เสียงผ่านพลังที่อยู่ๆก็ส่งตรงถึงหู ทำให้ใจต้วนหลิงเทียนจมลงทันที
คนผู้นี้ขู่เขา?
แถมยังเอาชีวิตของหลิงหูเหรินเจี๋ยมาขู่เขาอีก?
‘มันเป็นใครกัน?’
ต้วนหลิงเทียนหันซ้ายหันขวาโดยไม่รู้ตัว พยายามหาว่าใครกันแน่ที่ส่งเสียงผ่านพลังมาถึงเขา
อีกฝ่ายนับว่าฉลาดไม่เบา ถึงแม้จะส่งเสียงผ่านพลังมาถึงเขา แต่กลับทำให้เสมือนเสียงถูกส่งมาจากทุกแห่งหน ราวกับผุดขึ้นจากอากาศธาตุรอบตัวเขาอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ต้องเสียเวลาหาข้าหรอก ข้าเห็นเจ้า แต่เจ้าไม่มีวันเห็นข้า”
เสียงก่อนหน้าดังขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงยังเย็นชาไร้แยแส
เนื่องเพราะต้วนหลิงเทียนไม่อาจเห็นตัวอีกฝ่าย เขาจึงไม่อาจส่งเสียงผ่านพลังตอบอีกฝ่ายกลับไปได้ และสิ่งนี้ยิ่งทำให้สีหน้าต้วนหลิงเทียนบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อยๆ
อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่?
เป็นแค่กลลวงหรือขู่เขาจริงๆ?
คนที่ส่งเสียงผ่านพลังมาบอกให้ต้วนหลิงเทียนยอมแพ้ 10 อันดับแรก เป็นผู้ใดกันแน่?
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆครู่หนึ่ง ต้วนหลิงเทียนที่ออกจากสังเวียนกลางหาวแล้ว ก็ส่งเสียงผ่านพลังไปเล่าเรื่องราวที่เขาโดนขู่ให้ตงฟางเหยียนเหนียนฟังทันที
ด้านตงฟางเหยียนเหนียนพอได้ยินเรื่องของเขา สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
ถึงแม้การแข่งขันมังกรซ่อน จะไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่สลักสำคัญอะไรมากมายสำหรับนิกายมังกรสวรรค์ทั้งหมด แต่มันก็ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับเหล่าศิษย์รุ่นใหม่ และการแสดงความยิ่งใหญ่ของนิกายมังกรสวรรค์
“อาวุโสหลัน”
หลังได้ฟังคำยืนยันจากต้วนหลิงเทียนว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ตงฟางเหยียนเหนียนที่ลังเลอยู่สักพัก ก็เลือกจะส่งเสียงผ่านพลังไปแจ้งให้ หลันอวี่ซาน อาวุโสมังกรดำทราบเรื่องทันที
หลันอวี่ซาน อาวุโสมังกรดำที่รับหน้าที่ควบคุมแข่งขันมังกรซ่อนครั้งนี้ พอได้ยินเสียงผ่านพลังของตงฟางเหยียนเหนียน สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน
หลังจากนั้นมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาราวกับมีสายฟ้าฟาด เอ่ยถามผ่านพลังว่า “ต้วนหลิงเทียนเรื่องที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือไม่? มีบางเรื่องที่เจ้าพูดแล้วเจ้าต้องรับผิดชอบมัน!”
“หากอาวุโสไม่เชื่อข้า เช่นนั้นข้าสาบานต่อโลหิตมารหัวใจให้ท่านดูก็ได้”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยคำเสียงหนัก
เสียงผ่านพลังของอีกฝ่าย เป็นธรรมดาว่ามีเขาได้ยินแค่คนเดียว
อย่างไรก็ตาม ระนาบเทพก็คือโลกใบเล็กภายในกายของผู้แข็งแกร่งที่สุด เสียงผ่านพลังที่ส่งกันภายในโลกใบเล็กเช่นีน้แม้ผู้แข็งแกร่งที่สุดไม่สนใจจะฟัง แต่สวรรค์และโลกภายในโลกใบเล็กภายในกายก็สามารถรับรู้ได้ทั้งหมด
หาไม่แล้วจะยืนยันได้อย่างไร ว่ามีใครส่งเสีงผ่านพลังหรือได้ยินเสียงผ่านพลังจริงหรือไม่?
คำสาบานต่อโลหิตมารหัวใจนั้น สามารถครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ตราบใดที่ผู้กล่าวคำสาบานไม่มีผีอยู่ในใจเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคิดหลอกลวงล่ะก็…สิ่งที่รออยู่ก็คือหายนะ!
ด้วยเหตุนี้หลังได้ยินคำพูดยืนยันของต้วนหลิงเทียน หลันอวี่ซานก็เร่งแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบทันที
หากต้วนหลิงเทียนไม่อาจค้นพบร่องรอยของผู้ที่ส่งเสียงผ่านพลังมาถึงได้ เช่นนั้นหมายความว่าผู้ที่ส่งเสียงต้องเป็นตัวตนที่มีด่านพลังเหนือกว่าต้วนหลิงเทียนหนึ่งขอบเขต กล่าวได้ว่าอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นจอมราชันเทพขั้นต่ำ!
ถึงแม้ว่าตอมราชันเทพชั้นต่ำที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุจะมีไม่มาก แต่นอกจากอาวุโสของนิกายมังกรสวรรค์แล้ว ก็ยังมีอาวุโสของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพที่มาร่วมงาน ไม่เว้นญาติหรืออาจารย์ของอัจฉริยะบางคน
“เจ้าบอกหลันอวี่ซานไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด”
ในขณะที่หลันอวี่ซานกำลังเหลือบมองไปรอบๆ ในหูต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงผ่านพลังของอีกฝ่ายอีกครั้ง “ข้าไม่อยู่แล้ว มันไม่มีทางหาข้าเจอหรอก”
“จำคำพูดของข้าไว้ให้ดี”
“หากเจ้าไม่อยากให้หลิงหูเหรินเจี๋ยตาย อย่าได้ติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของการแข่งขันมังกรซ่อนเด็ดขาด”
จากนั้นเสียงผ่านพลังของอีกฝ่ายก็เงียบหายไปเลย
สีหน้าต้วนหลิงเทียนเริ่มมืดดำปานจะคั้นได้เป็นหยดน้ำหมึก
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายสมควรค้นพบความเคลื่อนไหวของหลันอวี่ซาน จึงจากไปอย่างทันท่วงที
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะส่งเสียงผ่านพลังไปเล่าให้หลันอวี่ซานฟังว่าอีกฝ่ายพูดอะไรกับเขา ด้านหลันอวี่ซานก็มองไปรอบๆอีกครั้ง แต่สักพักก็หยุดลงก่อนจะวูบร่างมาหยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน
จากนั้นท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคนนอกจากตงฟางเหยียนเหนียน ต้วนหลิงเทียนก็โดนหลันอวี่ซานพาตัวไป
แต่ต้นจนจบหลันอวี่ซานไม่ได้บอกกล่าวอะไรต่อใครทั้งสิ้น
“ไฉนต้วนหลิงเทียนถึงถูกพาตัวไปแล้วล่ะ?”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
…
การที่อยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็โดนอาวุโสมังกรดำพาตัวไปดื้อๆ ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนส่วนใหญ่ในที่นี้ ไม่ว่าใครก็เผยสายตาสงสัยทั้งนั้น
ด้านต้วนหลิงเทียนเอง ยังได้รับข้อความจากโหวชิ่งหนิง ติงเหยียน ผู้เฒ่าเหิงฮวนและคนอื่นๆทันที
“ข้าไม่เป็นอะไร มีบางอย่างที่อาวุโสหลันคิดจะคุยกับข้าเป็นการส่วนตัว”
ต้วนหลิงเทียนเร่งส่งข้อความไปบอกผู้เฒ่าเหิงฮวนและคนอื่นๆ
เนื่องเพราะหลันอวี่ซานเป็นคนพาตัวต้วนหลิงเทียนไป ทำให้ไม่มีใครกล้าติดตาม ทว่าตงฟางเหยียนเหนียนที่ทราบเรื่องนั้นได้เหินร่างตามไปทันที ไม่นานก็ตามต้วนหลิงเทียนกับหลันอวี่ซานมาถึงพื้นที่เงียบสงบแห่งหนึ่งของเทือกเขาเหยียนหลง
เมื่อตงฟางเหยียนเหนียนมาถึง หลันอวี่ซานไม่ได้เอ่ยทักอะไร เพียงหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทีจริงจัง “เรื่องนี้สำคัญมาก เจ้ากล่าวคำสาบานต่อโลหิตมารหัวใจต่อหน้าข้าเถอะ”
“หาไม่แล้ว ข้าเองก็ไม่อาจเชื่อเรื่องที่เจ้าพูดมาได้ทั้งหมด”
ได้ยินคำพูดดังกล่าว สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง แม้เข้าจะไม่ได้ขัดข้องเรื่องกล่าวคำสาบานต่อโลหิตมารหัวใจ แต่ก็ยังคงส่งเสียงผ่านพลังไปถามตงฟางเหยียนเหนียนก่อน
เป็นธรรมดาว่าเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนถามตงฟางเหยียนเหนียน ก็คือเรื่องที่หลันอวี่ซานเป็นคนฝ่ายนิกายหมื่นปีศาจหรือไม่
เพราะกวงเทียนเจิ้งที่อยู่ในฝ่ายนิกายหมื่นปีศาจนั้น มันอยากฆ่าเขาจนเก็บเอาไปฝันด้วยซ้ำ
“อาวุโสหลันไม่ได้มาจากฝ่ายไหนในนิกายมังกรสวรรค์ ท่านเกิดและเติบโตในนิกายมังกรสวรรค์เลยก็ว่าได้ และท่านก็เป็นศิษย์ของคนที่อยู่ในนิกายมังกรสรรค์มาตั้งแต่ก่อตั้ง กล่าวได้ว่าเป็นคนของฝ่ายนิกายมังกรสวรรค์แท้ๆ”
ฝ่ายนิกายมังกรสรรค์ในที่นี้ หมายถึงเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสของนิกายมังกรสวรรค์ที่ไม่ได้มาจากขุมกำลังอำนาจอื่นใด
ฝ่ายนิกายมังกรสรรค์นั้น เป็นฝ่ายที่ทรงพลังที่สุดในนิกายมังกรสวรรค์ก็ว่าได้ และตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายมังกรสวรรค์ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนในฝ่ายนิกายมังกรสวรรค์
และคำว่าฝ่ายนิกายมังกรสวรรค์นั้น ก็หมายความว่าเป็นศิษย์หรือผู้อาวุโสที่ไม่ได้มาจากขุมกำลังอำนาจอื่นใด
หลังทราบว่าหลันอวี่ซานเป็นคนของนิกายมังกรสวรรค์แท้ๆ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลังเลสืบไป เลือกจะกล่าวคำสาบานต่อโลหิตมารหัวใจต่อหน้าหลันอวี่ซานกับตงฟางเหยียนเหนียนทันที
และพอต้วนหลิงเทียนกล่าวคำสาบานแล้วเสร็จ สีหน้าของหลันอวี่ซานก็เปลี่ยนเป็นมืดดำกว่าเดิม
“ผู้อาวุโสหลัน ข้าต้องทำอย่างไรต่อไปขอให้ท่านมอบความกระจ่างให้ข้าด้วย”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับหลันอวี่ซานอย่างทอดถอนใจ “ข้าไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายแค่ขู่ให้ข้ากลัวเฉยๆหรือขู่ข้าจริงๆ…หลิงหูเหรินเจี๋ยเป็นผู้นำตระกูลหลิงหู ที่มีบุญคุณกับข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่อยากลากอีกฝ่ายให้พลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“ไม่ต้องไปสนใจคำขู่นั่น!”
หลันอวี่ซานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นสองตาก็เผยประกายเย็นชาเรื่องขึ้นว้าบหนึ่ง “ว่าแต่เจ้าเคยได้ยินเสียงของคนที่ขู่เจ้ามาก่อนหรือไม่?”
“ไม่เลย”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว “นอกจากนั้นเสียงผ่านพลังแบบนี้ ยังเปลี่ยนเสียงได้ตามแต่ผู้ส่งต้องการ”
“เช่นนั้นเจ้ามีศัตรูในนิกายมังกรสวรรค์หรือไม่?”
หลันอวี่ซานเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง
ที่มันถามแบบนี้หมายความว่า ถ้าผู้ส่งเสียงผ่านพลังเป็นคนของนิกายมังกรสวรรค์จริง และสามารถมาถึงละแวกสังเวียนเหยียนหลงได้ อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นศิษย์ฝ่ายในหรือชนชั้นผู้อาวุโสขึ้นไป แต่ถ้าเกิดเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายในอาศัยสำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนต้องพบเจอคนส่งเสียงผ่านพลังไปแล้ว
แต่ในเมื่อต้วนหลิงเทียนไม่พบความผิดปกติใด หมายความว่าอย่างน้อยๆผู้ส่งเสียงต้องเป็นจอมราชันเทพขั้นต่ำขึ้นไป
นอกจากนั้นการเอาชีวิตของหลิงหูเหรินเจี๋ยมาขู่ต้วนหลิงเทียน ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่นหมายความว่าต้องมีพลังฝีมือกล้าแข็งถึงขั้นฆ่าหลิงหูเหรินเจี๋ยได้
“มี”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ผู้ใด?”
หลันอวี่ซานถามต่อ
“อาวุโสฝ่ายใน กวงเทียนเจิ้ง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงเรื่องราวความบาดหมางระหว่างเขากับกวงเทียนเจิ้งออกมา เป็นธรรมดาว่าเขาไม่ได้พูดเรื่องที่เขาฆ่าศิษย์ของกวงเทียนเจิ้งออกไป บางเรื่องแม้เขาจะเป็นคนทำแต่ไม่พูดออกไปยังดีกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่เขาฆ่าฉู่หานศิษย์ของกวงเทียนเจิ้ง เขาไม่ได้เป็นคนของนิกายมังกรสวรรค์ด้วยซ้ำ แต่ฉู่หานเป็นศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์แล้ว
“ยังมีคนอื่นอีกหรือไม่?”
หลันอวี่ซานขมวดคิ้วอยู่พักหนึ่ง ค่อยถามสืบต่อ
“ยังมีอีกคนหนึ่ง…มันเป็นอดีตประมุขนิกายหมอกเร้นลับ แต่ข้าไม่รู้จักชื่อของมัน ข้ารู้แค่มันออกจากนิกายหมอกเร้นลับไปเข้าร่วมกับนิกายหมื่นปีศาจ เพราะไม่พอใจที่พี่ชายของเชวียไห่ชวนฆ่าลูกชายคนเดียวของมัน ภายหลังมันก็ได้เข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์”
“และพี่ชายของเชวียไห่ชวนที่ว่า เดิมทีถูกจับขังในบันไดสวรรค์ที่ข้าเคยเข้าไป แต่ข้าไม่ได้ฆ่าอีกฝ่าย เลยเป็นเหตุให้ข้ารู้จักกับเชวียไห่ชวน”
“เพียงแต่ข้าไม่ทราบ…ว่ามันจะโกรธข้าเพราะเรื่องนี้หรือไม่”
“สุดท้ายแล้ว หลังเชวียไห่ชานออกจากบันไดสวรรค์ ตอนที่เชวียไห่ชวนไปรับ พวกกเราก็ไปนั่งดื่มกัน สุดท้ายก็เลยกายเป็นสหายกัน”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็หยุดลงก่อนจะพูดต่อ “แน่นอนว่าคนที่ข้าสงสัยมากที่สุดก็คือ กวงเทียนเจิ้ง! และมีโอกาสที่มันจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคำขู่มากกว่า”
“ไม่น่าใช่กวงเทียนเจิ้ง”
หลันอวี่ซานส่ายหัวไปมา “ข้าพึ่งสอบถามอาวุสาดตระเวนรอบๆเทือกเขาเหยียนหลง และอาวุโสคนนั้นก็มีด่านพลังฝึกปรือไม่ได้ด้อยไปกว่ากวงเทียนเจิ้งเลย หากกวงเทียนเจิ้งถ่อมาขู่เจ้าถึงที่นี่จริง เป็นไปไม่ได้ที่มันจะปกปิดร่องรอยการมา”
“บางที…อาจเป็นจอมราชันเทพขั้นต่ำบ้างคนที่อยู่ในพื้นที่สังเวียนเหยียนหลงจงใจเปลี่ยนเสียงขู่เจ้าผ่านพลัง เหตุผลที่มันอยากให้เจ้าล้มเลิกการเข้าสู่ 10 อันดับแรก ไม่แน่อาจเป็นเพราะมันอยากให้ลูกหลานของมันมีโอกาสติด 10 อันดับแรก”
หลันอวี่ซานคาดเดา
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นไปได้อยู่ แต่เขาก็เลือกจะถามสืบต่อ “อาวุโสหลัน…เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังของกวงเทียนเจิ้งขู่ข้า?”
พอต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามจบคำ ลูกตาของตงฟางเหยียนเหนียนก็หดเล็กลงทันที หลันอวี่ซานก็ไม่ต่าง
หลันอวี่ซานมองลึกไปทางต้วนหลิงเทียน “คนที่อยู่เบื้องหลังกวงเทียนเจิ้ง มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมายังพื้นที่ละแวกใกล้เคียงของสังเวียนเหยียนหลงและส่งเสียงผ่านพลังไปขู่เจ้าได้โดยที่อาวุโสลาดตระเวนไม่รู้ตัว…ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมาเอง หรือส่งผู้อาวุโสมังกรดำที่รู้จักมาก็ตาม”
“เจ้าคงพอเดาได้กระมังว่าข้าพูดถึงใคร”
พอหลันอวี่ซานถามมาแบบนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่เงียบ ไม่งั้นจะให้เขาพูดอะไร? หรือจะให้บอกเรื่องที่เขาสงสัยว่ารองประมุขแซ่เซวียของนิกายมังกรสวรรค์มาขู่เขา?
“ผู้อาวุโส ท่านสามารถใช้ภาพฉายจากค่ายกล เพื่อย้อนดูว่าก่อนหน้านี้มีใครซ่อนตัวใกล้ๆสังเวียนเหยียนหลงได้หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
ภาพฉายบันทึกเหตุการณ์ต่างๆนั้น กระทั่งค่ายกลของตระกูลหลิงหูยังมี เพราะในอดีตตอนที่เขาออกจากตระกูลหลิงหูโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว เขาก็ถูกค้นพบผ่านภาพฉายดังกล่าว
“ข้าลองถามดูแล้ว”
หลันอวี่ซานกล่าว “ในละแวกสังเวียนเหยียนหลงทั้งก่อนและหลังที่ข้าจะพาเจ้ามาที่นี่ ไม่มีใครมาและจากไป…”
“กล่าวได้ว่า…คนที่ส่งเสียงผ่านพลังมาขู่เจ้า สมควรอยู่ที่นั่น”
“และข้ายังสังเกตเห็นอีกว่า อาวุโสและศิษย์กว่าโหลในที่เกิดเหตุไม่มีใครมาจากนิกายหมื่นปีศาจ กระทั่งไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายของนิกายหมื่นปีศาจ”
“เช่นนั้นสมควรเป็นจอมราชันเทพขั้นต่ำจากขุมกำลังอื่นๆ ที่จงใจขู่ให้เจ้ากลัวและยอมล้มเลิกเรื่องิคดชิงอันดับมากกว่า”
“ในบรรดาคนเหล่านั้น กับคนที่มีอำนาจอย่างประมุขนิกายบูรพารุ่งโรจน์หรือจอมราชันเทพขั้นกลางจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพทั้งหลาย ไม่น่าจะลดตัวลงมาทำอะไรเช่นนี้…9 ใน 10 ส่วนสมควรเป็นพวกที่ไม่มั่นใจในลูกหลานเหล่าศิษย์ตัวเอง จึงตั้งใจขู่ผ่านพลังให้เจ้าหวาดกลัว”
หลันอวี่ซานเอยความเห็นออกมาอีกครั้ง
“ตั้งใจขู่ให้ข้ากลัว?”
เมื่อได้ยินคำสินิจฉัยของหลันอวี่ซาน อีกทั้งหลันอวี่ซานยังได้ถามคนที่รับผิดชอบดูบันทึกในค่ายกลแล้ว ใจต้วนหลิงเทียนจึงพอได้ผ่อนคลายลงบ้าง