศิษย์พี่หวู ข้ารู้ว่าเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของจักรพรรดิเทพฉินหวู่มันดึงดูดใจท่านอย่างยิ่ง…”
“และในเมื่อท่านได้รับมันเข้ามารวมผสานกับจิตวิญญาณท่านไปแล้ว ข้าก็คงไม่คิดจะพูดถึงเรื่องนี้อีก เพราะมันสายไปแล้ว”
“ข้าเพียงหวังว่า ต่อไปวันหน้า…ยามที่ท่านต้องตัดสินใจเลือกกระทำสิ่งใด ขอให้ท่านตั้งมั่นกับความคิดดั้งเดิมของท่าน อย่าได้ให้เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของจักรพรรดิเทพฉินหวู่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ กระทั่งครอบงำความคิดของท่านเด็ดขาด…ขอให้ท่านจดจำไว้ว่า ท่านก็คือท่าน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับจักรพรรดิเทพฉินหวู่แม้แต่นิดเดียว”
เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนกังวลว่าหวูเฟิงจะมีปัญหาเพราะเรื่องนี้ จึงได้แต่กล่าวเตือนไปด้วยความหวังดี
“เรื่องนี้ขอศิษย์น้องต้วนอย่าได้กังวล ข้ารู้ดีว่าต้องทำเช่นไร”
หวูเฟิงพยักหน้าอย่างจริงจัง
“อย่างไรก็เป็นถึงเศษเสี้ยววิญญาณของจักรพรรดิเทพ ไหนเลยจะธรรมดา ขอศิษย์พี่หวูยึดสติไว้ให้มั่น…”
และนี่เป็นประโยคที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะแยกกับหวูเฟิง
อันที่จริง การที่เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของจักรพรรดิเทพฉินหวู่ได้รวมผสานเข้ากับจิตวิญญาณหวูเฟิงไปแล้วแบบนี้ เขาไม่อาจบอกได้จริงๆว่าวันหน้าหวูเฟิงจะเป็นอย่างไร….
บางทีหากหวูเฟิงหาเวลาขัดเกลาจิตใจ ยึดสำนึกแท้แต่เดิมของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่เพียงแต่จะกำจัดอิทธิพลจากความทรงจำของจักรพรรดิเทพฉินหวู่ แถมยังทำให้การฝึกฝนบ่มเพาะและทำความเข้าใจกฏมีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นเท่าตัว…
แต่บางทีมันก็อาจจะส่งผลเสียต่อหวูเฟิง…
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเศษเสี้ยววิญญาณของจักรพรรดิเทพฉินหวู่ก็ไม่อาจชิงร่างหวูเฟิงได้แน่ๆ เพราะตัวมันเองได้ดับสูญไปแล้ว ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้นยังเป็นจิตวิญญาณของมันอีกด้วย เศษเสี้ยววิญญาณที่มันเหลือไว้ กล่าวไปก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ‘ความหมกมุ่น’ เท่านั้น…
ในโลกนี้ไม่มีใครอยากตาย แม้แต่จักรพรรดิเทพที่ดำรงอยู่มานาน
‘ต่อไปก็หาที่กินผลเทพโชคลาภก่อน และทะลวงให้ถึงขอบเขตราชาเทพโดยเร็ว…จากนั้นค่อยมาคิดเรื่องจะกลับไปนิกายหมอกเร้นลับหรือไม่อีกที ถ้ากลับไปก็ดูว่าจะสามารถใช้พลังขอบเขตเทพขั้นต่ำจัดการหลงเซียวและซั่งกวนฉงเฟิง เพื่อดึงดูดความสนใจจากอาวุโสอวิ๋นหรืออาวุโสหวู่ได้หรือไม่…’
หลังแยกกันกับหวูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ลับตาอันมีภูมิประเทศสลับซับซ้อน และในที่สุดก็พบหุบเขาเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง ก่อนจะขุดถ้ำเพื่อเป็นที่พักบ่มเพาะ
เป็นธรรมดาว่าก่อนที่เขาจะเริ่มต้นบ่มเพาะพลัง เขาก็ปล่อยให้หวงเอ้อ จิตวิญญาณของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนออกมาทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์
หลังจากที่หวงเอ้อได้รับลูกปัดลึกลับของจักรพรรดิสวรรค์หยางอวิ๋นเซียว หวงเอ้อก็ได้ทำการขัดเกลามัน ก่อนจะหลอมมันเพื่อยกระดับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน และนางก็ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
ฟังจากที่หวงเอ้อกล่าวไว้ ตอนนี้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนไม่ใช่แค่กระบี่เทพขั้นสูงธรรมดาๆ แต่มันได้ยกระดับไปเป็นกระบี่เทพขั้นสูงสุด มีความแข็งแกร่งถึงุจดสูงสุดเท่าที่อุปกรณ์เทพขั้นสูงจะไปถึงได้…
ความแข็งแกร่งของนางเอง ก็ย่อมเพิ่มพูนขึ้นเป็นธรรมดา
และในปัจจุบันต้วนหลิงเทียนเองก็เป็นเทพขั้นสูงแล้ว ทำให้ระดับพลังฝึกปรือที่หวงเอ้อใช้ได้ก็อยู่ในขอบเขตเทพขั้นสูงเช่นกัน…อย่างไรก็ตามความลึกซึ้งของกฏที่นางเข้าใจ ยังเหนือกว่าต้วนหลิงเทียนเสียอีก กล่าวได้ว่าในปัจจุบัน พลังของ หวงเอ้อ จิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนนั้น ได้ก้าวข้ามต้วนหลิงเทียนไปแล้ว…
ด้วยมีนางเป็นผู้พิทักษ์ขณะปิดด่านบ่มเพาะ ต้วนหลิงเทียนย่อมมั่นใจเป็นที่สุด
เพราะสุดท้ายแล้ว หากเป็นคนที่กระทั่งหวงเอ้อยังรับมือไม่ได้ เขาก็จนปัญญาจะสู้จริงๆ
และสำหรับคนที่เขาไม่กลัว หวงเอ้อยิ่งไม่เห็นอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ!
“หวงเอ้อ เจ้าซ่อนตัวอยู่ในร่างของข้าก่อน…หากหวูเฟิงปรากฏตัวขึ้น และคิดร้ายอะไรกับข้า เจ้าก็ปรากฏตัวออกมาฆ่ามันทิ้งได้เลย ไม่ต้องปราณี”
ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะไว้วางใจหวูเฟิงพอสมควร
อย่างไรก็ตามหวูเฟิงที่เขาไว้วางใจก็คือหวูเฟิงคนเก่า ก่อนที่จะรับเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของจักรพรรดิเทพฉินหวู่มา เพราะตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่าหวูเฟิงได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจไม่เป็นตัวของตัวเอง และโดนความคิดของจักรพรรดิเทพฉินหวู่ครอบงำ จนลงมือกับเขาขณะบ่มเพาะพลัง
บางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่ลงมือเปิดฉากเข่นฆ่าเขาทันที
เพราะสุดท้ายแล้วสมบัติทั้งหมดที่เขาได้รับมาจากเทพซ่อน ก็อยู่ในแหวนพื้นที่ๆเขาเปลี่ยนไปใช้เป็นแหวนพี่ทำลายตัวเองแต่แรก หวูเฟิงย่อมต้องกังวลเรื่องที่หลังจากฆ่าเขา มันจะไม่ได้รับอะไรเลยเช่นกัน
ความเป็นไปได้สูงสุดก็คือ อีกฝ่ายคิดจะลงมือกำราบเขา จากนั้นก็เอาชีวิตเขามาขู่เพื่อให้เขายกเลิกพันธะครองแหวน และส่งมอบออกไป
“ทราบแล้วนายท่าน”
หวงเอ้อรับคำด้วยความเคารพ
หลังได้ได้รับคำตอบจากหวงเอ้อ ต้วนหลิงเทียนก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง จากนั้นก็อุทิศตัวไปกับการฝึกฝนบ่มเพาะทันที
หลังจากนำผลเทพโชคลาภออกมากิน พอกลืนลงท้องไปไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลแต่อ่อนโยนขุมหนึ่งเริ่มหลั่งไหลไปตามชีพจรพลัง ทำให้พลังเทพในร่างของเขาเสมือนเดือดพล่านขึ้นมาทันตาเห็น
เขาไม่คิดรอช้า เร่งชักนำพลังดังกล่าวเพื่อทะลวงจุดรอคอยสุดท้าย หมายทะลวงไปยังราชาเทพทันที
ปงงงง!!
ในอดีตหลังจากสั่งสมพลังได้มากพอแล้ว ถึงเขาจะพยายามชักนำพลังไปทะลวงจุดรอคอยซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกือบพันรอบ แต่จุดรอคอยของเขาอย่างดีก็แค่กรุยออกเล็กน้อยเท่านั้น แต่คราวนี้เพียงชักนำพลังที่ได้มา ลองทะลวงด่านครั้งเดียว มันก็สามารถทะลวงผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ราวกับจุดรอคอยของขอบเขตพลังไม่มีอยู่จริง ราบรื่นจนน่าเหลือเชื่อนัก…
“เอ่อ…ข้าทะลวงผ่านแล้ว?”
แม้แต่ต้วนหลิงเทียนที่มั่นใจในพลังของผลเทพโชคลาภ ก็ถึงกับต้องลืมตาขึ้นมาด้วยความเหลือเชื่อ เพราะไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่ามันจะง่ายดายถึงเพียงนี้
และหลังจากทะลวงผ่าน ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังเทพในร่างอย่างชัดเจน และมันเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ หากพลังเทพแต่เดิมเป็นกระแสหมอกควันเบาบาง พลังเทพในร่างเขาตอนนี้ก็เสมือนได้ควบรวมจนแน่นหนาคล้ายของเหลว
ตูมมม!!
เพียงโคจรพลังเทพส่วนหนึ่งไปยังหมัดและชกออกไปตามอำเภอใจ ก็ถึงกับทำให้ความว่างเปล่าสะเทือนสะท้าน เห็นได้ชัดว่าพลังเทพที่อัดแน่นในหมัดเขาตอนนี้ ไม่ใช่อะไรที่พลังเทพในอดีตจะเทียบได้เลย
‘อย่างไรก็ตาม ถึงข้าจะทะลวงด่านพลังได้แล้ว แต่ข้ายังใช้พลังของผลเทพโชคลาภไปแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น…พลังที่เหลือส่วนใหญ่ได้แต่กระจัดกระจายอยู่ในร่าง แถมไม่อาจผสานเข้ากับพลังเทพขอบเขตราชาเทพได้อีก…’
ในเวลาเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่า เขาพึ่งจะใช้พลังของผลเทพโชคลาภไปแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น และหลังจากทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพแล้ว พลังของผลเทพโชคลาภก็ยังเหลือเกิน 9 ส่วน แต่กลับไม่อาจรวมผสานเข้ากับพลังเทพขอบเขตราชาเทพเพื่อเพิ่มพูนพลังฝึกปรือแต่อย่างใด…
หากมีผู้ใดล่วงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนที่ห่างจากการบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพแค่ก้าวเดียว แต่ดันใช้ผลเทพโชคลาภเพื่อทะลวงผ่าน ไม่พ้นต้องโพล่งด่าเขาว่า ‘มารดามันสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว’ หรือ ‘บุตรแห่งสวรรค์ผู้ร่ำรวยโดยแท้’ ออกมาเป็นแน่…
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของต้วนหลิงเทียนมันไม่ได้สิ้นเปลืองแม้แต่นิดเดียว
เพราะถึงเขาจะห่างจากขอบเขตราชาเทพเพียงก้าวเดียว แต่หนึ่งก้าวนี้ก็ไม่มีใครบอกเขาได้ว่ามันจะนานสักแค่ไหน
และสิ่งที่เขาขาดมากที่สุดตอนนี้ก็คือเวลา!
สิ่งใดๆก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับเวลาที่มีจำกัดของเขาแล้ว มันก็กลายเป็นไร้สำคัญทั้งนั้น!
‘ต่อไปก็ใช้ผลเทพกู้เปิ่นเพื่อควบรวมด่านพลังราชาเทพขั้นต่ำให้เสถียรมั่นคง…จากนั้นข้าก็สามารถเริ่มต้นบ่มเพาะสั่งสมพลังต่อได้ และในบรรดาสมบัติที่จักรพรรดิเทพฉินหวู่เหลือทิ้งไว้ ก็มีทรัพยากรที่ส่งเสริมการบ่มเพาะของราชาเทพเช่นกัน แม้ประสิทธิภาพของมันจะด้อยกว่าผลเทพโชคลาภสำหรับตัวตนขอบเขตเทพก็ตาม’
‘ในระนาบเทพ การบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพ ก็เสมือนข้ามผ่านสู่ธรณีประตูของ ผู้เข้มแข็ง…เพราะสุดท้ายหลังจากบรรลุถึงราชาเทพแล้ว ก็ต้องเผชิญหน้ากับหายนะสวรรค์ทุกๆรอบพันปี’
‘แถมหลังจากทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพได้ หายนะสวรรค์ครั้งแรกก็จะปรากฏขึ้นในเวลาไม่นาน’
‘จากความรู้สึกนี้…ดูเหมือนหายนะสวรรค์แรกของข้าจะมาถึงในอีก 3 วัน’
หลังจากทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพแล้ว ในใจต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักถึงสังหรณ์ลี้ลับหนึ่ง ซึ่งสังหรณ์ลี้ลับดังกล่าวราวกับผุดออกมาจากอากาศธาตุ คล้ายกับสวรรค์และโลกกำลังบอกกล่าวบางอย่างต่อเขา
ทำให้เขาตระหนักได้ทันที ว่าหายนะสวรรรค์ของราชาเทพครั้งแรกที่เขาจะได้พบเจอ กำลังจะมาถึงในอีก 3 วัน
‘หายนะแรกของราชาเทพ โดยปกติแล้ว ตราบใดที่ไม่ใช่คนที่ไม่อาจเข้าใจความลึกซึ้งทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ ก็สมควรผ่านมันได้อย่างง่ายดาย…’
ต้วนหลิงเทียนรู้เรื่องนี้มานานแล้ว
ในระนาบเทพ คนที่มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะสูง ไม่ใช่ว่าจะมีความเข้าใจสูงล้ำตามไปด้วย
บางคนแม้จะบรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นสูงแล้ว แต่ยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏที่ใช้ไม่ถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทุกประการเลยด้วยซ้ำ…และกับเทพขั้นสูงเช่นนี้ แม้จะสามารถทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพได้ แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากรนหาที่ตาย!
อย่างไรก็ตาม สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว หายนะขอบเขตราชาเทพที่จะปรากฏเป็นครั้งแรกในอีก 3 วันหลังจากนี้ มันไม่อาจนับเป็นอะไรได้เลย
เผลอๆเขาอาจทำลายมันได้ในการลงมือแค่ครั้งเดียว
‘ด้วยมีผลเทพกู้เปิ่น ข้าสามารถควบรวมด่านพลังราชาเทพขั้นต่ำให้สถียรมั่นคงได้ในเวลาแค่วันเดียว!’
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังผลเทพกู้เปิ่นในมือเขม็ง สองตาของเขาตอนนี้เป็นประกาวับวาวราวดาราระยับ
ผลเทพกู้เปิ่นนี้ ก็คือของรางวัลที่เขาได้เลือกมาหลังกลายเป็นศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับ และในตอนที่เขาเลือกมันกระทั่งผู้อาวุโสที่ไปกับเขา ก็รู้สึกไม่เห็นด้วยกับการเลือกของเขา
หลังจากต้วนหลิงเทียนกลืนผลเทพกู้เปิ่นแล้ว เขาก็เริ่มโคจรพลังเทพในร่างตามเคล็ด ไม่ใชเพื่อฝึกฝนแต่เพื่อควบรวมพลังในร่างที่ยังพลุ่งพล่านวุ่นวาย จนยากควบคุมหลังทะลวงผ่าน
และพลังอำนาจของผลเทพกู้เปิ่นก็ไม่ทำให้ต้วนหลิงเทียนผิดหวังจริงๆ ยังสมคำร่ำลือนัก เพราะในเวลาไม่ถึงวัน เขาก็ควบรวมปรับด่านพลังราชาเทพขั้นต่ำให้เสถียรมั่นคงแล้วเสร็จ
‘ข้าได้ควบรวมปรับด่านพลังให้เสถียรมั่นคงเสร็จแล้ว ตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่าความหนาแน่นของพลังเทพในร่างมันเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อวานหลังจากที่ทะลวงผ่านมามาก’
‘’กล่าวได้ว่าเมื่อเทียบกับวันก่อนแล้ว วันนี้พลังเทพของข้ามันทรงพลังมากกว่าเดิมอย่างน้อย 3 ส่วน!’
ต้วนหลิงเทียนย่อมพึงพอใจกับความก้าวหน้าหลังควบรวมปรับด่านพลังเป็นอย่างมาก
‘หายนะสวรรค์…อีกแค่ 2 วัน’
2 วันหลังจากนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะบ่มเพาะฝึกฝนอะไร เพียงเฝ้ารอการมาถึงของหายนะสวรรค์ของราชาเทพอย่างเฉยเมย เพียงมุ่งความสนใจไปยังสมบัติที่เขาได้มาจากมรดกสถานที่จักรพรรดิเทพฉินหวู่เหลือทิ้งไว้
ก่อนหน้านี้เขาก็แค่ดูผ่านๆ และจดจำได้แค่บางอย่างเท่านั้น ไม่ได้สนใจตรวจสอบของที่จำไม่ได้เลย เพราะเขาไม่มีเวลาให้ตรวจสอบมันจริงๆจังๆ