“พวกเจ้าคิดทำเช่นนี้มันดีแล้วหรือ?”
ได้ยินบทสนทนาของอาวุโสฟงกับเหล่ย อาวุโสอวิ๋นก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา “พวกเจ้าคิดไปซุ่มจับตัวต้วนหลิงเทียนเช่นนี้ ถึงจับคนได้ แต่ไหนเลยจะห้ามผู้คนไม่ให้ติดต่อขอความช่วยเหลือ? ถึงตอนนั้นคนของตระกูลหลิงหู ไยมิทราบว่าเป็นพวกเจ้าที่ลงมือจับคน?”
“และพอถึงตอนนั้นจริง ข้าเกรงว่าคนของตระกูลหลิงหูก็จักมาทวงคนกับพวกเราอยู่ดี”
อาวุโสอวิ๋นกล่าว
“หึ! พวกมันมาทวงคน แล้วพวกเราต้องมอบคนให้รึไร?”
อาวุโสฟงพ่นลมออกจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ต้องกล่าวถึงที่พวกมันไม่แน่จะตามมาช่วยต้วนหลิงเทียนได้ทัน ต่อให้พวกมันรู้ว่าเราจับคนมาจริง พวกมันยังจะทำอะไรได้ หรือต้องกลัวยามพวกมันเอาชีวิตศิษย์นิกายเรามาข่มขู่?”
“ถ้าเกิดมันแตะต้องศิษย์นิกายเราจริง ถึงตอนนั้นข้าจักไปรังควาญคนของตระกูลหลิงหูดูบ้าง!”
อาวุโสฟงกล่าวจบก็แสยะยิ้มเย้ยหยัน
“ดี!”
อาวุโสเหล่ยพยักหน้าเห็นด้วย “นอกจากนั้นพวกเรายังสามารถตีเนียนบอกไม่รู้ไม่เห็น…ยกอ้างไปว่าที่ต้วนหลิงเทียนแจ้ง ทั้งหมดเป็นเพราะคิดใส่ร้ายพวกเรา หมายสร้างความขัดแย้งระหว่างตระกูลหลิงหูกับนิกายหมอกเร้นลับเราดีหรือไม่?”
ได้ยินคำพูดของอาวุโสฟงกับเหล่ย ไม่ว่าจะเฉียนหยิ่นประมุขนิกายหมอกเร้นลับก็ดีหรืออาวุโสอวิ๋นกับหวู่ก็ดี ต่างรู้ว่าทั้งคู่นั้นตัดสินใจแน่แล้วว่าจะจัดการต้วนหลิงเทียนให้จงได้
เห็นได้ชัดว่าไม่อาจห้ามปรามทั้งคู่ได้อีกต่อไป
ตอนนี้เอง อาวุโสหวู่ที่นิ่งเงียบมาตลอดก็หันไปมองอาวุโสฟงกับเหล่ยพลางปริปากกล่าวคำออกมา “ข้าจะขอเตือนพวกเจ้าทั้งคู่ไว้ก่อน…หากไม่สืบความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนให้แน่ชัด อย่าได้ลงมือฆ่าคนเด็ดขาด!”
“หากลงมือแล้วไม่มีพยานรู้เห็นก็แล้วไป แต่ถ้าเรื่องราวมันแพร่งพรายออกไปแล้วเบื้องหลังต้วนหลิงเทียนมียักษ์ใหญ่หนุนหลังอยู่จริง ถึงตอนนั้นไม่ใช่แค่เจ้า แต่จะเป็นทั้งนิกายหมอกเร้นลับเราที่มีปัญหา”
“ที่สำคัญ ต่อให้พวกเจ้าจะฆ่ามันได้โดยไม่มีมือที่สามล่วงรู้ แต่พวกเจ้าก็อย่าได้วู่วามฆ่ามันช่วงนี้เสียประเสริฐกว่า…หาไม่แล้วขอเพียงมิใช่ตัวโง่งม ยังมีใครไม่สงสัยพวกเจ้า…”
อาวุโสหวู่กล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึงขัง “หากพวกเจ้าคิดจะลงมือเร็วๆนี้ ถ้าสบโอกาสก็แค่จับตัวต้วนหลิงเทียนกลับมาเถอะ อย่าได้ฆ่ามันโดยเด็ดขาด”
“เฒ่าหวู่ ไม่ใช่แค่เจ้าที่กังวลนิกายหมอกเร้นลับเกิดเรื่อง ข้ากับน้องฟงเองก็กังวลไม่แพ้เจ้า”
อาวุโสเหล่ยหันไปมองอาวุโสหวู่ผ่านๆพลางกล่าว “หาไม่แล้ว เจ้าไม่คิดหรือว่าไฉนวันนี้พวกเราไม่ฆ่ามันแต่แรก?”
“อย่าได้ลืมไป ว่าคนที่มันฆ่าไปเป็นศิษย์รักของพวกเราทั้งคู่!”
“อีกทั้ง…หูท่านมีปัญหาหรือไม่ มิใช่ข้ากล่าวไว้แต่แรกแล้วหรือว่าข้าจะ ‘จับ’ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ฆ่ามัน?”
“แซ่เหล่ยลองไถ่ถามตัวเองดู…ก็ตอบได้ทันทีว่าขอเพียงต้วนหลิงเทียนโผล่หัวออกมานอกเขตตระกูลหลิงหู หากไร้จอมราชันเทพคอยปกป้องคุ้มครอง แซ่เหล่ยก็มันใจว่าสามารถฆ่ามันได้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้!”
ขณะกล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของอาวุโสเหล่ยก็เต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง
“เช่นนั้นเรื่องนี้ก็เอาแบบนี้เถอะ…”
พอเห็นว่าอาวุโสสูงสุดทั้งหลายเริ่มมีปากเสียงกันแล้ว เฉียนหยิ่น ประมุขนิกายหมอกเร้นลับก็ได้ตัดสินใจออกปาก เพื่อสรุปเรื่องราว “ทำตามที่อาวุโสเหล่ยว่า…หาโอกาสจับตัวต้วนหลิงเทียนกลับมาโดยไม่ต้องฆ่ามัน”
“และหากพวกเราสามารถยืนยันได้แล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนไร้ผู้ใดหนุนหลังนอกจากตระกูลหลิงหู เช่นนั้นก็ฆ่ามันทิ้งเพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณศิษย์ทั้งสองของอาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยเถอะ!”
…
“ท่านปู่เล็ก ต้วนหลิงเทียนเล่า คนอยู่ที่ใดแล้ว?”
ท่ามกลางศิษย์สายในที่มารอฟังบทสรุปของเรื่องราวนอกเขตที่พักศิษย์หลัก ถังอู๋เยียน ที่ยืนรอด้วยใจจดจ่อ พอเห็นเหล่าอาวุโสฝ่ายในทยอยกันออกจากเขตที่พักศิษย์หลัก นางก็มองหาถังชุนในกลุ่ม ก่อนจะโร่เข้าไปถามทันที
เผชิญหน้ากับถังอู๋เยียนที่แลดูเป็นกังวลจนออกหน้าออกตา ถังชุนก็ได้แต่กล่าวตอบไปเสียงอ่อน “ไม่ต้องห่วง…ต้วนหลิงเทียนสบายดี”
“แล้วผู้คนเล่า?”
ถังอู๋เยียนถามต่อ
“มัน…ถูกคนของตระกูลหลิงหูพาตัวไปแล้ว”
ถังชุนกล่าว
“ตระกูลหลิงหู?”
ถังอู๋เยียนตกใจ “เอ๊า! ไฉนถึงถูกคนตระกูลหลิงหูพาไปได้เล่า หรือประมุขกับเหล่าอาวุโส คิดสานไมตรีกับตระกูลหลิงหู และส่งตัวต้วนหลิงเทียนให้ตระกูลหลิงหูจัดการ?”
คาดเดาถึงจุดนี้ สีหน้าของถังอู๋เยียนก็กลายเป็นไม่สู้ดี
ถังชุนได้ยินการคาดเดาของหลานสาว ก็ได้แต่กระพริบตาปริบๆ พูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง “อู๋เยียนเอย…เมื่อครู่มิใช่ปู่เล็กพึ่งบอกเจ้าไปหรือ ว่าต้วนหลิงเทียนสบายดี…”
“ที่ตระกูลหลิงหูพาต้วนหลิงเทียนไป เพราะคิดช่วยต้วนหลิงเทียน”
“หาไม่แล้ว วันนี้ต่อให้ต้วนหลิงเทียนไม่ถูกสำเร็จโทษ ก็ไม่พ้นต้องถูกจับขังเพื่อรอให้คนที่อยู่เบื้องหลังต้วนหลิงเทียนมาช่วย…”
“ตอนนี้ในเมื่อตระกูลหลิงหูช่วยต้วนหลิงเทียนออกไปแล้ว เช่นนั้นมันก็ไม่ต้องรบกวนอาวุโสที่อยู่เบื้องหลัง”
ในใจถังชุนยังเชื่อมาโดยตลอด ว่าต้วนหลิงเทียนต้องมีขุมกำลังอันยิ่งใหญ่หนุนหลัง
ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องเด็กสาวลึกลับที่ปรากฏตัวในโรงประมูลสกุลโจวพร้อมผู้ติดตามขอบเขตจอมราชันเทพอันทรงพลังเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะพรสวรรค์และความเข้าใจของต้วนหลิงเทียนอีกด้วย
ในความเห็นมัน เป็นเรื่องปกติมาก ที่อัจฉริยะเยี่ยงปีศาจอย่างต้วนหลิงเทียนจะมีความเป็นมาไม่ธรรมดา
‘ไฉนอยู่ๆคนของตระกูลหลิงหูถึงโผล่มาช่วยได้เล่า…’
ในใจของถังอู๋เยียนเต็มไปด้วยความสับสน
จากนั้นพอถังชุนเล่ารายละเอียดของเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง นางก็เริ่มเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น “ที่แท้เป็นถึงคู่แฝดเหิงฮวนแห่งตระกูลหลิงหูที่มาช่วยต้วนหลิงเทียน…แต่พวกมันบอกว่าต้วนหลิงเทียนเป็นอาคันตุกะทรงเกียรติของตระกูลหลิงหูเช่นนั้นหรือ?”
“ต้วนหลิงเทียนไปเข้าร่วมตระกูลหลิงหูตั้งแต่เมื่อใดกัน…”
ถังอู๋เยียนขมวดคิ้ว
ถังชุนที่ฟังถังอู๋เยียนกล่าวพึมพำก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แม้ในใจของมันจะเริ่มคาดเดาอะไรบางอย่างได้ก็ตาม เพียงแค่เรื่องที่มันคาดเดานั้นไม่สะดวกจะบอกถังอู๋เยียน
“หรือจะเป็นเพราะ…หลิงหูชูยิน!”
อย่างไรก็ตาม พอถังอู๋เยียนพูดออกมาอีกครั้ง ถังชุนก็สะดุ้งเพราะนี่เป็นสิ่งที่มันกำลังคิดอยู่พอดี
เพราะหลังจากที่แฝดเฒ่าตระกูลหลิงหูปรากฏตัวขึ้นจนช่วยต้วนหลิงเทียนจากไป มันก็เริ่มเค้นสมองครุ่นคิดเรื่องราวทันที ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงไปเกี่ยวข้องกับตระกูลหลิงหูได้
มันเริ่มไตร่ตรองตั้งแต่แรก ด้วยความที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์มาก่อน สิ่งนี้บอกให้มันรู้ว่าเดิมทีต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลหลิงหู
หาไม่แล้วคงเลือกไปตระกูลหลิงหูแต่แรก
ด้วยพรสวรรค์กับความเข้าใจ สิ่งที่ตระกูลหลิงหูจะมอบให้ เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าสิ่งที่นิกายหมอกเร้นลับจะมอบให้แน่นอน
เช่นนั้นถ้าจะเอ่ยถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนไปเกี่ยวข้องกับตระกูลหลิงหูได้อย่างไรล่ะก็ เห็นทีก็มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น! และเป็นเรื่องที่เป็นกระแสอยู่พักหนึ่ง…เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองจวินหลิงเมื่อไม่นานมานี้!
ต้วนหลิงเทียนต้องตาพึงใจโฉมงามอันดับ 1 แห่งตระกูลหลิงหู หลิงหูชูยิน ถึงขั้นโดดไปขวางรถลากผู้อื่นเขาเพื่อขอพบเจอ…
‘ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะกลับมาฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียววันนี้ เกรงว่าคงไตร่ตรองเรื่องราวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ…กระทั่งยังหาทางหนีทีไล่เตรียมไว้เรียบร้อย’
‘และความมั่นใจทั้งหมด ก็มาจากแฝดเฒ่าเหิงฮวนของตระกูลหลิงหู’
‘สาเหตุที่ต้วนหลิงเทียนไปเข้าร่วมตระกูลหลิงหู เกรงว่าคงไม่อาจแยกจากหลิงหูชูยินได้ออก…แต่เป็นธรรมดาว่าเหตุผลที่ทำให้ไปเข้าร่วมกับตระกูลหลิงหู ไม่เพียงแต่จะเป็นเพราะหลิงหูชูยินอย่างเดียว สมควรเป็นเพราะคิดฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวแต่แรก’
‘หากไม่เตรียมทางหนีทีไล่เช่นนี้ ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่คิดลงมือฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวแน่ เพราะถ้าลงมือไปก็คงยากจะอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับได้อีก สุดท้ายก็ทำได้แค่ขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังเพื่อช่วยเหลือเท่านั้น…แต่ในเมื่อคนปกปิดออกมาท่องโลกเพียงลำพังแต่แรกเช่นนั้นหากไม่ถึงที่สุดก็คงไม่คิดพึ่งพาขุมกำลังเบื้องหลังเป็นแน่’
นี่เป็นสิ่งที่ถังชุนวิเคราะห์
“ยาโถวน้อย…เจ้าลืมมันไปเสียเถอะ”
หลังถังชุนกลับมารู้สึกตัวและเห็นว่าถังอู๋เยียนชักสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดี ในแววตาเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจยากยอมรับ ถังชุนก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ค่อยกล่าวแนะนำออกไปเสียงอ่อน “เจ้ากับมัน มิได้อยู่ในโลกเดียวกัน”
…
ต้วนหลิงเทียนที่ได้ติดตามคู่แฝดหลิงหูออกจากนิกายหมอกเร้นลับแบบนี้ ย่อมบังเกิดความยินดีมีสุขเป็นธรรมดา
ไม่ว่าจะเป็นซั่งกวนฉงเฟิงก็ดี หลงเซียวก็ดี พวกมันเป็นดั่งหินใหญ่ที่กดทับกลางอก มักทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้อง
แต่ตอนนี้พอได้ฆ่าทั้งคู่ด้วยน้ำมือตัวเอง โทสะและความไม่พอใจทั้งหมดย่อมสลายหายไปเป็นธรรมดา
“เจ้าหนุ่ม เจ้านี่โหดแท้เล่า…ไม่เพียงแต่จะฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงศิษย์ของเลอะเลือนเฒ่าของนิกายหมอกเร้นลับเท่านั้น แต่เจ้ายังฆ่าหลงเซียวศิษย์ของแซ่เหล่ยนั่นอีก…”
ภายในเรือเหาะระดับจอมราชันเทพ หลิงเหิงหันมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม “ข้าเกรงว่าตอนนี้ชื่อเจ้าคงถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของนิกายหมอกเร้นลับเรียบร้อยแล้วเป็นแน่…กล่าวได้ว่า ก่อนหน้านี้ไม่มีหลังจากนี้ไม่ปรากฏ!”
“หนึ่งคนคือฆ่า สองคนก็คือฆ่า”
ต้วนหลิงเทียนได้ฟังก็ยิ้ม “ข้าฆ่าพวกมันคนเดียวกับฆ่าพวกมันทั้งคู่…มีความแตกต่างกันตรงที่ใดเล่า?”
หลักการของต้วนหลิงเทียนก็คือ ใครไม่รุกรานข้า ข้าไม่รุกรานผู้ใด แต่ถ้าผู้ใดรุกรานข้า มันผู้นั้นต้องชดใช้สิบเท่าร้อยเท่า!
ซั่งกวนฉงเฟิงนั่น มันรีดไถโอสถเสริมโชค 2 เม็ดของเขาไปอย่างไร้เหตุผล และสาเหตุที่มันกล้ากร่างในนิกายก็เพราะมีผู้สนับสนุนอันดี
แต่เรื่องนี้ยังไม่นับเป็นอะไร…
เพียงแค่วันนี้พออีกฝ่ายถูกเขาแฉความชั่วออกมา กลับบันดาลโทสะคิดฆ่าเขา…
ตั้งแต่วินาทีแรกที่ซั่งกวนฉงเฟิงเปิดฉากเข่นฆ่าเข้ามา ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินโทษตายให้พวกมันเรียบร้อย
สำหรับหลงเซียว
ครั้งสุดท้ายที่เขาทำเหมือนหลงเซียวเป็นเหมือนตัวตลกโดดออกมาเล่นจำอวด เขาก็รู้ดีว่าต้องทำให้อีกฝ่ายขุ่นขึ้งหมองเคือง และพอเขากลับมาไม่ทันไร อีกฝ่ายก็โร่ออกมาเพราะคิดฆ่าเขาแล้ว
กับคนเช่นนี้ ปล่อยไปก็รังแต่จะเป็นภัยซ่อนเร้นเปล่าๆ
เจ้าคิดฆ่าข้าหรือ?
ขออภัย เพื่อป้องกันตัวเอง ข้าก็เลยฆ่าเจ้าก่อน…
“เจ้าหนุ่ม ลงมือเด็ดขาดเช่นนี้ ต่อไปเจ้าต้องมีอนาคตสดใสแน่!”
พอหลิงหูเหิงได้ฟังคำตอบของต้วนหลิงเทียน มันก็ไม่รู้จะพูดอะไรอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ได้แต่ยกมือขวาอันอวบอ้วนขึ้นมายกนิ้วโป้งให้ต้วนหลิงเทียน
“พวกมัน…ไม่กล้าฆ่าเจ้า”
ทันใดนั้นเองหลิงหูฮวนที่ไม่ได้พูดมาตลอดกระทั่งไม่ค่อยมองมาทางต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ อยู่ๆก็หันมามองพลางปริปากกล่าวคำออกมาอย่างหาได้ยาก
“จริง!”
ตอนนี้เองหลิงหูเหิงก็ฉุกคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ จึงหันไปกล่าวถามต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น “เจ้าหนุ่ม อาวุโสเหล่ยกับฟงของนิกายหมอกเร้นลับนั่น เท่าที่ข้ารู้จักพวกมันมา…ข้าบอกได้คำเดียวว่าพวกมันมิใช่ตัวดีอันใด”
“หากเป็นศิษย์ของนิกายหมอกเร้นลับธรรมดาๆ ให้พรสวรรค์กับความเข้าใจสูงถึงเพียงไหน แต่ลองฆ่าศิษย์ของพวกมันไปแบบนี้ พวกมันไม่พ้นต้องลงมือล้างแค้นให้ศิษย์ทันทีโดยไม่สนอะไรแน่”
“แต่พวกมันกลับไม่กล้าลงมือฆ่าเจ้า”
“เพราะอะไร?”
ยิ่งมาความอยากรู้อยากเห็นในแววตาของหลิงหูเหิงยิ่งแรงกล้า
ไม่ว่าจะหลิงหูเหิงก็ดีหลิงหูฮวนก็ดี ล้วนซ่อนตัวชมดูเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแต่พวกมันชมดูเรื่องราวจากไกลๆเท่านั้น ยากที่จะได้ยินบทสนทนาอะไรได้
เช่นนั้นพวกมันจึงเห็นแค่ว่า อาวุโสเหล่ย อาวุโสฟง รวมถึงประมุขนิกายหมอกเร้นลับที่ปรากฏตัวออกมา กลับไม่มีใครคิดลงมือฆ่าต้วนหลิงเทียนแต่แรก และไม่ได้ทราบเลยว่าทั้ง 3 ไม่กล้าลงมือเพราะกริ่งเกรงตัวตนของต้วนหลิงเทียน เนื่องจากไม่ได้ยินเสียงกระซิบคุยกันของเหล่าศิษย์หลักรวมถึงอาวุโสฝ่ายใน
ต่อมามันก็เห็นว่าอาวุโสฟงของนิกายหมอกเร้นลับนั้น แม้จะลงมือกับต้วนหลิงเทียน แต่ก็เป็นการลงมืออย่างละมุนละม่อมไม่ได้มีเจตนาฆ่าฟัน กระทั่งยังใช้พลังไร้สภาพอ่อนโยนขุมหนึ่งไม่ได้รุนแรงถึงขั้นทำร้ายผู้คน คล้ายคิดจะจับตัวต้วนหลิงเทียนมากกว่า
อย่างไรก็ตาม หลิงหูเหิงก็อดไม่ได้ที่จะปรากฏตัวออกมาขัดขวาง
“พวกมันกริ่งเกรงว่า คนที่พวกมันเข้าใจว่าเป็นน้องสาวของข้า…จะลงมือกับพวกมันหากข้าเป็นอะไรไป…”
เผชิญกับคำถามด้วยความสงสัยของคู่แฝดหลิงหู ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่กล่าวออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ขณะเดียวกัน ในใจต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏร่างเด็กสาวนาม ‘ต้วนเฉียวอวี่’ ที่เขาเคยพบเจอในเมืองวายุสวรรค์ขึ้นมาในใจ
นางเป็นใครกันแน่?
นางไม่เพียงแต่จะบอกว่ามีพี่ชายที่หน้าตาเหมือนเขามาก แต่นางกลับแลดูคุ้นเคยกับเขาราวกับนางเห็นเขาเป็นพี่ชายของนางจริงๆ…